สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 698 ทำความรู้จัก
บทที่ 698 ทำความรู้จัก
นี่คือใบหน้าที่กู้เจียวจำได้ แม้ว่าจะกลายเป็นเถ้าถ่านก็ตาม
เป็นโครงหน้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะยามหนุ่ม จะแก่ชรา จะสุขภาพดีหรือเจ็บป่วย
ประโยคที่ “แปรหนึ่งจึงผัน แปรสองพลันหวนคืน” บางสิ่งบางอย่างเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้งจนกลายเป็นเรื่องชินชา คำนั้นกำลังจะหลุดออกจากปากของกู้เจียวก็พลันค้างอยู่ที่ลำคอ
นางจ้องมองเขาด้วยสายตาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเรียกเขาด้วยน้ำเสียงที่เหมือนกำลังถาม “อาจารย์เองหรือ”
ใต้เท้ากั๋วซือเงยหน้าขึ้นจากความืด ดวงตาคู่นั้นแสนล้ำลึก มองมาทางกู้เจียวด้วยความสงสัย
ไหล่ที่เกร็งทื่อของกู้เจียวค่อยๆ ผ่อนคลายลง แววตาของนางก็เปลี่ยนไป
บ้าชะมัด… ชักจะเหมือนเกินไปแล้ว
หากวันหนึ่งอาจารย์แก่ตัว ก็คงจะหน้าตาประมาณนี้สินะ
ใต้เท้ากั๋วซือถามด้วยท่าทีสงบเยือกเย็น “ท่านชายมีนามว่าอันใด ต้องการสิ่งใดหรือ”
อาจารย์ไม่ทางเรียกนางว่าท่านชาย และไม่มีทางใช้น้ำเสียงที่สงบเช่นนี้
ดังนั้นจึงเป็นเพียงคนที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันเท่านั้นจริงๆ
สายตาของกู้เจียวตกอยู่ที่ถ้วยชาของใต้เท้ากั๋วซือ ถ้วยชาของเขาวางอยู่ด้านซ้ายมือเช่นเดียวกับแท่นหมึกและขาตั้งพู่กัน
เขาเป็นคนถนัดซ้าย
บังเอิญมาก อาจารย์ก็เหมือนกัน
ตอนนางอายุแปดขวบถูกอาจารย์พากลับไปที่องค์กร ทักษะทั้งหมดของนางล้วนสอนโดยอาจารย์ของนาง
อาจารย์ถึงแม้จะเข้มงวดมาก ดูภายนอกไม่เหมือนคนใจดี แต่หากไม่มีอาจารย์ นางก็คงฆ่าตัวตายไปแล้วเมื่อตอนอายุแปดขวบแล้ว
กู้เจียวเก็บความคิดของนางไว้ มองไปที่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้า นางไม่ได้รีบร้อนเอ่ยอะไรออกไป แต่ใช้สายตาถามกั๋วซือว่าขอกระดาษและพู่กันใช้สักครู่ได้ไหม
กั๋วซือผายมือส่งสัญญาณ บอกให้กู้เจียวใช้ได้ตามสบาย
กู้เจียวหยิบกระดาษและพู่กันบนโต๊ะขึ้นมา เขียนโจทย์คณิตศาสตร์ระดับสูงจากชาติที่แล้วไป แล้วเลื่อนกระดาษไปให้กั๋วซือดู
กั๋วซือผู้นี้เป็นผู้สร้าง “หกคัมภีร์แห่งแคว้นเยี่ยน” หนึ่งในนั้นอยู่ในมือของเซียวเหิง ในนั้นบันทึกความรู้ทางคณิตศาสตร์จากชาติก่อน และถูกแปลเป็นภาษาท้องถิ่นของแคว้นเยี่ยน
หลักฐานเหล่านั้นยังไม่เพียงพอ กู้เจียวต้องยืนยันด้วยตัวเองว่านางเขียนตัวย่อเหล่านั้น
ถ้ากั๋วซือข้ามกาลเวลามาจากชาติก่อนจริง เขาจะต้องรู้จักโจทย์นี้อย่างแน่นอน
เมื่อกั๋วซือเห็นโจทย์นั้น ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
กู้เจียวรู้สึกเหมือนกั๋วซือตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาของกู้เจียวก็เปล่งประกายขึ้น นางถามด้วยความสนใจ “เห็นอะไรหรือไม่”
กั๋วซือถอนหายใจแล้วเอ่ยน้ำเสียงจริงจัง “หลายปีมานี้ไม่เคยเห็นลายมือพู่กันที่ยุ่งเหยิงเช่นนี้มาก่อน ช่างเคืองลูกตายิ่งนัก”
กู้เจียว “…”
เพราะลายมือยุ่งเหยิงมาก กั๋วซือจึงต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะดูออกว่านั่นเป็นโจทย์ข้อหนึ่ง
เขาจ้องมองโจทย์นั้น หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วแก้โจทย์พร้อมทั้งคำตอบ
จากนั้นก็เขียนด้วยอักษรย่อแบบเดียวกับกู้เจียว
กู้เจียวหยิบมาดูแล้วเบะปากเอ่ย “ท่านก็เขียนไม่สวยเหมือนกันนะ แล้วจะว่าข้าอีก!”
