สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 696 ตอกกลับ
บทที่ 696 ตอกกลับ
อากาศร้อนอบอ้าว หลังจากการจราจรติดขัดอยู่หนึ่งเค่อก็เริ่มจะเคลื่อนที่ได้ในที่สุด
ช่วงข้างหน้าแออัดหนักมาก พอใกล้จะถึงตำหนักกั๋วซือกลับไหลลื่นสัญจรสะดวก ที่แท้ก็เป็นพวกคนที่ต่อแถวหมายจะพบกั๋วซือโดนลูกศิษย์ลูกหาของตำหนักกั๋วซือเกลี้ยกล่อมให้กลับ เหลือเพียงแค่สิบกว่าคนที่ยังไม่ยอมแพ้
รถม้าของกู้เจียวจอดลงฝั่งตรงข้ามของตำหนักกั๋วซือ
นางกระโดดลงจากรถม้า หยิบป้ายอาญาสิทธิ์ของปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นเดินไปยังหน้าประตูใหญ่
ลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือคนหนึ่งกำลังเกลี้ยกล่อมชาวบ้านสิบกว่าคนนั้นที่ไม่ยอมกลับกันอยู่ “วันนี้ใต้เท้ากั๋วซือพบแขกเพียงแค่สามคนเท่านั้น พบไปสองท่านแล้ว หากทุกท่านมีเทียบคารวะก็รีบนำออกมาเลย หากไม่มี ก็เชิญกลับไปเถิด วันหลังมีเทียบคารวะแล้วค่อยมาตำหนักกั๋วซือก็ยังไม่สาย”
อ้อ ต้องมีเทียบคารวะด้วย
กู้เจียวลูบคาง
ลูกศิษย์คนนี้ของตำหนักไม่เคยเห็นหน้ากู้เจียวมาก่อน แต่ก็ยังเอ่ยถามอย่างสุภาพ “ท่านชายท่านนี้ ไม่ทราบว่าเจ้ามีเทียบคารวะหรือไม่”
“ข้าไม่มีเทียบคารวะ ข้ามีแต่สิ่งนี้” กู้เจียวยื่นป้ายอาญาสิทธิ์ปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้นให้ลูกศิษย์ของตำหนักกั๋วซือ
ลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือรับมาดู ก่อนจะเอ่ยอย่างตกตะลึง “ท่านชายท่านนี้ เชิญด้านในขอรับ”
คนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างไม่พอใจขึ้นมา “อ้าว! มีสิทธิ์อะไรเขาถึงเข้าไปได้”
“นั่นน่ะสิ เขาก็ไม่มีเทียบคารวะเหมือนกันไม่ใช่หรอกหรือ พวกเรารอกันมาตั้งนาน หากจะเข้าก็ต้องเป็นพวกเราที่ได้เข้าก่อนสิ!”
ลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซืออธิบาย “ท่านชายน้อยท่านนี้มีป้ายอาญาสิทธิ์ของท่านอาวุโสเมิ่งปรมาจารย์หมากรุกแห่งหกแคว้น ท่านอาวุโสเมิ่งเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตำหนักกั๋วซือ คนที่เขาแนะนำสามารถเข้าไปในตำหนักกั๋วซือได้ เอาละ วันนี้แขกสามท่านเต็มแล้ว เชิญทุกท่านกลับไปเถิด”
“จริงๆ เลย! รอตั้งนานไม่ได้อะไรเลย!”
“นั่นน่ะสิ! รู้อย่างนี้คงไม่มาหรอก!”
“ท่าทางซอมซ่อแบบนั้น ใครจะรู้ว่าป้ายอาญาสิทธิ์เป็นของจริงหรือของเก๊”
ลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือส่ายหน้าอย่างจนใจ ราวกับกลัวว่ากู้เจียวจะคิดมาก เขาจึงเอ่ย “ท่านชายน้อยอย่าได้เก็บมาใส่ใจ พวกเขาไม่มีเทียบคารวะของตำหนักกั๋วซือ เดิมทีก็เข้าไปไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
กู้เจียวเอ่ย “อ้อ ข้าไม่เป็นไร”
พี่ชายน้อยเอาใจใส่กันทีเดียว
“ท่านชายน้อยเชิญตามข้ามา” ศิษย์ตำหนักกั๋วซือเดินนำกู้เจียวเข้าไปด้านใน
ทั้งคู่เพิ่งจะหันหลังเดินไปด้านใน จู่ๆ ด้านหลังก็มีรถม้าคันหนึ่งขับมา รถม้าเพิ่งจะจอด เด็กสาวนุ่งอาภรณ์สีขาวคนหนึ่งก็หิ้วชายกระโปรงกระโดดลงมา
ดูออกเลยว่านางค่อนข้างรีบร้อน
“โปรดรอสักครู่”
นางเรียกลูกศิษย์ของตำหนักกั๋วซือเอาไว้
กู้เจียวฟังแล้วคุ้นหู จึงหันมามองด้วยกันกับลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือ
“เจ้านี่เอง”
อีกฝ่ายเห็นกู้เจียวแล้ว จึงอดตกใจไม่ได้ “เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
กู้เจียวมองมู่หรูซินที่ปรากฏตัวขึ้นกะทันหันพลางเอ่ย “แล้วเหตุใดข้าจะมาอยู่ที่นี่ไม่ได้”
มู่หรูซินมองป้ายยิ่งใหญ่เคร่งขรึมเหนือศีรษะ คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อยพลางเอ่ย “นี่ตำหนักกั๋วซือ ไม่ใช่ที่ที่เจ้าพึงมาเสียหน่อย”
ลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือเอ่ย “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้มีธุระใดหรือ”
มู่หรูซินมีท่าทีต่อลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือดีกว่ามาก นางเอ่ยอย่างสุภาพ “ข้ามาขอพบกั๋วซือน่ะ ข้ามีเทียบคารวะ”
เอ่ยจบนางก็หยิบเทียบคารวะสีทองออกมาจากแขนเสื้อ
ศิษย์ตำหนักกั๋วซือจำได้ว่าเป็นเทียบคารวะตำหนักกั๋วซือจริงๆ แต่เขาก็ยังปฏิเสธอ้อมๆ “ขออภัยด้วย แม่นาง เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง วันนี้กั๋วซือของพวกเราพบแขกเพียงแค่สามคนเท่านั้น ท่านชายน้อยท่านนี้เป็นคนสุดท้าย”
“ขะ…เขาเป็นแค่ชาวแคว้นระดับล่าง! เขามีสิทธิ์เข้าพบใต้เท้ากั๋วซือได้อย่างไร!” มู่หรูซินชูเทียบคารวะในมือขึ้น ไม่เพียงเอ่ยกับลูกศิษย์ที่นำทางคนนี้เท่านั้น ยังเอ่ยกับศิษย์อีกสองคนที่เฝ้าประตูด้วย “พวกเจ้าดูให้ดี นี่เป็นเทียบคารวะของสำนักหมากรุก ใต้เท้ากั๋วซือมอบให้สำนักหมากรุกด้วยตัวเองเลย! น่าจะเป็นเทียบคารวะขั้นสูงสุดแล้วด้วย! ข้าไม่สนว่าคนผู้นี้เป็นเทียบคารวะที่ได้มาจากไหน เขาล้วนไม่มีสิทธิ์มาแซงหน้าข้า!”
เทียบคารวะก็มีการแบ่งระดับเช่นกัน ระดับหนึ่งเป็นเทียบทอง ระดับสองเป็นเทียบเงิน ระดับสามเป็นเทียบฟ้า
หนึ่งในนั้นมีแค่เทียบทองที่ใต้เท้ากั๋วซือเป็นคนประทับตราด้วยตัวเอง และคนที่มีสิทธิ์ได้รับเทียบทองล้วนเป็นพวกราชวงศ์ สำนักหมากรุกโชคดีได้มาหนึ่งเทียบ จึงถูกมองเป็นสิ่งล้ำค่ามาโดยตลอด
มู่หรูซินก็เปลืองแรงไปมากมาย รักษาโรคไอของผู้สืบทอดของสำนักหมากรุกให้หายดี จึงได้เทียบทองแผ่นนี้มา
ต่อให้วันนี้เป็นผู้สืบทอดตระกูลขุนนางเก่าแก่มา ก็ไม่อาจแซงหน้านางไปได้!
ศิษย์ตำหนักกั๋วซือขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าแม่นางเป็นคนแคว้นใด”
มู่หรูซินสะอึก
น้ำเสียงลูกศิษย์ตำหนักกั๋วซือราบเรียบหลายส่วน “แม่นางเป็นคนแคว้นเฉินกระมัง แม่นางมีสำเนียงแคว้นเฉินอันเข้มข้นอยู่ในสำเนียงของแคว้นเยี่ยน กลับเป็นท่านชายน้อยท่านนี้ที่ข้าไม่ได้ยินสำเนียงของแคว้นอื่นผสมเลย”
มู่หรูซินมุมปากกระตุกครู่หนึ่ง
ศิษย์ตำหนักกั๋วซือวิปริตกันเพียงนี้เชียวรึ แม้แต่สำเนียงก็ยังฟังออก
มู่หรูซินโดนเปิดโปงสถานะชาวแคว้นล่างต่อหน้าทุกคน จึงอับอายขายขี้หน้าขึ้นมา
นางถลึงตาใส่กู้เจียวอย่างแรง
เหตุใดยามเจอชาวแคว้นเจาผู้นี้ทีไรย่อมไม่มีเรื่องดีเลยสักครา บัญชีที่เขาตบหน้านาง หักแขนนางนางยังไม่ได้คิดบัญชีเขาเลย เขากลับดีนัก มาแย่งอภิสิทธิเข้าพบใต้เท้ากั๋วซืออีกแล้ว!
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางให้เขาได้ไปหรอก!
“เจ้าให้เขาเอาเทียบคารวะออกมาดูสิ! หากเป็นเทียบทองเช่นเดียวกันกับข้า…”
มู่หรูซินเพิ่งจะเอ่ยไปได้ครึ่งทาง ศิษย์ตำหนักกั๋วซือก็ชูป้ายอาญาสิทธิ์ที่ยังไม่ทันคืนกู้เจียวให้ดู ก่อนเอ่ยราบเรียบ “ท่านชายท่านนี้ถือป้ายอาญาสิทธิ์ของท่านอาวุโสเมิ่งมา ท่านอาวุโสเมิ่งเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตำหนักกั๋วซือ ของยืนยันของเขามีสิทธิ์กว่าเทียบทองในมือเจ้ามากนัก!”
มู่หรูซินนัยน์ตาหดเกร็ง “เป็นไปไม่ได้! เขามีป้ายอาญาสิทธิ์ของท่านอาวุโสเมิ่งได้อย่างไร! ต้องเป็นของปลอมแน่ๆ!”
มู่หรูซินไม่ได้มาเองคนเดียว หลังรถม้านางยังมีรถม้าอีกคันจอดอยู่ด้วย
บุรุษสง่าคนหนึ่งเดินลงจากรถม้า อายุราวๆ สี่สิบต้นๆ รูปร่างโปร่ง ไว้เคราแพะเล็กน้อย
เขาเอาสองมือไพล่หลัง เดินมาทางนี้ด้วยสีหน้าเยือกเย็น “วันนี้โชคดีที่ข้ามาด้วย ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่รู้ว่ามีคนแอบอ้างเป็นคนของสำนักหมากรุกมาหลอกลวงต้มตุ๋น!”
มู่หรูซินรีบหันกลับไปทักทายอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ปรามาจารย์เฟิง”
ศิษย์ตำหนักกั๋วซือขมวดคิ้วมองอีกฝ่าย “ท่านเป็นใครหรือขอรับ”
มู่หรูซินยิ้มเรียบ “ปากบอกปาวๆ ว่าท่านอาวุโสเมิ่งเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของตำหนักกั๋วซือของพวกเจ้า หรือว่าเจ้าจำไม่ได้ว่าท่านนี้คือลูกศิษย์เอกที่ท่านอาวุโสเมิ่งถ่ายทอดวิชาให้ด้วยตัวเอง ปรามาจารย์เฟิงเย่ว์ฮว๋า”
ท่านอาวุโสเมิ่งเป็นปรมาจารย์หมากรุก ลูกศิษย์เอกของเขาจึงถูกขนานนามว่าต้าซือ
ศิษย์ตำหนักกั๋วซือประสานมือให้ “ที่แท้ก็ปรามาจารย์เฟิงนี่เอง เลื่อมใสมานาน”
เฟิงเย่ว์ฮว๋าปรายตามองกู้เจียวแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ “ข้าไม่รู้จักคนผู้นี้สักนิด ป้ายอาญาสิทธิ์ที่เขาถือก็…”
เป็นของจริง!
เฟิงเย่ว์ฮว๋ามองป้ายอาญาสิทธิ์ที่ยื่นมาให้ พลางเผยสีหน้าตกใจเสียยิ่งกว่ามู่หรูซินอีก
มู่หรูซินถาม “ปรามาจารย์เฟิง เป็นอะไรไปหรือ”
“เจ้า…เจ้า…” เฟิงเย่ว์ฮว๋าถือป้ายอาญาสิทธิ์ไว้ในมือ พลิกไปพลิกมาเพื่อยืนยัน “เป็นป้ายอาญาสิทธิ์ของท่านอาจารย์จริงๆ ป้ายอาญาสิทธิ์ของท่านอาจารย์มาอยู่ในมือเจ้าได้อย่างไร! เจ้าไปขโมยมาจากไหน!”
“ข้าไม่ได้ขโมย” กู้เจียวเอ่ย
มู่หรูซินเหน็บแนม “เจ้าไม่ได้ขโมย แล้วได้ป้ายอาญาสิทธิ์แผ่นนี้มาจากไหน ทุกคนต่างรู้ว่าท่านอาวุโสเมิ่งหายตัวไปไร้ร่องรอย จวบจนบัดนี้ก็ยังไม่ทราบ ป้ายอาญาสิทธิ์ของเขาบังเอิญมาอยู่ที่เจ้าได้เพียงนี้เชียวรึ”
พวกชาวบ้านที่เดิมทีเดินไปไกลแล้วได้ยินเสียงมู่หรูซินก็ย้อนกลับมาใหม่ แต่ละคนเรียงแถวดูละครสนุกกันใหญ่
มู่หรูซินเห็นว่าคนเยอะ ก็ยิ่งอยากทำกู้เจียวขายหน้า “ให้ข้าเตือนทุกท่านเสียหน่อยดีหรือไม่ เจ้าทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่านัก! เจ้าเคยแอบอ้างเป็นหมอไปหลอกลวงต้มตุ๋นที่จวนอันกั๋วกง โชคดีที่ข้าพบทัน! ไม่เช่นนั้นอันกั๋วกงได้โดนเจ้ารักษาเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ทราบแล้ว!”
ชาวบ้านที่มุงดูเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“ไอ้หยา ยังหนุ่มยังแน่น เหตุใดจึงไร้ยางอายเช่นนี้เล่า”
“แม้แต่คนดีๆ อย่างอันกั๋วกงก็ยังหลอกลวง เขาไม่มีคุณธรรมเท่าใดนี่”
“ซ้ำยังขโมยป้ายอาญาสิทธิ์ของปรมาจารย์หมากรุกอีก! ตำหนักกั๋วซือก็ไม่สน! นึกไม่ถึงว่าจะพาคนพรรค์นี้เข้าไปพบใต้เท้ากั๋วซือ!”
“นั่นน่ะสิ!”
มู่หรูซินหยักยกมุมปากอย่างลำพอง “เซียวลิ่วหลัง ยอมรับดีกว่าว่าป้ายอาญาสิทธิ์นี้เจ้าเป็นคนขโมยมา!”
เฟิงเย่ว์ฮว๋าเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าไม่เคยเจอเจ้า! ปรมาจารย์หมากรุกไม่มีทางมอบป้ายอาญาสิทธิ์ให้เจ้าเด็ดขาด! ทางที่ดีเจ้าส่งคืนมาให้แต่โดยดีกว่า ไม่อย่างนั้น…”
“ไม่อย่างนั้นจะทำไมรึ”
เสียงชราราบเรียบดังลอยมาจากด้านหลังฝูงชน
เฟิงเย่ว์ฮว๋าพลันสะดุ้งสุดตัว หันไปมองอีกฝ่ายโดยไว
ฝูงชนหลีกทางออกให้โดยไม่รู้ตัว ท่านอาวุโสเมิ่งสีหน้าอึมครึมเดินมาหา
มู่หรูซินกับชาวบ้านทุกคนไม่เคยเจอท่านอาวุโสเมิ่ง ดูจากการแต่งกายและใบหน้าแล้วเป็นชายชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง
มู่หรูซินเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “เจ้ามาจากไหนน่ะ ข้าว่าเจ้าอย่ามายุ่งดีกว่า ข้างกายข้าท่านนี้เป็นลูกศิษย์เอกของปรมาจารย์หมากรุก เป็นเจ้าของสำนักหมากรุกในยามนี้…”
ท่านอาวุโสเมิ่งหยุดนิ่งข้างกายกู้เจียว ก่อนมองเฟิงเย่ว์ฮว๋าอย่างถากถาง “เจ้าของรึ”
เฟิงเย่ว์ฮว๋าหน้าซีดเผือด “หุบปาก!”
มู่หรูซินตกใจ
ปรามาจารย์เฟิง…ตวาดนางรึ
นางรักษาโรคไอเรื้อรังให้เขามานานหลายปี เขายกนางเป็นแขกกิตติมศักดิ์ ยามนี้ยังมาส่งนางที่ตำหนักกั๋วซือด้วยตัวเองโดยเฉพาะด้วย
เหตุใดจู่ๆ เขาก็…
เฟิงเย่ว์ฮว๋าเหงื่อเย็นพลันผุดซึมขึ้นมา เขาใช้แขนเสื้อเช็ดไม่หยุด ก่อนประสานมือโค้งคำนับให้ท่านอาวุโสเมิ่ง อ้ำๆ อึ้งๆ พูดอะไรไม่ออก
เมื่อครู่นี้อวดดีเท่าใด ยามนี้ก็ย้อนคืนเท่านั้น
ท่านอาวุโสเมิ่งเอ่ยอย่างดุดัน “คุกเข่าลง!”
เฟิงเย่ว์ฮว๋าโผลงคุกเข่าลงทันที!