สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 695 อวดดี
บทที่ 695 อวดดี
วันนี้สำนักบัณฑิตเทียนฉงหยุด ตอนที่กู้เจียวไปจับจ่ายในตลาดได้ยินมาจากพ่อค้าที่ผ่านทางมา ว่าใต้เท้ากั๋วซือกลับเซิ่งตูมาเมื่อกลางดึก เมื่อเช้าตรู่นอกตำหนักกั๋วซือก็มีแถวยาวเหยียดเป็นมังกรเพื่อขอเข้าพบ
“คนอยากพบกั๋วซือกันมากมายเพียงนี้เชียวรึ”
พ่อค้าเร่ขายผักถามพ่อค้าที่ดื่มน้ำเต้าหู้อยู่แผงข้างๆ ก่อนเอ่ยกับกู้เจียว “สิบเตาปี้”
กู้เจียวยื่นเงินสิบเตาปี้ให้พ่อค้าหาบเร่ขายผัก แล้วใส่มะระลูกโตสดใหม่สองลูกลงในตะกร้าสะพายหลังใบน้อยของนาง
พ่อค้าซดน้ำเต้าหู้ ได้ครึ่งชาม จึงเอ่ยทั้งเหงื่อท่วมหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว ต่อแถวยาวตั้งสามลี้! รถม้าเกือบจะผ่านไม่ได้แล้ว! หากมิใช่เพราะข้ารีบออกมาค้าขายละก็ ป่านนี้ข้าไปต่อแถวด้วยแล้ว!”
ครั้งล่าสุดที่กู้เจียวไปถามหาที่อยู่ของกั๋วซือที่ตำหนักกั๋วซือ ศิษย์คนโตเย่ชิงบอกนางว่า อย่างเร็วกั๋วซือจะกลับมาต้นเดือน อย่างช้าก็ปลายเดือน
ไม่ต้องรอถึงปลายเดือนย่อมดีที่สุด อย่างไรเสียอาการป่วยของกู้เหยี่ยนยิ่งยืดเยื้อก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ
กู้เจียวถือผักที่ซื้อเรียบร้อยกลับมาถึงเรือน
“กลับมาแล้ว” อาจารย์แม่หนานมองเหงื่อเม็ดโตบนหน้าผากนาง ก่อนรีบไปดึงตะกร้าใบน้อยของนางมาถือ แล้วเอ่ย “คิดไม่ถึงว่าปีนี้เซิ่งตูจะร้อนเพียงนี้ เจ้าร้อนแย่แล้วกระมัง”
หมายถึงเรื่องที่กู้เจียวพันหน้าอกไว้
สองปีนี้กู้เจียวเติบโตดีเกินไป เพื่อที่จะปิดบังร่างกายสตรีเอาไว้ จำต้องพันผ้าแน่นๆ ทบแล้วทบเล่า อาจารย์แม่หนานจึงรู้สึกร้อนแทนนาง
กู้เจียวเอ่ย “พอทนได้เจ้าค่ะ”
ยังทนได้
อาจารย์แม่หนานเอ่ยอย่างสงสาร “ลำบากเจ้าแล้ว ข้าต้มน้ำสะระแหน่ไว้ เดี๋ยวใกล้จะได้ที่แล้ว”
“อาจารย์แม่หนาน ข้าไม่ดื่มแล้ว ข้าจะเข้าไปเมืองชั้นในเสียหน่อย” กู้เจียวเอ่ย “กั๋วซือกลับมาแล้ว”
อาจารย์แม่หนานแววตาเป็นประกาย “จริงรึ”
กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าได้ยินข่าวที่ตลาด ข้าเลยอยากไปลองเสี่ยงโชคดู ว่าจะได้เจอกั๋วซือหรือไม่”
อาจารย์แม่หนานมองกู้เหยี่ยนบนระเบียงที่อาบแดดอย่างไร้ชีวิตชีวา รู้ดีว่าอาการป่วยของกู้เหยี่ยนจะยืดเยื้อกว่านี้ไม่ได้แล้ว “ยิ่งลงมือผ่าตัดเร็วเท่าใด ก็จะยิ่งมีโอกาสหายได้สูงใช่หรือไม่”
“เจ้าค่ะ” กู้เจียวเอ่ย หากยืดเยื้อไว้นาน ผ่าตัดไปก็อาจจะไร้ประโยชน์ก็ได้
