สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 709 ความโปรดปรานของฮ่องเต้
บทที่ 709 ความโปรดปรานของฮ่องเต้
อย่างไรเสียก็ไม่ใช่ทั้งพ่อทั้งแม่มารับพวกเขากันอยู่แล้ว จึงไม่มีใครอวดใครชนะได้
เพียงไม่นาน อาจารย์หลี่ประจำชั้นเด็กอัจฉริยะก็มาสอนพวกเขา
คงเพราะฮ่องเต้รับสั่งไว้ อาจารย์หลี่จึงไม่ได้สนใจองค์หญิงน้อยเท่าใดนัก ทำเพียงแนะนำให้เด็กๆ ในชั้นเรียนรู้จักบัณฑิตใหม่คนนี้ว่าชื่อเยี่ยนเสวี่ยเท่านั้น
แน่นอนว่านี่เป็นนามแฝง
เสี่ยวเสวี่ยกับเยี่ยนเสวี่ย ต่างกันแค่คำเดียว แต่อย่างหลังเมื่อออกจากปากอาจารย์อย่างเคร่งขรึมและสุขุมแล้ว จึงไม่ได้ทำให้ดูเหมือนเป็นชื่อของผู้หญิงอะไรเพียงนั้น
เหตุผลมีอยู่สามประการ
ประการแรก ในชั้นเรียนมีคนชื่อม่อหันเสวี่ย คนเขาเป็นเด็กผู้ชาย
ประการที่สอง การปลอมตัวเป็นชายนั้น นอกจากจิ้งคงแล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครคาดคิดถึงสักคน
ประการที่สาม นี่เป็นประการสำคัญที่สุด ตอนที่องค์หญิงน้อยแนะนำตัวกับเสี่ยวจิ้งคงนั้นนางอ้อนแอ้นเกินไป มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารังแก
เสี่ยวจิ้งคงรู้สึกว่าลูกผู้ชายตัวจริงควรจะเหมือนอย่างเขา ยืดอกผึ่งผาย สันหลังตั้งตรง แววตามุ่งมั่น แผ่กลิ่นอายความเป็นชายให้กำจายไปสองสามเมตร
อาจารย์หลี่ “จิ้งคง ไยเจ้าโดนตำราบังอีกแล้ว”
สองสามเมตรพลันลดฮวบลงมาเหลือแค่สองเซนติเมตรในชั่วพริบตา
เสี่ยวจิ้งคงยกตำราสามเล่มตรงหน้าออกอย่างเงียบๆ เสียก็ตรงที่ตัวเล็กเกินไป โต๊ะสูงกว่าตัวคนอีก
อันที่จริงเสี่ยวจิ้งคงก็ยังเด็กอยู่ แต่คนเขาเป็นถึงท่านหญิง คนเขาไม่ได้มาเพื่อเรียน แต่มาเพื่อสัมผัสประสบการณ์ชีวิต อาจารย์หลี่จึงไม่ได้เข้มงวดกับนางมากนัก
…หลักๆ คือไม่กล้าด้วย
เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงน้อยอยู่ด้วยกันกับเด็กมากมายถึงเพียงนี้ ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างกับในอดีตนัก
บรรยากาศในการเรียนก็ไม่เหมือนกัน
บัณฑิตในสำนักศึกษาหลวงส่วนมากเป็นเชื้อพระวงศ์ ที่ตั้งใจเรียนจริงๆ ก็มีอยู่หรอก แต่ที่มาเรียนไปวันๆ ก็เยอะแยะมากมายนัก
ทว่าบัณฑิตในชั้นเด็กอัจฉริยะกลับไม่มีใครมาเรียนไปวันๆ เลย อย่างน้อยๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่มี
พวกเขาล้วนผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มงวด ต้องมีสติปัญญาที่เหนือกว่าใครจึงจะได้เข้ามาในชั้นเรียนนี้
