สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 699 เทพเจ้าราชาม้า
บทที่ 699 เทพเจ้าราชาม้า
ตอนนั้นเป็นเวลาราวบ่ายโมง เมืองเซิ่งตูฝนตกปรอยๆ
ผู้อาวุโสเมิ่งพาศิษย์ไม่รักดีไปหลบฝนในศาลาแห่งหนึ่งในตำหนักกั๋วซือใกล้กับประตูทางเข้า หากกู้เจียวออกมาเห็นก็จะเห็นพวกเขาได้ในทันที
ศิษย์ในตำหนักกั๋วซือนำชาและอาหารว่างมารับรอง
ผู้อาวุโสเมิ่งนั่งลงอย่างสงบเพื่อดื่มชา
ส่วนเฟิงเย่ว์หวาไม่มีวาสนาขนาดนั้น เขาเพิ่งทำเรื่องใหญ่ผิดไปแล้ว ตอนนี้ยืนอยู่ข้างปรมาจารย์เมิ่งอย่างสงบเสงี่ยมเหมือนนกกระทาตัวใหญ่ที่ทำผิด
ก็เป็นเพราะกู้เจียวไม่นับถือท่านอาจารย์เป็นเซียนหมาก คนอื่นๆ โดยเฉพาะคนในสำนักหมากล้วนไม่กล้าไปยุ่งกับท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์นิสัยไม่ดี เอาแต่ใจ ชอบติเตียน ไม่ฟังเหตุผล บางครั้งถึงขั้นไล่ลูกศิษย์ออกจากสำนัก เฟิงเย่ว์ฮว๋าไม่ใช่ลูกศิษย์คนแรกที่มาขอเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ แต่กลับเป็นคนเดียวที่รอดมาได้
จึงเป็นที่มาของการได้เป็นศิษย์เอก
ปรมาจารย์เมิ่งมีอำนาจมาก เพราะหนึ่งคือท่านเป็นแขกคนสำคัญของตำหนักกั๋วซือ สองคือท่านเป็นที่โปรดปรานของใต้เท้า และสามคือท่านเป็นคนไม่ยึดติดกับชื่อเสียงและลาภยศ ไม่สนใจสิ่งของภายนอก และไม่กลัวตาย
ใช้ชีวิตในแต่ละวันให้เต็มที่ ถ้าไม่มีชีวิตก็ไม่เป็นไร
ไม่มีจุดอ่อน ไม่มีความทะเยอทะยาน ย่อมไม่กลัวอะไร
ผู้อาวุโสเมิ่งเพิ่งดื่มชาหมดแก้วหนึ่ง เฟิงเย่ว์หวาก็รีบรินชาให้ท่านเต็มแก้วแล้วยิ้มเจื่อน “อาจารย์ ช่วงที่ผ่านมาท่านไปไหนมาหรือ ข้าตามหาท่านทั่วแล้ว ก็ยังหาท่านไม่เจอเลย สารถีท่านก็กลับบ้านนอกไปแล้ว ข้าหาเขาไม่เจอ”
ผู้อาวุโสเมิ่งให้คนขับรถลาพักร้อน เพราะว่าไม่อยากให้กลุ่มคนจากสำนักหมากรุกไปถามหาที่อยู่ของเขา แล้วมาขัดจังหวะเขา
ผู้อาวุโสเมิ่งฮึดฮัด
ในตอนนี้เขายังไม่อยากสนใจลูกศิษย์ทรยศคนนี้
มีตาหามีแววไม่ เหตุใดถึงไปยุ่งเกี่ยวกับคนใจคดเช่นนั้นได้
อย่ามาอ้างว่าอายุมากแล้วไม่ควรถือสาเด็กเมื่อวานซืน
นี่มันเรื่องที่ไม่ควรถือสาหรือ รังแกลูกศิษย์เขาเสียขนาดนั้น ถ้าไม่ใช้ไม้เรียวหวดก็นับว่าเขาเมตตามากแล้ว
ใช่แล้ว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เด็กน้อยคนนี้จะเป็นลูกศิษย์เขา
เขาจะไม่ยอมให้นางหนีเด็ดขาด
เฟิงเย่ว์ฮว๋ายิ้มเจื่อนพลางถาม “อาจารย์ ศิษย์น้องคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง อาจารย์พบเขาที่ไหน ช่วงนี้อาจารย์อยู่กับเขาตลอดเลยหรือขอรับ มู่หรูซินอกว่าเขาเป็นชาวแคว้นระดับล่าง ไม่ทราบว่าเขามาจากแคว้นใด มาจากแคว้นจ้าวหรือขอรับ”
