สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 704 จิตวิญญาณของเซวียนหยวน
บทที่ 704 จิตวิญญาณของเซวียนหยวน
กั๋วซือถามต่อ “เจ้าไม่เคยสงสัยเลยหรือว่ามีห้องผ่าตัดที่ตำหนักกั๋วซือได้อย่างไร”
ฟังคำถามจบ กู้เจียวก็ทำหน้างุนงง “ตำหนักนี้ก็ของท่านมิใช่รึ เหตุใดต้องให้ข้าถามคำถามแปลกๆ แบบนั้น ท่านไม่มีอะไรจะทำแล้วรึ!”
กั๋วซือ “…”
นางเดินไปที่ประตูแล้วยกม่านขึ้น “ลาก่อน”
…
กู้เจียว กู้เหยี่ยน และผู้อาวุโสเมิ่งขึ้นรถม้าเดินทางกลับ
ถึงแม้กู้เหยี่ยนจะเพิ่งผ่าตัดมาหมาดๆ ทว่าครั้งนี้ถือได้ว่าลุล่วงได้ด้วยดี สภาพตอนพักฟื้นก็ดูไม่เลว สามารถขึ้นรถม้าได้อย่างไร้กังวล
แต่มีอีกปัจจัยที่ไม่พูดถึงไม่ได้ นั่นก็คือถนนหนทางของเมืองเซิ่งตู
กู้เจียวนึกถึงคำพูดที่มักได้ยินในชาติก่อน ถนนดี ประเทศดี เห็นได้ว่าเส้นทางการคมนาคมมีความสำคัญต่อการพัฒนาเมืองและประเทศแค่ไหน
ไม่รู้ว่าตอนนี้ถนนที่แคว้นเจาทำไปถึงไหนแล้ว
ที่พักปัจจุบันของพวกเขาตั้งอยู่ในตรอกหยางหลิ่ว อยู่ทางฝั่งตะวันออกของสำนักบัณฑิตเทียนฉง และเป็นตรอกที่มีขนาดใหญ่กว่าตรอกปี้สุ่ย มีบ้านเรือนตั้งอยู่ประมาณยี่สิบครัวเรือน และมีสามเรือนที่ปล่อยเป็นบ้านเช่า มีแค่เรือนของกู้เจียวที่เช่าทั้งหลัง ส่วนอีกสองเรือนที่เหลือปล่อยเช่าเป็นห้องๆ ไป
ด้วยความมีชื่อเสียงของผู้อาวุโสเมิ่ง จึงกลายเป็นคนคุ้นเคยของชาวบ้านในตรอกซอย ไม่ว่าใครที่ผ่านไปผ่านมาก็ต้องเอ่ยทักทายผู้อาวุโส
ขณะที่กู้เหยี่ยนแทบไม่ได้ออกไปไหนเลย จึงไม่มีใครรู้จักเขา กู้เจียวผู้ซึ่งมักจะออกเช้าและกลับดึกเองก็ไม่ต่างกัน
“ท่านดังไม่เบาเลยนะ” กู้เจียวเอ่ยกับผู้อาวุโสเมิ่ง
แต่เขากลับไม่เข้าใจภาษาของกู้เจียว “ข้าพูดเสียงดังไปอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าหมายถึงท่านรู้จักคนเยอะน่ะ” กู้เจียวอธิบาย
“แบบนี้นี่เอง ภาษาแคว้นเจาของพวกเจ้านี่ก็แปลกดีแท้” ผู้อาวุโสตอบ “เด็กที่เดินผ่านเมื่อครู่นี้ ข้าเคยสอนหมากรุกให้เขาอยู่หนสองหนน่ะ”
เหตุการณ์มีอยู่ว่า ตอนนั้นขณะที่ผู้อาวุโสกำลังเดินเล่นอยู่ ก็บังเอิญเจอะกับบัณฑิตหนุ่มที่กำลังคร่ำเครียดกับการเล่น พอเห็นดังนั้นก็เลยเข้าไปชี้แนะให้
บัณฑิตหนุ่มคงหารู้ไม่ว่าเขาผู้นี้เป็นถึงเซียนหมากรุกในแคว้นทั้งหก
และแล้วรถม้าก็เข้าจอดที่หน้าเรือน
“ท่านพี่!”
กู้เสี่ยวซุ่นรีบวิ่งเข้ามาต้อนรับพวกเขา
กู้เจียวลงจากรถม้า “เสี่ยวซุ่น”
“ในที่สุดพวกท่านก็กลับมาเสียที!” กู้เสี่ยวซุ่นดีใจจนเนื้อเต้น พอเห็นว่ากู้เจียวกำลังจะเข้าไปช่วยกู้เหยี่ยนก็รีบตะโกนยกใหญ่ “ข้าทำเอง!”