“ข้าไม่ได้เขียนมาหลายสิบปีแล้ว”
“ดังนั้นจริงๆ แล้วท่าน…”
“เจ้า…”
“ข้าก็เช่นกัน!”
คนฉลาดไม่จำเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อม ไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องสงวนท่าที
กู้เจียวรู้ดีว่านางมาทำอะไรที่นี่ สถานะของนางในฐานะผู้ข้ามเวลาจะต้องถูกเปิดเผยในไม่ช้า เว้นแต่กั๋วซือจะไม่ได้มาจากช่วงเวลาเดียวกันกับนาง
แต่หากเขาไม่ได้ข้ามกาลเวลามา เขาก็คงไม่สามารถสร้างห้องผ่าตัดที่กู้เหยี่ยนจำเป็นต้องใช้
ดังนั้นกู้เจียวยอมให้เปิดเผยตัวตน และหวังว่าเขาจะข้ามกาลเวลามา
กั๋วซือมองกู้เจียวด้วยความตกใจ ดวงตาของเขาไหววูบ “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ … นานมากแล้ว… นานมากแล้ว… ”
กู้เจียวเข้าใจความรู้สึกของกั๋วซือ เท่าที่นางรู้มา กั๋วซือมายังแคว้นเยี่ยนเมื่อสามสิบปีก่อน ใช้ชีวิตเพียงลำพังในกาลเวลาที่แตกต่างมาสามสิบปี ในที่สุดก็ได้พบกับคนที่มาจากยุคสมัยเดียวกัน ย่อมต้องรู้สึกตื่นเต้นมาก
แม้กู้เจียวจะดูไม่ตื่นเต้นมากนัก เพราะนางไม่มีอารมณ์และความรู้สึกที่ลึกซึ้งเหมือนคนปกติ
แต่ถ้าจะให้นางอธิบายความรู้สึกของตัวเอง ก็คือนาง… รู้สึกดีใจเล็กน้อย
นางไม่ได้ต้องการคนประเภทเดียวกัน ดังนั้นว่าตามตรง ความรู้สึกดีใจส่วนใหญ่ของนางจึงมาจากความหวังในการช่วยรักษากู้เหยี่ยน
ทว่าคนอายุเท่ากั๋วซือ ผ่านประสบการณ์มามากมาย ชินชากับความเป็นความตาย เขาจึงยอมรับความจริงที่เห็นอยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาถาม “เจ้า… เล่าเรื่องของเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่”
กู้เจียวคิดก่อนจะตอบอย่างรวบรัด “ข้ามาจากศตวรรษที่ยี่สิบสอง ตอนนี้เป็นชาวแคว้นเจา”
กั๋วซือเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เจ้าช้ากว่าข้าหนึ่งศตวรรษ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
กู้เจียวอธิบาย “อุบัติเหตุเครื่องบินตก ใต้เท้ากั๋วซือเล่า”
กั๋วซือสีหน้าเหมือนกำลังนึกย้อนเรื่องราวในอดีตก่อนจะเอ่ย “ข้ามาตามหาใครคนหนึ่ง หาไปหามาก็มาถึงที่นี่”
ฟังดูแล้วคำเอ่ยของเขาค่อนข้างเจาะจง แต่ความจริงแล้วกลับว่างเปล่า ไม่อธิบายสาเหตุชัดเจนว่าเหตุใดเขาถึงข้ามกาลเวลามาได้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญ กู้เจียวเองก็ไม่ได้มาเพื่อถามหาความลับและอดีตของกั๋วซือ
“แล้วเจ้าค้นพบข้าได้อย่างไร” กั๋วซือถาม
กู้เจียวไม่สามารถบอกว่าตำราที่สูญหายของแคว้นเยี่ยนอยู่ในมือของพวกนาง หากพูดออกไปคงร้อนใจน่าดู แม้จะมากจากภพชาติเดียวกัน แต่ก็ไม่อาจเปิดเผยมากเกินไป
กู้เจียวเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องราวบางอย่างของท่าน รู้สึกว่าท่านอาจเหมือนกับข้า แต่ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ดังนั้นจึงลองทดสอบดูก่อน”