อาจารย์แม่หนานไม่ได้รั้งอีก นางให้อาจารย์หลู่เตรียมรถม้าให้กู้เจียว
กู้เจียวเข้าห้องมาหยิบป้ายอาญาสิทธิ์ของปรมาจารย์แห่งหกแคว้น นางรื้อหาบนโต๊ะดู “เอ๋ ป้ายอาญาสิทธิ์เล่า ข้าวางไว้ตรงนี้แท้ๆ ”
“อยู่นี่”
ท่านอาวุโสเมิ่งปรากฏตัวตรงหน้าประตู ในมือถือกระเป๋าผ้าไหมอยู่ใบหนึ่ง ป้ายอาญาสิทธิ์อยู่ในนั้น
“อ๋อ” กู้เจียวเดินไปหา รับกระเป๋าผ้าไหมมา “อ้าว ท่านเอาไปแล้วหรือ”
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “ก็แค่เอาไปดูหน่อย เจ้าจะเข้าเมืองไปคนเดียวรึ”
“อืม” กู้เจียวเอ่ย
ท่านอาวุโสเมิ่งกระแอมในลำคอ “ไม่พาข้าไปด้วยรึ”
กู้เจียวมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ “พาท่านไปด้วยทำไม”
ท่านอาวุโสเมิ่งจึงเอ่ย “ไปตำหนักกั๋วซือ”
กู้เจียวเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “กั๋วซือรู้จักปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น ท่านไปเดี๋ยวได้ความแตกหมด”
ท่านอาวุโสเมิ่ง ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นตัวจริง “…”
นึกบางอย่างขึ้นมาได้ กู้เจียวจึงเอ่ย “ไม่สิ ท่านไปดีกว่า ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเข้าเมืองไม่ได้”
แต่วันนี้ท่านอาวุโสเมิ่งต้องเข้าเมืองจริงๆ เขาจะไปพบคนผู้หนึ่ง อยู่แถวๆ ตำหนักกั๋วซือนั่นแหละ จึงจะแวะให้กู้เจียวด้วย
อาจารย์หลู่เตรียมรถม้าเรียบร้อย เดิมทีเขากะจะใช้ม้าอีกตัว สุดท้ายราชาม้าดีดอาจารย์หลู่กับสหายอีกตัวของตัวเองเข้าด้วยกัน ก่อนที่มันจะออกมาลากรถอย่างองอาจแทน!
มันไม่วายคาบกล่องยาใบน้อยกับตะกร้าน้อยของกู้เจียวขึ้นรถมาด้วย เรียกได้ว่าบริการได้ครบถ้วนยิ่ง!
หลังจากกู้เจียวขึ้นนั่งบนรถม้าแล้ว ท่านอาวุโสเมิ่งก็ขึ้นไปนั่ง
กู้เจียวปล่อยม่านลง เอ่ยกับราชาม้า “เอาละ ไปได้”
ราชาม้าอ้าปากกว้าง ยกขาหน้าขึ้น พุ่งทะยานออกมาโดยพลัน!
ท่านอาวุโสเมิ่งตั้งตัวไม่ทัน หงายหลังโครม ชนเข้ากับผนังรถดังตุ้บ!
ราชาม้าวิ่งตะบึง
ลมกระโชกปะทะหน้า ม่านรถม้าปลิวเลิกขึ้นสูง ตีสะบัดกับผนังรถไปทั่ว เกิดเป็นเสียงปั้บๆ
ท่านอาวุโสเมิ่งโดนพัดจนปลงตก ทั่วทั้งร่างไร้เรี่ยวแรงต้านทานกางแขนสองข้างออกแนบไปกับผนังรถด้านหลัง เขารู้สึกว่าดวงตาของตัวเองลืมไม่ขึ้นแล้ว แม้แต่ริ้วรอยบนใบหน้ายังโดนพัดจนแทบจะราบเรียบแล้ว
นี่มันม้าคลั่งอะไรกันนี่!
รถม้าควบทะยานอยู่บนถนน เห็นรถก็กระโดดข้าม วิ่งกุบกับไปข้างหน้าต่อ!