ผู้อาวุโสเมิ่งมาจากแคว้นจ้าว เฟิงเย่ว์ฮว๋าจึงคิดว่าหากผู้อาวุโสเมิ่งรับศิษย์ จะต้องดูแลคนแคว้นจ้าวเป็นพิเศษ
ผู้อาวุโสเมิ่งส่งเสียงฮึดฮัด “มีเวลาไปสืบเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ไม่เอาเวลาไปขยี้ตาดูบ้างเล่า”
เฟิงเย่ว์ฮว๋าเอ่ยเสียงอ้อมแอ้ม “อาจารย์ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรส่งมอบเทียบเชิญของสำนักหมากรุกให้มู่หรูซิน”
สีหน้าของผู้อาวุโสเมิ่งราวกับอยากจะฆ่าเขาเสียให้ได้
เฟิงเย่ว์ฮว๋ารีบก้มหน้าลง “และข้าก็ไม่ควรพานางมาที่ตำหนักกั๋วซือด้วยตัวเอง”
ผู้อาวุโสเมิ่งยังคงแสดงสีหน้าราวกับอยากจะฆ่าเขาอยู่
เฟิงเย่ว์ฮว๋าเหงื่อตก ข้าพูดอะไรผิดอีกเล่า
ท่านพูดอะไรสักคำสิ
เฟิงเย่ว์ฮว๋าเช็ดเหงื่อเย็นๆ ออกพลางเอ่ย “ข้า ข้า ข้าไม่ควรข้องเกี่ยวกับนางเลย”
ผู้อาวุโสเมิ่งยังคงดื่มชาต่อไป
เฟิงเย่ว์ฮว๋าถอนหายใจยาว
ในที่สุดก็ทายสำเร็จแล้ว
เฟิงเย่ว์ฮว๋ามองไปด้านในตำหนักกั๋วซือด้วยความสงสัย ก่อนจะถามขึ้น “ศิษย์น้องไปหาใต้เท้ากั๋วซือมีอะไรรึขอรับ เหตุใดยังไม่ออกมาอีกเล่า”
พูดยังไม่ทันขาดคำก็มาพอดี
กู้เจียวเดินมาจากอีกฝั่งทางเดินพร้อมกับอวี้เหอ
ผู้อาวุโสเมิ่งลุกขึ้นเดินออกมาจากศาลา เฟิงเย่ว์หวารีบตามไป เมื่อลงบันไดก็ยื่นมือไปพยุงเขา “อาจารย์ ช้าๆ ขอรับ!”
ทั้งสี่คนเจอกันที่ประตูใหญ่ของตำหนักกั๋วซือ
อวี้เหอยกมือคำนับ “คำนับปรมาจารย์เมิ่งขอรับ”
ผู้อาวุโสเมิ่งพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่กู้เจียวที่อยู่ข้างๆ พลางเอ่ย “เป็นอย่างไรบ้าง”
กู้เจียวเอ่ย “ราบรื่นดี”
ผู้อาวุโสเมิ่งขมวดคิ้ว ดวงตาเปล่งประกาย “แล้วอีกนานแค่ไหนถึงจะ…”
กู้เจียวเอ่ย “ถ้าร่างกายของอาเหยี่ยนพร้อม ก็ทำได้ตลอดเวลา”
เฟิงเย่ว์ฮว๋ามึนงงอย่างหนัก อาจารย์และศิษย์น้องกำลังทายปริศนากันหรือไร เขาฟังไม่เข้าใจแม้แต่คำเดียว
ผู้อาวุโสเมิ่งลูบคาง “ดี ดีมาก ไม่เสียเที่ยว กลับกันเถอะ”
“อาจารย์ อาจารย์จะกลับไปเล่นหมากรุกหรือว่า… อ้ากกก” เฟิงเย่ว์ฮว่าเอ่ยยังไม่ทันจบ รู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่หลังเท้าขวา เขากัดนิ้วตัวเองด้วยความเจ็บปวด
ผู้อาวุโสเมิ่งดึงเท้ากลับอย่างใจเย็น โบกไม้โบกมือด้วยแขนอันเหี่ยวย่น สาวเท้าถี่ไปข้างหน้าอย่างไม่สนภาพลักษณ์ “โอ๊ะ สัญญากับอาเหยี่ยนไว้ว่าจะไปเล่นหมากรุกกับเขาวันนี้ รีบกลับ รีบกลับ!”
เฟิงเย่ว์ฮว๋า “…”
กู้เจียว “…”
ผู้อาวุโสเมิ่งแรงดีไม่มีตกแม้แต่ชรา เขารีบจ้ำไปยังตรอกด้านขวาของตำหนักกั๋วซือ ที่นั่นมีรถม้าจอดอยู่
แต่พอผู้อาวุโสเมิ่งมาถึงที่นั่นก็พบเจอปัญหาใหญ่
เดิมทีราชาม้าถูกผูกด้วยเชือกไว้กับเสา แต่ตอนนี้เหลือเพียงเชือกเท่านั้น
ผู้อาวุโสเมิ่งยืนตัวแข็งทื่อเหมือนถูกฟ้าผ่าลงตรงหน้า “ที่นี่คือเขตแดนของตำหนักกั๋วซือ ใครกันกล้าขโมยม้าที่ผูกไว้ที่นี่! มีใครเห็นไหม”
ศิษย์ที่อยู่ใกล้เคียงได้ยินเสียงของผู้อาวุโสเมิ่ง จึงเดินมาเอ่ย “ไม่เห็นเลยขอรับ”
หากมีคนต้องสงสัยปรากฏตัว ย่อมจะถูกพวกหน่วยกล้าตายตรวจพบอย่างแน่นอน
ดังนั้นจึงเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว นั่นคือราชาม้าวิ่งหนีไปเอง
ปกติราชาม้าชอบวิ่งเล่นไปทั่วยามลากรถม้า แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปที่ไหน ตราบใดที่มันเล่นจนเหนื่อยแล้ว มันก็จะลากรถกลับคืนมา ดังนั้นกู้เจียวจึงปล่อยให้มันวิ่งเล่นตามใจหากไม่รีบร้อน
ทว่าหากรถม้าจอดอยู่ กู้เจียวจะห้ามไม่ให้มันวิ่งเล่น
เจ้าม้าต้องคอยดูแลรถม้าสิ!
กู้เจียวขมวดคิ้วและลูบคางอย่างงุนงง “มันเห็นอะไรกันนะ”
ผู้อาวุโสเมิ่งนึกถึงนิสัยแสนดื้อรั้นที่เห็นเป็นประจำ ก็พลันเปลี่ยนสีหน้าทันที “เจ้าม้าโง่นั่นจะไม่โดนใครหลอกไปหรอกนะ”
บนถนนที่เงียบสงบและโล่งแจ้ง ราชาม้าอ้าปากกว้างและวิ่งไล่ตามชายและม้าที่อยู่ข้างหน้าอย่างสุดกำลัง
เดิมทีมันกำลังนั่งอยู่ที่ตรอกอย่างเบื่อหน่าย กำลังจะหลับอยู่แล้ว จู่ๆ ก็มีเงาดำแล่นผ่านหน้ามันไปอย่างรวดเร็ว จนขนของมันปลิวว่อน
ราชาม้าไม่เคยเห็นม้าที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อน จึงรู้สึกตื่นเต้นจนลืมง่วงนอน รีบสะบัดรถม้าทิ้ง กัดเชือกบังเหียนจนขาด แล้ววิ่งออกไปอย่างคึกคะนอง
ราชาม้าอายุเพียงสองปีครึ่ง แต่ความเร็วของมันกลับเร็วกว่าม้าที่โตเต็มวัยส่วนใหญ่เสียอีก มันวิ่งไล่ตามอย่างสุดกำลัง แต่ใช่ว่าจะตามทันได้อย่างง่ายดาย
มันไม่ยอมแพ้ วิ่งไล่ตามหลายสายถนน
ม้าตัวสูงใหญ่และแข็งแกร่งตัวนั้นหยุดลงที่หน้าจวนหลังหนึ่ง
หน่วยกล้าตายเดินเข้ามาคำนับ “ท่านชาย!”
ท่านชายใหญ่หันดึงเชือกบังเหียนเล็กน้อย ตอบเสียงต่ำ “เปิดประตู”
หน่วยกล้าตายเปิดประตูจวนตระกูลหัน ท่านชายใหญ่หันก็ม้าเข้ามา ทันใดนั้นประตูก็ปิดลงด้วยเสียงดังกึกก้อง
ราชาม้ายืนเหม่ออยู่ไม่ไกล
มันเป็นม้าที่ฉลาด ประตูเข้าไม่ได้ จึงวนรอบจวน แล้วพบทุ่งหญ้าที่มีรั้วล้อมรอบ
สุดทุ่งหญ้ามีคอกม้าเรียงรายอยู่
ราชาม้าถอยหลังไปหลายสิบก้าว ปรับความเร็ว วิ่งพุ่งไปข้างหน้าอย่างเต็มแรง แล้วกระโดดข้ามรั้วไป
หัวของมันเฉียดมุมรั้วไปเพียงนิดเดียว
เส้นขนของราชาตั้งชูชัน
เกือบจะกลายเป็นม้าตอนแล้วไหมเล่า
ราชาม้ากระโดดลงจากรั้วแล้ววิ่งไปที่คอกม้าโดยไม่หยุดพัก
ท่านชายใหญ่หันเพิ่งจะมอบม้าประจำตัวให้กับครูฝึกม้าชูหนาน ซึ่งเป็นครูฝึกม้าจากตระกูลหัน
ชูหนานตบคอม้าตัวนั้นเบาๆ พลางเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “มันอายุสิบเจ็ดปีแล้ว แต่ก็ยังแข็งแรงขนาดนี้”
โดยปกติแล้ว ม้าอายุสิบเจ็ดปีก็มีอายุเทียบเท่ามนุษย์วัยห้าสิบกว่าปีแล้ว ความแข็งแรงและสภาพร่างกายก็เริ่มถดถอย แต่ม้าตัวนี้กลับยังคงสมรรถนะยอดเยี่ยมเหมือนเคย
ท่านชายใหญ่หันเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “มันคือม้าราชาม้าเฮยเฟิงเชียวนะ”
ชูหนานยิ้มพลางเอ่ย “นั่นสินะ ในแผ่นดินนี้ก็มีแค่ราชาม้าเฮยเฟิงเท่านั้นที่ทำได้”
ท่านชายใหญ่หันลูบขนของม้าพลางถาม “มันยังแข่งได้อีกไหม”
ชูหนานยิ้มตอบ “ไม่มีปัญหาขอรับ”
ท่านชายใหญ่หันพยักหน้าพลางเอ่ย “ดูแลมันให้ดีนะ ให้มันแข่งได้อีกสักพัก”
ชูหนานตอบ “ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
ท่านชายใหญ่หันจากไป ชูหนานจึงพาราชาม้าเฮยเฟิงไปคอกม้าของมันเอง คอกม้านี้แยกจากคอกม้าของทหารม้าเฮยฟง เพราะหากปล่อยไว้ด้วยกัน มันอาจทำให้ม้าตัวอื่นๆ ตกใจ
ชูหนานเอาอาหารบำรุงมาให้ราชาม้าเฮยเฟิงกิน แล้วโรยเกลือลงไปด้วย
ราชาม้าเฮยเฟิงใช้พลังงานมาก กินหญ้าหรืออาหารหยาบเพียงอย่างเดียวไม่พอ อาหารบำรุงและดอกเกลือจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
“ชูหนาน! ม้าตัวนี้ดูเหมือนจะบาดเจ็บ เจ้ารีบมาดูหน่อย!”
“มาแล้ว!”
ชูหนานไม่ทันเก็บถังอาหาร เทน้ำใส่รางน้ำข้างๆ แล้วไปคอกม้าอีกหลัง
ราชาม้าก็เข้ามา หลังจากชูหนานไปแล้ว
เดิมทีมันตั้งใจจะมาหาราชาม้าเฮยเฟิงเพื่อต่อสู้ แต่เห็นอาหารน่ากินเหลือเกิน จึงรีบเบียดเข้ามาข้างๆ ราชาม้าเฮยเฟิง แล้วเริ่มแย่งอาหารจากมัน
ราชาม้าเฮยเฟิงที่เพิ่งโดนแย่งอาหารเป็นครั้งแรกในชีวิต “???”
ราชาม้าเฮยเฟิงโกรธแล้วแผ่รังสีกำลังอันทรงพลังออกมา ยกขาหน้าฟาดหน้าราชาม้าไปหนึ่งที
ราชาม้าไม่ใช่ม้าขี้กลัว ยืนตัวตรงขึ้นแล้วฟาดเท้าตอบโต้
แล้วมันก็โดนฟาดจนยับเยิน
ราชาม้าอายุแค่สองปีครึ่ง สู้ราชาม้าเฮยเฟิงที่โตเต็มวัยไม่ได้เลย
ราชาม้าสู้ไม่ได้ จึงลุกขึ้นยืนเข้าไปใกล้ราชาม้าเฮยเฟิง แล้วใช้หัวถูไถ ประจบประแจงอีกฝ่ายแทน
เพราะไม่ใช่ม้าโตเต็มวัย ราชาม้าเฮยเฟิงจึงไม่ได้ระวังตัวกับราชาม้ามากนัก
ยิ่งไปกว่านั้น ราชาม้ายังทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูมาก หลังจากถูกออดอ้อน ราชาม้าเฮยเฟิงจึงไม่ได้เตะมันอีก แม้ราชาจะมาจะแย่งอาหารกินก็ตาม
แต่การที่มันไม่ได้แตะราชาม้า ไม่ได้หมายความว่าราชาม้าจะไม่แตะมัน
ราชาม้ากินอิ่มหน่ำแล้ว จึงอาศัยจังหวะที่ราชาม้าเฮยเฟิงกำลังกินอย่างเพลิดเพลิน ฟาดเท้าใส่มันไปหนึ่งที
เตะราชาม้าเฮยเฟิงเสร็จ ราชาม้าก็วิ่งหนีไปทันที!