องค์หญิงน้อยเป็นคนที่สองที่ใช้เส้นเข้ามา
คนแรกนั้นคือบิดาขององค์หญิงน้อยอย่างเยี่ยนซานจวิน
แม้แต่เสี่ยวจิ้งคงที่ตอนนั้นมีใบรับรองการรับเข้าศึกษาก็ยังไม่ได้เข้ามาในชั้นเรียนนี้ทันที เขาสอบเข้ามาได้ทีหลัง
องค์หญิงน้อยรู้สึกว่าชั้นเรียนนี้น่าสนุก น่าสนุกกว่าสำนักศึกษาหลวงด้วย นางจึงตัดสินใจตั้งอกตั้งใจเรียน เป็นเด็กหญิงที่ฉลาดเฉลียวที่สุดในเซิ่งตู
นางหยิบตำราของตัวเองออกมา รวมถึงพู่กันน้อยๆ ที่ท่านลุงฮ่องเต้มอบให้โดยเฉพาะด้วย ก่อนจะจดบันทึกอย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อช่วงเช้าผ่านพ้นไป
นางก็วาดตะพาบน้อยได้แปดตัวแล้ว
ส่วนเสี่ยวจิ้งคงกลับตั้งอกตั้งใจเรียนตลอดภาคเช้า ไม่ใช่ว่าเขาชอบการเรียนอะไรหรอก แต่นี่เป็นหน้าที่ของเขา
ใครให้พี่เขยนิสัยไม่ดีของเขาไม่เอาไหนกันเล่า พี่ชายสองคนก็ไม่ชอบเรียนหนังสือ เขาจึงต้องมารับหน้าที่เป็นเสาหลักน้อยๆ ให้ที่บ้านแทน
เขาต้องประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงและเหนือกว่าใครให้เร็ววัน จะได้มาเลี้ยงดูเจียวเจียว เลี้ยงดูพี่เขยนิสัยเสีย เลี้ยงดูพี่ชายที่บ้านทั้งสองและเสี่ยวอีกับเสี่ยวสืออีด้วย
จู่ๆ ในชั้นก็มีแม่หนูน้อยที่ดึงดูดความสนใจของบัณฑิตในชั้นโผล่มา ประการแรกองค์หญิงน้อยอายุยังน้อยนัก น้อยกว่าเสี่ยวจิ้งคงเสียอีก ประการที่สององค์หญิงน้อยช่างน่ารักยิ่ง นั่งตัวนุ่มนิ่มปุ๊กปิ๊กอยู่ตรงนั้น ทำเอาอดใจไม่ไหวอยากจะลองบีบแก้มดูสักที
พอเลิกเรียน พวกสหายร่วมชั้นที่ใจกล้าๆ ก็พากันมารายล้อม บ้างก็ยืนอยู่หน้าโต๊ะ บ้างก็ฟุบโต๊ะ เบิกตาโตคล้ายสำรวจองค์หญิงน้อย
คนอื่นล้วนรู้สึกอึดอัดเมื่อเข้าหาผู้ใหญ่ แต่องค์หญิงน้อยกลับตรงกันข้าม
อย่างไรเสียในวังหลวงแห่งนี้ก็ไม่มีใครกล้าสนิทชิดเชื้อกับนางมากเพียงนี้
“นี่ เจ้าหนูน้อย เจ้ามาจากไหนรึ”
“ข้า…มาจากบ้าน”
ท่านลุงฝ่าบาทบอกว่าวังหลวงก็คือบ้านของนาง
“เจ้ากี่ขวบแล้ว”
องค์หญิงน้อยนับนิ้วดู ก่อนชูให้ดูสามนิ้ว “สี่ขวบ!”
ทุกคนพากันหัวเราะยกใหญ่
แม้แต่นับเลขเจ้าหนูน้อยยังนับไม่ถูกเลย ช่างซื่อบื้อนัก!
ทุกคนพากันลงมติเป็นเสียงเดียวกันว่าเจ้าหนูน้อยผู้นี้หลอกง่ายกว่าเจ้าหนูน้อยอีกคนมาก เจ้าหนูน้อยคนนั้นโหดเหี้ยมนัก สอบแต่ละทีก็คว้าที่หนึ่งหมด หมัดน้อยๆ นั่นก็หนักไม่เบา
“วันนี้เจ้าเรียนรู้เรื่องหรือไม่”
“รู้สิ!”
“เช่นนั้นอาจารย์หลี่สอนอะไร”
“สอน…สอน…” องค์หญิงน้อยตอบไม่ได้เสียแล้ว
นางวาดตะพาบอยู่ทั้งเช้า ได้ฟังอาจารย์สอนเสียที่ไหนกัน
ความคิดพิเรนทร์ของเพื่อนร่วมชั้นพลันผุดขึ้น คนที่ใจกล้าที่สุดยื่นมือไปหา หมายจะบีบแก้มองค์หญิงน้อย
องค์หญิงน้อยมีประสบการณ์การรับมือกับผู้ใหญ่มามากมาย แต่พวกเด็กๆ กลับทำให้นางทำอะไรไม่ถูก นางไม่รู้สักนิดว่าควรทำเช่นไร จึงได้แต่ซื่อเซ่อมองมือข้างนั้นเอื้อมมือมาบีบแก้มตัวเอง
ทันใดนั้น มือป้อมๆ ที่เห็นข้อต่อ (ไม่) ชัด (เลย) ก็คว้าข้อมือเพื่อนร่วมชั้นคนนั้นไว้
“ทำอะไรน่ะ”
เจ้าของมือน้อยๆ นั่นเอ่ยถามขึ้นอย่างผยอง
เพื่อนร่วมชั้นวัยเก้าขวบที่โดนคว้าไว้พลันตกใจ เขาอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ย “มะ…ไม่ได้ทำอะไร”
เสี่ยวจิ้งคง อันธพาลประจำชั้นเด็กอัจฉริยะเอ่ยขึ้นอย่างน่าเกรงขามสุดจะเปรียบ “ห้ามรังแกเพื่อนใหม่นะ ไม่เช่นนั้นข้าจะปล่อยเสี่ยวจิ่วมากัดพวกเจ้า!”
เสี่ยวจิ้งคงได้เป็นอันธพาลประจำห้องเป็นเพราะหมัดน้อยๆ ของตัวเองหนักอย่างนั้นหรือ
ไม่ใช่อยู่แล้ว
นกไห่ตงชิงผู้ดุร้ายบินตามหลังใคร หมัดก็หนักกันทั้งนั้นแหละ
ทุกคนรีบแยกย้าย
เสี่ยวจิ้งคงนั่งกลับลงที่เดิม
องค์หญิงน้อยหายจากอาการหวาดกลัวที่โดนบีบแก้ม แววตาเลื่อมใสมองไปยังเสี่ยวจิ้งคง “ว้าว เจ้าน่าเกรงขามมาก!”
เสี่ยวจิ้งคงที่เคยติดอันดับหนึ่งในสามปัญญาชนอันธพาลแห่งกั๋วจื่อเจียน วางมาดใหญ่โตโบกมือน้อยๆ ไปมา พลางเอ่ยอย่างอาจหาญไร้ที่สิ้นสุด “ธรรมดาน่า ต่อไปนี้ใครรังแกเจ้า เจ้าก็มาบอกข้า ข้าจะปกป้องเจ้าเอง!”
องค์หญิงน้อยพยักหน้าหงึกหงัก “เสี่ยวจิ่วที่เจ้าพูดถึงคือใครรึ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “นกที่ข้าเลี้ยงไว้น่ะ”
องค์หญิงน้อยเอ่ยอย่างสนใจ “ที่บ้านข้าก็มีนก!”
เสี่ยวจิ้งคงครุ่นคิด เดาน้ำเสียงตื่นเต้นของนางพลางถาม “เจ้าจะอวดนกกับข้าหรือ”
องค์หญิงน้อยเบิกตาโต “ได้หรือ”
“ได้สิ” เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้นะ พรุ่งนี้เอานกมาด้วย”
“อื้อ!”
ในฐานะที่เสี่ยวจิ้งคงเป็นเจ้าถิ่น จึงรู้สึกว่าตัวเองต้องเตือนนางอย่างยิ่ง “แต่เจ้าต้องแอบเอามานะ ห้ามให้อาจารย์เห็น ไม่อย่างนั้นอาจารย์อาจจะยึดนกของเจ้าได้”
องค์หญิงน้อยพยักหน้าหงึกๆ อย่างเชื่อฟัง “ได้ ข้าจำไว้แล้ว!”
เพราะนางเชื่อฟังยิ่งนัก เสี่ยวจิ้งคงจึงตัดสินใจว่าวันนี้จะไม่ดึงเปียน้อยๆ ของนาง เสี่ยวจิ้งคงเตือนต่อ “แล้วก็ หากข้าไม่อยู่ ถ้าพวกเด็กผู้ชายหน้าเหม็นพวกนั้นมารังแกเจ้าอีก เจ้าต้องโหดขึ้นหน่อยล่ะ”
องค์หญิงน้อยส่ายหน้าทันที “ข้าโหดใส่พวกเขาไม่ได้ ข้ารังแกผู้น้อยไม่ได้”
รังแกหมิงจวิ้นอ๋องไม่นับ นั่นห่างกันแค่ลำดับอาวุโสเดียว กอปรกับหมิงจวิ้นอ๋องก็ไม่ใช่เด็กๆ อายุของสหายร่วมชั้นพวกนี้พอๆ กันกับบรรดาหลานๆ ของนางเลยด้วยซ้ำ
ในฐานะที่นางมีลำดับอาวุโสเป็นย่า ต้องมีมาดของผู้อาวุโส ต้องรู้จักเมตตาเด็กๆ
องค์หญิงน้อยวัยสี่ขวบคิดเช่นนี้
……
ชั้นเรียนเด็กอัจฉริยะของสำนักบัณฑิตหลิงโปจะหยุดเรียนทุกๆ สิบวัน ก่อนหยุดหนึ่งวันมักจะเรียนเพียงครึ่งวันเท่านั้น วันนี้องค์หญิงน้อยมีเรื่องบังเอิญ
พอฮ่องเต้เลิกประชุมเช้าก็เปลี่ยนฉลองพระองค์เป็นสามัญชนเสด็จมารอองค์หญิงน้อยที่สำนักบัณฑิตหลิงโป นี่เป็นคำขอขององค์หญิงน้อย ไม่เช่นนั้นนางจะไม่มาเรียน
ฮ่องเต้ประทับในรถม้าที่พ่วงด้วยม้าสองตัว พาข้าทาสบริวารมาด้วยสองคน คนหนึ่งคือจางเต๋อเฉวียนหัวหน้าขันทีใหญ่ อีกคนคือสารถี
รถม้าจอดอยู่เงียบๆ ไม่สะดุดตา ในตรอกเล็กๆ อันแออัดที่เยื้องกับสำนักบัณฑิตหลิงโป ซึ่งมีรถม้าจอดอยู่ทั้งหน้าทั้งหลังหลายคัน เพียงแต่ยามนี้อากาศร้อนอบอ้าว คนบนรถม้าคันอื่นๆ จึงออกไปหาที่นั่งตากลม
รอบด้านจึงนับว่าเงียบสงบ
ฮ่องเต้เสด็จมาไวนิดหน่อย จึงรอมาหนึ่งชั่วยามแล้ว
ทรงตรวจฎีกาไปไม่น้อยแล้ว
จางเต๋อเฉวียนเห็นว่ารอบๆ ไม่มีคน จึงคล้องม่านขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วหยิบพัดกลมเล็กๆ มาพัดถวายให้เบาๆ
ถึงกระนั้น ฮ่องเต้ก็ยังมีเหงื่อซึมแผ่นหลัง คอเสื้อเปียกชุ่ม
จางเต๋อเฉวียนก็ร้อนยิ่งนัก ข้างๆ นี้เป็นโรงน้ำชาแท้ๆ จนด้วยเกล้าแล้วแต่ฮ่องเต้ไม่เสด็จไป
จางเต๋อเฉวียนอดนึกถึงอดีตขึ้นมาไม่ได้
ครั้งล่าสุดที่ฮ่องเต้ทรงมารับส่งเด็กคนหนึ่งโดยไม่กลัวแดดกลัวฝนเช่นนี้มันเมื่อใดกันแล้วหนอ เหมือนจะเป็นตอนที่องค์หญิงยังเด็กอยู่
จะว่าไปแล้วองค์หญิงก็เคยเป็นบัณฑิตในชั้นเด็กอัจฉริยะเช่นกัน เพียงแต่องค์หญิงสอบเข้ามาด้วยความสามารถ
แม้ว่าในวรกายองค์หญิงจะมีเลือดของเทพสงครามตระกูลเซวียนหยวนไหลเวียนอยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็สืบทอดความปราดเปรื่องของฮ่องเต้มา นางเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในบรรดาองค์ชายองค์หญิงทั้งหมด
ยังไม่ต้องพูดถึงตัวตนทายาทสายตรงของนางกับตระกูลมารดาอันแข็งแกร่งของนาง จางเต๋อเฉวียนมั่นใจว่านางมีความสามารถในการปกครองบ้านเมือง และเป็นตัวเลือกที่เหมาะกับตำแหน่งองค์รัชทายาทที่สุด
น่าเสียดาย
“เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ” ฮ่องเต้อ่านฎีกาอยู่ ราวกับถามขึ้นโดยไม่ใส่ใจนัก
“อ่า” จางเต๋อเฉวียนจึงได้รู้ตัวว่าตัวเองใจลอยไปไกลแล้ว ความเร็วในการพัดวีจึงช้าลง
พูดปดต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทนั้นไม่มีผลดีอะไร มีแค่คนโง่เท่านั้นที่จะคิดว่าคนอื่นโง่
จางเต๋อเฉวียนจึงทูลตามตรง “บ่าวพลันเลอะๆ เลือนๆ นึกถึงองค์หญิงที่เคยมาเรียนที่สำนักบัณฑิตหลิงโปเช่นกัน”
เพิ่งจะทูลจบ จางเต๋อเฉวียนก็แอบหยิกตัวเองไปหนึ่งที
พูดจาประสาอะไรน่ะ
องค์หญิงถูกถอดถอนตำแหน่งไปนานแล้ว เรียกนางแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
ทว่าฮ่องเต้คล้ายไม่ได้สังเกตถึงคำเรียกของจางเต๋อเฉวียน พระองค์วางฎีกาที่อ่านจบลงบนกองราชโองการทางขวามือ แล้วหยิบฎีกาฉบับใหม่ทางซ้ายมือมาเปิดต่อ ก่อนถาม “ข้างนอกว่ากันอย่างไรบ้าง”
จางเต๋อเฉวียนถาม “ฝ่าบาทหมายถึงเรื่องใดพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัสเสียงนิ่งๆ “เรื่องที่ซ่างกวานเยี่ยนกลับมา”
องค์หญิงถูกถอดฐานันดร ควรเรียกนามโดยตรง แต่ไยข้าจึงฟังแล้วแปลกๆ กันเล่า
จางเต๋อเฉวียนใคร่ครวญครู่หนึ่ง ก่อนทูล “วิจารณ์กันมากมายทีเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ตรัส “เล่ามา”
โดยปกติแล้วในสถานการณ์นี้ต้องห้ามปิดบังอะไรทั้งสิ้น อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็ไม่ชอบให้ใครมาเล่นแง่ต่อหน้าพระพักตร์อยู่แล้ว
จางเต๋อเฉวียนทูล “บ้างก็ว่าซ่างกวานเยี่ยนกลับมาเพื่อสืบความ หากคดีของสุสานกษัตริย์ยังไม่ได้บทสรุปวันหนึ่ง นางก็ยังกลับเซิ่งตูไม่ได้วันหนึ่ง บ้างก็ว่าฝ่าบาทอาศัยโอกาสนี้รับซ่างกวานเยี่ยนกลับวังมาเพื่อปกป้อง เมื่อจับมือลอบสังหารได้ก็ค่อยส่งตัวนางกลับสุสานกษัตริย์”
ฮ่องเต้อ่านฎีกาพลางตรัส “มีอีกหรือไม่”
จางเต๋อเฉวียนทูล “บ้างก็ว่า…หลายปีมานี้ท่านไม่สังหารซ่างกวานเยี่ยน เป็นเพราะท่านหักพระทัยลงมือกับนางไม่ได้…”
ฮ่องเต้ส่งเสียงอืมนิ่งๆ “ว่าต่อสิ”
ท่านทรงทราบได้อย่างไรว่ากระหม่อมยังเล่าไม่จบ
ดังนั้น อย่าได้คิดจะเล่นแง่ต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาทเด็ดขาด คนที่เคยลองมาแล้วล้วนตายกันหมด
จางเต๋อเฉวียนรอดมาได้ถึงยามนี้ก็เป็นเพราะเขาเป็นคนที่ซื่อสัตย์ที่สุด
จางเต๋อเฉวียนทูล “เกิดเรื่องใหญ่เพียงนั้นกับตระกูลเซวียนหยวน นึกไม่ถึงว่าท่านจะไม่ถอดถอนองค์ฮองเฮา ทำเพียงจับฮองเฮาเข้าตำหนักเย็น นอกจากนี้ฮองเฮาสวรรคตไปหลายปี ท่านก็ไม่ได้แต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ มีคนเดาว่าท่านยังคงอาลัยต่อเซวียนหยวนฮองเฮาอยู่ บางทีสักวันหนึ่งอาจจะเห็นแก่นางขึ้นมา…แล้วทรงอภัยโทษองค์หญิงก็ได้”
หากอภัยโทษแล้ว จากสถานการณ์ที่ฮ่องเต้ยังไม่ไม่ได้แต่งตั้งฮองเฮาองค์ใหม่ ต่อให้ซ่างกวานเยี่ยนไม่ใช่องค์หญิงก็ยังเป็นเชื้อสายสายตรงเพียงหนึ่งเดียวของฮ่องเต้อยู่ดี
ฐานันดรนี้หากบอกว่าไม่สูงส่งก็คงโกหก
สีพระพักตร์ฮ่องเต้เรียบเฉย ราวกับสิ่งที่พระองค์ได้ยินเป็นเรื่องของคนอื่น “ใครมันพูดกัน”
จางเต๋อเฉวียนทูลตามตรง “มากมายนักพ่ะย่ะค่ะ ที่จวนของบรรดาท่านอ๋อง ขุนนางทั้งหกกรม เหล่าชายาสนมในวังหลัง ต่างพูดกันหมด”
ฮ่องเต้คล้ายไม่ผิดคาด “คนของจวนไท่จื่อไม่มีใครพูดรึ”
จางเต๋อเฉวียนทูล “คนข้างกายไท่จื่อระแวดระวังกันมาโดยตลอด ไม่เคยได้ยินคำวิจารณ์ที่ไม่ดีต่อซ่างกวานเยี่ยนเลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้แค่นเสียงเฮอะ “เพราะเขาระแวดระวังเกินไป คนที่อยากให้เกิดเรื่องกับซ่างกวานเยี่ยนที่สุดคือเขาแท้ๆ ”
จางเต๋อเฉวียนสีหน้าพลันเปลี่ยน “ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้ตรัส “เราไม่ได้บอกว่าไท่จื่อคือฆาตกร แต่องครักษ์ลับของไท่จื่อก็ทำร้ายซ่างกวานเยี่ยนในวังหลวงจริงๆ เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
จางเต๋อเฉวียนทูลด้วยความสัตย์จริงระคนหวาดกลัว “บ่าวไม่กล้าวิจารณ์ส่งเดชพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ยิ้มเย็น ก้มหน้าก้มตาอ่านฎีกาต่อ
จางเต๋อเฉวียนปาดเหงื่อเย็น
ไม่ได้กลัวที่ฮ่องเต้ไม่บอกอะไรสักอย่างหรอก กลัวก็แค่พระองค์จะบอกมาเสียทุกเรื่องน่ะสิ ยิ่งรู้มากก็ยิ่งตายไว หลักการนี้เขารู้ดี
ในขณะที่เขากำลังคิดว่าฮ่องเต้จะตรัสถามเขาต่อว่า ‘เจ้าคิดว่าซ่างกวานเยี่ยนสูญเสียความทรงจำจริงหรือไม่’ นั้น จู่ๆ ฮ่องเต้ก็เปลี่ยนเรื่องไป “ยังไม่มีข่าวของซ่างกวานชิ่งเลยหรือ”
ซ่างกวานชิ่ง เลือดเนื้อเชื้อไขของซ่างกวานเยี่ยน อายุมากกว่าหมิงจวิ้นอ๋องเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น และโดนแย่งชิงตำแหน่งพระนัดดาองค์โตไปโดยสมบูรณ์
จางเต๋อเฉวียนตอบ “ไม่เลยพ่ะย่ะค่ะ ได้ยินนางกำนัลที่มาจากสุสานกษัตริย์บอกว่า พระนัดดาออกท่องเที่ยวป่าเขาลำเนาไพร กว่าจะกลับก็คงครึ่งปี”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตรัสอะไร
ฮ่องเต้ทรงเอ็นดูเด็กคนนั้นมาก แม้ว่าเด็กคนนั้นจะมีสายเลือดของตระกูลเซวียนหยวนไหลเวียนอยู่ในร่าง แต่เด็กคนนั้นร่างกายอ่อนแอ ใต้เท้ากั๋วซือบอกว่าเขาจะมีอายุขัยไม่ถึงยี่สิบ
พระนัดดาผู้ถูกกำหนดให้ตายตั้งแต่ยังเยาว์ผู้นี้ ไม่อาจเป็นหุ่นเชิดของตระกูลเซวียนหยวนได้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุนี้หรือไม่ ฮ่องเต้จึงได้ปฏิบัติต่อซ่างกวานชิ่งอย่างบริสุทธิ์กว่าเด็กคนอื่นๆ
ตอนที่ซ่างกวานชิ่งยังเด็กจะตามองค์หญิงไปสุสานกษัตริย์ ฮ่องเต้ก็กริ้วยกใหญ่
ฮ่องเต้ทรงโปรดเด็กคนนั้นจริงๆ โปรดเสียยิ่งกว่าองค์หญิงน้อยอีก