เมื่อจอดลงตรงด่านหน้าประตูเมืองชั้นใน ท่านอาวุโสเมิ่งก็โดนพัดจนกลายเป็นสิงโตหัวฟูแล้ว
ครานี้ ท่านอาวุโสเมิ่งไม่ได้โดนกู้เจียวกดหัวบังคับให้พูดบทน่าอายพวกนั้น สาเหตุมาจากทหารเฝ้าประตูเมืองเห็นป้ายอาญาสิทธิ์ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นก็ปล่อยตัวเข้ามาทันทีเลย
ท่านอาวุโสเมิ่งพรูลมหายใจโล่งอก
ราชาม้าไม่เคยไปตำหนักกั๋วซือ จึงต้องบอกทาง
หลังจากเข้ามาในเมืองชั้นในแล้ว กู้เจียวก็ไปนั่งที่นั่งนอกตัวรถ
เซิ่งตูวันนี้รถราหนาแน่นเป็นพิเศษ รถม้าวิ่งได้ไม่นานก็มาติดแหง็กอยู่กลางทาง
บนโรงน้ำชาแห่งหนึ่งริมถนน ณ ห้องปีกข้างติดถนนชั้นสอง บุรุษอาภรณ์ดำอายุสามสิบกว่าๆ คนหนึ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ทอดมองรถลาแออัดติดขัด
รถม้าหนึ่งในนั้นดึงดูดความสนใจเขาไว้
ตัวรถม้าไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ แต่ม้าตัวนั้นต่างหาก
ม้าตัวอื่นล้วนรอนิ่งอยู่กับที่กันแต่โดยดี มีเพียงมันตัวเดียวที่อยู่ไม่สุข มองซ้ายมองขวาเพื่อจับผีเสื้อ
“นี่มันม้าโง่อะไรกันน่ะ” บุรุษพึมพำ ครู่ต่อมา สายตาเขาก็มองไล่จากม้าตัวนั้นไปยังคนขับรถ
คนขับรถเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ใบหน้าด้านซ้ายมีปานแดงเป็นปื้น
“เขานี่เอง” บุรุษมุมปากหยักยกเล็กน้อย “นึกไม่ถึงว่าเขาจะเข้าเมืองชั้นใน”
ท่านชายใหญ่หันมองไปตามสายตาเขา เพียงไม่นานก็พบกู้เจียวบนรถม้า เขาขมวดคิ้ว “เซียวลิ่วหลังนี่ อาจารย์ รู้จักเขา”
บุรุษที่ถูกท่านชายใหญ่หันเรียกว่าอาจารย์นั้นคือฉีเซวียน อดีตศิษย์พี่ของอาจารย์แม่หนาน
ฉีเซวียนท่าทีสงบนิ่งท่ามกลางความวุ่นวาย มองเด็กหนุ่มอาภรณ์เขียวบนรถม้าที่รถติดจนขมขื่น ก่อนหัวเราะนิ่งๆ ขึ้น “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าคราก่อนข้าเจอศิษย์น้องหญิงที่เคยอยู่ที่สำนักบัณฑิตถังเหมิน ยังมีอีกเรื่องที่ข้าไม่ได้บอก ข้างกายศิษย์น้องหญิงของข้ามีคนที่น่าสนใจอยู่”
“ก็คือเซียวลิ่วหลังนี่หรือ” ท่านชายใหญ่หันตกใจ
ฉีเซวียนยิ้มเอ่ย “ข้าว่าข้าเดาได้แล้วว่าใครเป็นคนสังหารหนานกงลี่”
ท่านชายใหญ่หันขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านคงไม่ได้จะบอกว่าฆาตกรคือเซียวลิ่วหลังหรอกกระมัง”
ฉีเซวียนยิ้มพลางโคลงถ้วยชาในมือ “นอกจากเขาแล้ว ข้าก็คิดถึงคนอื่นไม่ออก”
ท่านชายใหญ่หันส่ายหน้า “จากฝีมือการต่อสู้ของเขาจะไปสังหารหนานกงลี่ได้อย่างไร หนานกงลี่แขนขาดก็จริง แต่ถึงกระนั้น เซียวลิ่วหลังก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหนานกงลี่ได้หรอก”
ฉีเซวียนเอ่ย “คราก่อนที่เขาเอาชนะพวกนักบวชเส้าหลินที่ฝึกวรยุทธ์ได้ ข้าจำได้ว่าการแข่งตีคลีของพวกเจ้าห้ามใช้กำลังภายใน”
ท่านชายใหญ่หันเอย “ถูกต้อง”
ฉีเซวียนยิ้มเอ่ย “สามารถเอาชนะนักบวชเส้าหลินที่ฝึกตนโดยไม่ใช้กำลังภายในได้ เจ้าว่ายามนี้เซิ่งตูมีกี่คนที่ทำได้ถึงขั้นนี้กันล่ะ นอกจากนี้ ผลชันสูตรศพก็ออกมาแล้วมิใช่หรือ หนานกงลี่ไม่มีได้รับบาดเจ็บภายใน เขาถูกคนใช้กิ่งไม้แทนทวนยาวแทงทะลุหัวใจตาย จากที่ข้ารู้มา มีเพียงเพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวนเท่านั้นที่สามารถทำถึงขั้นนี้ได้”
ท่านชายใหญ่หันพลันตกตะลึง
ฉีเซวียนทอดมองเด็กหนุ่มบนรถม้า “ตอนข้าไปพบศิษย์น้องหญิงคนนั้น เคยได้ประมือกับเซียวลิ่วหลังผู้นี้มาก่อน แม้ว่าเขาจะออกแค่กระบวนท่าเดียว แต่ข้าก็มั่นใจได้ว่า ตอนนั้นเขาใช้เพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวน!”