กั๋วซือพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
น้ำชาในกาต้มน้ำบนเตาต้มเดือดแล้ว
ศิษย์คนหนึ่งเดินมาจากท้ายเรือน นั่งคุกเข่าลงแล้วชงชาให้กู้เจียว จากนั้นก็ถอยออกไปอย่างเงียบๆ
“แล้ววันนี้เจ้ามาหาข้า…” กั๋วซือมองไปที่กู้เจียว
กู้เจียวเอ่ย “ข้าไม่ขอปิดบัง ข้ามีเพื่อนคนหนึ่งเป็นโรคหัวใจรุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดทันที ข้าอยากขอยืมห้องผ่าตัดของตำหนักกั๋วซือ”
“คราวที่แล้วคนที่มาถามหาห้องผ่าตัดที่ตำหนักกั๋วซือ คือเจ้าเองหรือ เจ้าเป็นคนเดียวกับที่ผู้อาวุโสเมิ่งพามาหรือ”
เย่ชิงเป็นศิษย์เอกของตำหนักกั๋วซือ เมื่อยามกู้เจียวมาตำหนักกั๋วซือครั้งแรก กั๋วซือไม่อยู่ เย่ชิงจึงต้อนรับนาง
กู้เจียวพยักหน้า “คือข้าเอง”
กั๋วซือมองไปที่กู้เจียวอย่างครุ่นคิด “อาวุโสเมิ่งบอกว่าเขาเจอเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่แคว้นเจา เล่นหมากรุกเก่งมาก”
กู้เจียว “…”
ความแตกแล้วสินะ
กั๋วซือหัวเราะ “ไม่เป็นไรหรอก ไม่ว่าเจ้าจะผู้ชายหรือผู้หญิง ข้าก็จะไม่บอกใครหรอก”
เขาเอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืนมองกู้เจียวแวบหนึ่งพลางเอ่ย “คราวหน้าติดลูกกระเดือกให้ตรงหน่อย เบี้ยวหมดแล้ว”
กู้เจียวลูบกระเดือกปลอมของตัวเอง “อ๋อ”
กั๋วซือเอ่ย “เจ้าตามข้ามา”
กู้เจียวตามกั๋วซือออกจากเรือนไม้ไผ่
อวี้เหอได้ออกไปแล้ว มีเพียงศิษย์คนหนึ่งที่เพิ่งรินชาให้กู้เจียวเดินตามมาเงียบๆ
กั๋วซือมองดูศิษย์ที่อยู่ด้านหลัง แล้วมองดูตะกร้าที่กู้เจียวแบกอยู่ พลางเอ่ยถาม “ตะกร้าหนักหรือไม่”
กู้เจียวส่ายศีรษะ “ไม่หนัก ข้าแบกเองได้”
กั๋วซือไม่ดึงดันถามต่อ
ทั้งสองเดินออกจากป่าไผ่ มุ่งหน้าไปยังหอเก็บตำราของตำหนักกั๋วซือ
“แต่ก่อนเจ้าเรียนแพทย์มาหรือ” กั๋วซือถาม
“ประมาณนั้น” กู้เจียวเอ่ย “ศัลยแพทย์ แพทย์แผนจีนก็เรียนมาบ้าง ท่านกั๋วซือเล่า ท่านก็เรียนแพทย์เหมือนกันหรือ”
กั๋วซือส่ายหรือ “ฉันไม่ได้เรียนหรอก”
กู้เจียวประหลาดใจ “แล้วห้องผ่าตัด…”
กั๋วซือชี้ไปข้างหน้า “เจ้าไปดูก็รู้เอง”
กู้เจียวรู้สึกแปลกๆ ขึ้นมาในใจ เหมือนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง
ทั้งสองเดินผ่านหอเก็บตำรา มายังห้องโถงขนาดใหญ่โอ่อ่า พื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาว คานหลังคาทำจากไม้หนานมู่ ลวดลายแกะสลักลวดลายวิจิตรตระการตา หรูหราอลังการ ช่างแตกต่างจากเรือนไม้ไผ่เล็กๆ อย่างสิ้นเชิง
เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่ากั๋วซือผู้เป็นเจ้าของตำหนักอันหรูหรา ยังเต็มใจที่จะอาศัยอยู่ในเรือนเล็กๆ เช่นนี้
ในห้องโถง เหล่าศิษย์ที่ทำงานอยู่ต่างโค้งคำนับกั๋วซือ
กั๋วซือพากู้เจียวเลี้ยวเข้าทางเดินด้านขวา เดินไปเรื่อยๆ จนสุดทางเดิน ตรงนั้นมีห้องที่มีประตูเหล็กปิดอยู่ มีทหารหน่วยกล้าตายสองคนเฝ้าอยู่
กู้เจียวรู้สึกได้ว่าทหารหน่วยกล้าตายสองคนนี้มีฝีมือไม่แพ้เทียนหลัง
นับแต่กู้เจียวข้ามกาลเวลามาที่นี่ เทียนหลังเป็นฝีมือตัวจริงคนแรกที่นางประมือด้วย เลยกลายเป็นมาตรฐานในการตัดสินทหารหน่วยกล้าตายของนางไปโดยปริยาย
“เปิดสิ” กั๋วซือเอ่ย
หนึ่งในทหารหน่วยกล้าตายสองคนหยิบกุญแจออกมา แล้วไขกุญแจเปิดกลอนประตูเหล็ก
ทหารหน่วยกล้าตายอีกคนหนึ่งผลักประตูเหล็กบานหนักออก
เพียงแค่ได้ยินเสียงทึบนั้น ก็พอจะรู้สึกถึงน้ำหนักของประตูเหล็กได้แล้ว
กั๋วซือเดินเข้าไปในห้องก่อน จากนั้นหันเบี่ยงตัวเอ่ยกับกู้เจียว “เข้ามาสิ”
กู้เจียวก้าวข้ามประตู
แต่สิ่งที่ปรากฏต่อสายตากลับเป็นห้องที่ธรรมดาว่างเปล่า
กู้เจียวอ้าปากค้าง “นี่มันอะไรกัน…”
กั๋วซือบอกทหารหน่วยกล้าตายที่เฝ้าประตูให้ปิดประตูเหล็ก หลังจากประตูเหล็กปิดลง ทันใดนั้นห้องก็มืดมิด
เขาเอ่ยกับกู้เจียว “ห้องผ่าตัด”
กู้เจียวเบิกตาโตเอ่ย “แต่ที่นี่ไม่มีแม้แต่เก้าอี้สักตัว”
กั๋วซือเดินไปตรงหน้ากำแพงที่อยู่ตรงข้ามกับประตูเหล็ก ยกมือเคาะเบาๆ แล้วมองข้ามไหล่ของกู้เจียวเอ่ย “เอาของที่อยู่ในตะกร้าออกมา แล้วใส่เข้าไป”
กู้เจียวล้วงมือเข้าไปในตะกร้าของตัวเอง
กั๋วซือเอ่ยเสียงผ่อนคลาย “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่เอาของเจ้าไปหรอก และถึงข้าเอาไปก็เปล่าประโยชน์ไม่ใช่หรือ”
กู้เจียวยิ่งประหลาดใจมากขึ้นไปอีก คนผู้นี้ช่างเก่งกาจเหลือเกิน รู้ทุกอย่างราวกับมีตาทิพย์ แม้แต่เรื่องที่ว่ากล่องยาของนางนั้นนางคนเดียวเท่านั้นที่เปิดได้
กั๋วซือมองดูกู้เจียว ไม่ได้บังคับนาง เพียงแต่ยิ้มบางแล้วเอ่ยถาม “จะไม่เอาออกมาจริงๆ หรือ ห้องผ่าตัดอยู่ในอีกมิติหนึ่งของกาลเวลา ถ้าไม่มีสิ่งนั้นก็ไม่มีใครเข้าไปได้”
กล่องยาใบน้อยนั้นสามารถพานางมาที่นี่ได้จริงๆ มันมีความสามารถในการทะลุมิติเวลาและมันยังเชื่อมต่อกับสถาบันวิจัยในชาติก่อนของนาง เพื่อคอยส่งมอบยาที่จำเป็นให้กับนางอย่างไม่ขาดสาย
แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นความลับของนาง เขารู้ได้อย่างไร
ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงความสงสัยในใจของกู้เจียว กั๋วซือจึงอดทนรอให้กู้เจียวตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ไม่คิดจะอธิบายให้กู้เจียวฟัง
ใช่แล้ว ใครก็มีความลับของตัวเอง ที่เขามองออกก็นับว่าเป็นฝีมือของเขา การที่เขาจะไม่อธิบายก็เป็นสิทธิ์ของเขา
กู้เจียวเดินเข้าไป วางตะกร้าเล็กลง แล้วหยิบกล่องยาใบน้อยที่ห่อคลุมด้วยผ้าฝ้ายออกมา ก่อนจะวางลงช่องว่างของผนัง