“ไม่ต้องให้เจ้าช่วยหรอก ข้าเดินลงเองได้” กู้เหยี่ยนโพล่งขึ้นอย่างมั่นใจ ก่อนจะแสดงให้เห็นว่าเขาทำได้
ราวกับเด็กทารกกำลังหัดเดินอย่างไรอย่างนั้น
“ไม่เลวนี่กู้เหยี่ยน!” กู้เสี่ยวซุ่นยกนิ้วโป้งให้ “เดินเองได้แล้ว!”
พี่น้องคู่นี้ตบมุขรับมุขกันเป็นปี่เป็นขลุ่ยเชียว
ส่วนอาจารย์แม่หนานและอาจารย์หลู่ก็รีบวางงานที่กำลังทำอยู่ลงแล้วออกมาต้อนรับพวกเขา พอเห็นกับตาตัวเองว่าเด็กๆ ไม่เป็นอะไร ทั้งสองก็โล่งใจเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
อันที่จริงก่อนหน้านี้ท่านกั๋วซือได้ส่งข่าวมาบอกแล้วว่าพวกเด็กๆ ปลอดภัย แต่ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดี
อาจารย์แม่หนานประคองแขนของกู้เหยี่ยน ตรวจทานร่างกายของเขาแล้วเอ่ยด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลวเลย ผิวพรรณของเขาดีขึ้นมาก ไม่หมองเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
กู้เหยี่ยนคิดในใจ ท่านอาจารย์คิดว่าก่อนหน้านี้เขาโดนของเข้าหรืออย่างไร
“ยังเจ็บอยู่ไหม” อาจารย์แม่หนานถามขณะจ้องไปที่หน้าอกของเขา
“ไม่เจ็บแล้วขอรับ” กู้เหยี่ยนตอบ
อันที่จริงเขายังรู้สึกเจ็บอยู่บ้าง แต่ว่าไม่ได้สาหัสเท่าไหร่นัก เป็นความรู้สึกเจ็บที่เขารับได้ และในตอนนี้เขาก็กำลังดื่มด่ำกับความสุขที่ได้เป็นคนปกติ เจ็บแค่นี้เรื่องเล็ก
“แผลผ่าตัดไม่ได้อยู่ตรงนี้” จากนั้นกู้เหยี่ยนก็ได้อวดทักษะการรักษาของกู้เจียวให้อาจารย์แม่หนานได้ฟังและได้เห็น รอยแผลผ่าตัดทางอกด้านขวาที่มีขนาดไม่ถึงหนึ่งนิ้ว
อาจารย์แม่หนานตะลึงกับทักษะการแพทย์อันเป็นเลิศของกู้เจียว
“เหนื่อยแย่เลยเจียวเจียว” อาจารย์แม่หนานหันไปหากู้เจียว
กู้เจียวเสียเลือดไปมาก แต่หลังจากฟื้นฟูร่างกายอยู่ที่ตำหนักกั๋วซือ กู้เจียวก็ค่อยๆ ดีขึ้นและกลับมาเป็นปกติ
“ข้าไม่เหนื่อย” กู้เจียวตอบ
อาจารย์แม่หนานหันไปทางผู้อาวุโสอย่างเกรงใจ “ขอบพระคุณท่านเป็นอย่างสูง”
ไม่ต้องเอ่ยคำใดก็รู้กัน
ผู้อาวุโสเมิ่งไม่ตอบอะไร ได้แต่เอามือลูบหนวดของตัวเอง
“เอาละ เอาละ อากาศร้อนขนาดนี้ รีบพาเด็กๆ เข้าไปข้างในเถิด ประเดี๋ยวจะไหม้กันหมดเสียก่อน” อาจารย์หลู่เอ่ย
“ข้าต้มน้ำถั่วเขียวไว้พอดี!” อาจารย์แม่หนานหัวเราะพลางเอ่ยเสริม
กู้เหยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ทำตาลุกวาว เขาหิวจะแย่แล้ว
“เจ้ายังดื่มไม่ได้” กู้เจียวเตือนเขา
กู้เหยี่ยน “…”
เพื่อไม่ให้หัวใจทำงานหนัก ในช่วงระยะแรกหลังผ่าตัดจึงต้องให้ร่างกายอยู่ในภาวะขาดน้ำ และระวังการดื่มน้ำที่มากเกินขนาด
กู้เหยี่ยนทำหน้าผิดหวัง
อาจารย์แม่หนาน “…”
นี่ตนกำลังทรมานเด็กอยู่หรือเปล่านะ
จากนั้นกู้เหยี่ยนก็เริ่มมองหาราชาม้าเฮยเฟิง
“เดินได้แล้วล่ะ เดินไปที่ลานท้ายเรือนโน่น” อาจารย์แม่หนานหัวเราะ
กู้เจียวทิ้งยาไว้ให้พวกเขาก่อนที่จะเดินทางไปผ่าตัด ทุกๆ วัน กู้เสี่ยวซุ่นกับอาจารย์แม่หนานจะคอยป้อนยาให้ราชาม้าเฮยเฟิงจนตอนนี้มันเริ่มมีอาการดีขึ้นแล้ว
กู้เหยี่ยนชื่นชอบราชาม้าเฮยเฟิงเป็นพิเศษ
หนึ่งเพราะรูปลักษณ์อันสวยงามของมัน และสองเพราะมันเป็นม้าที่สงบนิ่ง ไม่ร้องโวยวายแบบม้าตัวอื่นๆ
ราชาม้าเฮยเฟิงเป็นอาชาไนยมีรูปลักษณ์ราวกับม้าที่มาจากตระกูลชั้นสูง แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไปด้วยความพยศและความฉลาด คุณสมบัติของมันตรงใจกู้เหยี่ยนเป็นอย่างมาก
จากนั้นเขาก็หยิบแปรงขึ้นมาหวีขนให้มัน
ราชาม้าเฮยเฟิงไม่รังเกียจเขาและยอมให้หวีแต่โดยดี
กู้เสี่ยวซุ่นและอาจารย์แม่หนานเองก็เคยหวีขนให้มัน ยกเว้นอาจารย์หลู่
ในสายตาของราชาม้าเฮยเฟิง สามพี่น้องกู้เสมือนเป็นลูกน้อย ขณะที่อาจารย์แม่หนานเป็นสตรี และผู้อาวุโสเมิ่งเป็นคนชรา เฮยเฟิงไม่คิดรังแกเด็ก สตรี และคนชรา
ขณะที่อาจารย์หลู่ไม่เหมือนกับพวกเขา ทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้ ราชาม้าเฮยเฟิงจะรำคาญและกระโดดถีบเขาอย่างรุนแรง
“มีขโมยขึ้นเรือนพวกเราด้วยล่ะ” อาจารย์แม่หนานเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่กู้เจียวไม่อยู่ให้ฟัง
“อ้อ” กู้เจียวสงสัย “แล้วเกิดอะไรขึ้น”
อาจารย์แม่หนานเล่าต่อ “วันนั้นเราทุกคนออกไปข้างนอกกันหมด เหลือเจ้าม้าเฮยเฟิงอยู่เฝ้าเรือนตัวเดียว พวกโจรมากันทั้งหมดสามคน ดูทรงน่าจะมีวิทยายุทธ์เสียด้วย พวกเขาเข้ามาในเรือน ค้นกล่องและตู้ต่างๆ จนเจอเงินเก็บของพวกเรา แต่เจ้ารู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น พวกโจรถูกราชาม้าเฮยเฟิงกระทืบจนหมดสติ ไม่มีใครรอดออกไปได้สักคน”
“ฝีมือราชาม้าเฮยเฟิงรึ” กู้เจียวหันไปมองทางกู้เหยี่ยนที่กำลังหวีขนให้เจ้าตัว “โห เก่งขนาดนี้เชียว”
กู้เหยี่ยนเริ่มถอนหายใจ “เจ้าตัวสูงจัง ข้าเริ่มเมื่อยแล้วนะ”
กู้เสี่ยวซุ่นคิดในใจ เพิ่งแปรงไปได้สองครั้งก็เริ่มบ่นแล้วรึ
ราชาม้าเฮยเฟิงจึงนั่งลง กู้เหยี่ยนเดินไปหยิบเก้าอี้มาแล้วนั่งแปรงขนต่อ
ขณะเดียวกัน ณ ตระกูลหัน
นี่ก็เข้าวันที่หกแล้วที่ราชาม้าเฮยเฟิงหายตัวไป ท่านชายใหญ่หันคอยตามหามันอยู่ตลอด แต่ก็คว้าน้ำเหลว
“หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมันนะ”
ไม่แปลกที่เขาจะคาดเดาเช่นนั้น ด้วยความที่ราชาม้าเฮยเฟิงเป็นม้าศึกที่เก่งกาจ ทุกคนต่างหมายปองราชาม้าเฮยเฟิงมาครอบครอง อาจมีใครบางคนคิดเล่นสกปรกกับเขาและลองทำร้ายราชาม้าเฮยเฟิงก็เป็นได้
“ท่านชายใหญ่ขอรับ! ได้เบาะแสของราชาม้าเฮยเฟิงแล้วขอรับ!”
ทหารนายหนึ่งรีบรายงานอย่างลุกลี้ลุกลน
“เฮยเฟิงอยู่ที่ไหน” ท่านชายใหญ่หันเอ่ยถาม
“อยู่ที่หัวเมืองด้านนอกขอรับ ใกล้ๆ กับสำนักบัณฑิตเทียนฉง อยู่ในตรอก…เอ่อ ตรอกหยางหลิ่วขอรับ! มีชาวบ้านแจ้งว่าพบเห็นม้าตัวหนึ่ง มีรูปลักษณ์คล้ายกันกับราชาม้าเฮยเฟิงขอรับ!”
ตัดภาพมาที่ตรอกหยางหลิ่ว หลังจากรับประทานมื้อกลางวันเสร็จ สมาชิกในเรือนทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปนอนกลางวัน
กู้เจียวนอนไม่หลับ
ช่วงที่ไปอยู่ตำหนักกั๋วซือ กู้เจียวมัวแต่ดูแลกู้เหยี่ยนจนแทบไม่มีเวลาฝึกซ้อม
พื้นที่ลานหลังเรือนค่อนข้างกว้างขวาง เจ้าราชาม้านั่งฟุบหลับไปแล้ว ส่วนราชาม้าเฮยเฟิงยังคงยืนพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอด
ส่วนใหญ่เฮยเฟิงจะยืนตลอด มีนั่งพักบ้างเป็นบางครั้ง
กู้เจียวค่อยๆ เริ่มฝึกจากกระบวนท่าที่ง่ายก่อน โดยเริ่มจากฝึกแส้
จากนั้นกู้เจียวก็ใช้ทวนพู่แดงฝึกกระบวนท่าที่เจ้าอาวาสเคยสอน
ตอนที่กู้เจียวกำลังฝึกแส้ ราชาม้าเฮยเฟิงยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ แต่พอกู้เจียวเริ่มเปลี่ยนมาฝึกทวนพู่แดง มันก็ทำท่าสนใจขึ้นมาทันที
ราชาม้าเฮยเฟิงจ้องกู้เจียวอยู่ตลอดจนกระทั่งกู้เจียวฝึกเสร็จ
หลังจากฝึกจนเหงื่อท่วมไปทั้งตัว กู้เจียวก็คว้าทวนพู่แดงขึ้นมาแล้วเดินเข้าไปลูบหัวราชาม้าเฮยเฟิง
มันเข้ามาใกล้ๆ ที่ทวนพู่แดงและทำท่าดมกลิ่น
“เจ้าชอบทวนนี่รึ” กู้เจียวถามด้วยความฉงน
ราชาม้าเฮยเฟิงค่อยๆ แลบลิ้นออกมาแล้วเลียที่ทวนพู่แดงไปหนึ่งทีก่อนจะดมต่อ ราวกับกำลังสร้างความทรงจำอะไรบางอย่าง
กู้เจียวไม่เคยเห็นมันสนอกสนใจของใช้ของคนขนาดนี้มาก่อน จึงตัดสินใจปักทวนไว้บนพื้น ไม่ได้เอาไปเก็บแต่อย่างใด
ราชาม้าเฮยเฟิงยังคงเข้ามาดมทวนพู่แดงอย่างต่อเนื่อง แววตาของมันค่อยๆ เลื่อนลอยและว่างเปล่า
กู้เจียวเข้าไปในเรือน อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อ พอออกมาดูอีกทีก็พบว่าราชาม้าเฮยเฟิงกำลังฟุบหลับอยู่ข้างๆ ทวนพู่แดง
โดยทั่วไปแล้วม้าจะนอนลงเมื่อรู้สึกสบายและปลอดภัยเท่านั้น
สายลมพัดผ่านพู่สีแดงจนก็ปลิวไสว
หนึ่งด้ามทวนปกป้องพิภพ ปราบสิ่งชั่วร้าย และขับไล่ศัตรูจากทุกทิศ
ตราบใดที่ทวนยังอยู่ วิญญาณของเซวียนหยวนจะไม่มีวันถูกทำลาย แผ่นดินแคว้นเยี่ยนก็เช่นกัน!