ท่านชายใหญ่หันขมวดคิ้ว “มีจุดน่าสงสัยสองจุด หนึ่ง เหตุใดเขาจึงฆ่าหนานกงลี่ สอง เขาใช้เพลงทวนของตระกูลเซวียนหยวนเป็นได้อย่างไร”
ฉีเซวียนดื่มน้ำชาอึกหนึ่ง “ไม่รู้สิ บนตัวเด็กหนุ่มคนนี้คล้ายจะซุกซ่อนความลับไว้ไม่น้อย เจ้าบอกว่าก่อนที่ตระกูลหันจะตรวจเจอหนานกงลี่ได้ไม่นานเคยแอบไปแคว้นเจาอย่างลับๆ คราหนึ่งมิใช่หรือ เขากลับมาได้ไม่นาน เซิ่งตูก็มีคนแคว้นเจามาเยือน เจ้าไม่คิดว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกันหรือ”
ท่านชายใหญ่หันเอ่ย “ลุงรองข้าเดาว่าคนแคว้นเจาพวกนั้นเป็นยอดฝีมือที่หนานกงลี่พามาด้วยจากแคว้นเจา เป้าหมายคือใช้จัดการกับพวกเราตระกูลหัน แต่ว่าหากเป็นดังที่อาจารย์ว่ามา หนานกงลี่ตายด้วยน้ำมือของเซียวลิ่วหลัง เช่นนั้นเซียวลิ่วหลังก็ไม่ใช่พวกเดียวกันกับตระกูลหนานกงแล้วล่ะ”
ฉีเซวียนยิ้มเอ่ย “ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ไม่ได้มีแค่สหายเท่านั้น ยังเป็นศัตรูกันได้ด้วย บางทีหนานกงลี่อาจจะล่วงเกินใครบางคนในแคว้นเจาไว้ก็ได้”
ท่านชายใหญ่หันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “หากเซียวลิ่วหลังเก่งกาจถึงเพียงนี้จริงๆ เช่นนั้นตระกูลหันอาจจะไม่ถือสาความเก่า พิจารณารับเขาไว้ใช้สอยก็ได้”
ฉีเซวียนวางถ้วยชาลงนิ่งๆ ก่อนหยิบขนมไส้ปูในจานขึ้นมาชิ้นหนึ่ง แล้วมองขนมไส้ปูน่าอร่อยพลางเอ่ย “เกรงว่าเจ้าคงลากเขามาเป็นพวกไม่ได้หรอก”
ท่านชายใหญ่หันเอ่ยอย่างฉงน “เหตุใดอาจารย์จึงเอ่ยเช่นนั้น”
ฉีเซวียนใช้สายตาบอก “เจ้ายังจำเรื่องที่โดนคนคลุมกระสอบบนถนนได้หรือไม่ นั่นน่ะ ฝีมือไอ้เด็กนั่น”
ท่านชายใหญ่หันตกใจยกใหญ่ “จะเป็นเขาได้อย่างไร”
ฉีเซวียนเอ่ย “ข้าเจอเข็มถังฮวาครึ่งเล่มที่หักเข้าไปในซอกกำแพงตรงจุดที่เจ้าเกิดเหตุ นั่นเป็นอาวุธลับที่ศิษย์น้องหญิงข้าชอบใช้ที่สุด คงไม่ใช่ศิษย์น้องหญิงข้าที่ลอบโจมตีเจ้าหรอก ศิษย์น้องหญิงข้าสามสิบกว่าแล้ว ร่างกายไม่เหมือนกับคนหนุ่มคนสาวหรอก”
ท่านชายใหญ่หันนึกย้อนความจำ “วันนั้นคนที่ลอบทำร้ายข้า…เป็นเด็กหนุ่มนั่นจริงๆ รึ”
ฉีเซวียนสะทกสะท้อนใจเอ่ย “เจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดา เป็นทั้งเพลงทวนตระกูลเซวียนหยวน ซ้ำยังร่ำเรียนอาวุธลับของสำนักถังเรามา”
ท่านชายใหญ่หันสีหน้าซับซ้อน “กล้าล่วงเกินสองตระกูลใหญ่ติดๆ กันเช่นนี้ ไม่ธรรมดาจริงๆ ”
ฉีเซวียนทอดมองไปยังถนนที่เริ่มสัญจรได้ รอยยิ้มค่อยๆ หายไป เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ล่วงเกินรึ ไม่หรอก เขาไม่เห็นตระกูลเก่าแก่อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ”