สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 99.1 ความจริง (1)
องครักษ์ลับของกู้เหยี่ยนหมดคำจะพูดแล้ว
ห้องเงินห้องทองก็ไม่ใช่ ต้องดีใจจนเนื้อเต้นขนาดนี้เชียว ไหนจะกลัวใครมาลากตัวออกไปอีก ขาเล็กๆ ลีบๆ อย่างนั้นน่ะรึจะไปสู้แรงใครเขาไหว!
ลืมไปแล้วหรือว่าตัวเองป่วยเป็นโรคหัวใจ
หรือว่าลืมไปว่าห้องฟืนที่จวนยังจะดูโอ่อ่ากว่าห้องชาวนาชาวไร่นี่อีก
แล้วใครหน้าไหนที่เคยบ่นเคยเหยียดว่าหมู่บ้านของตนเองสภาพงั้นๆ ไม่หรูหรา ไม่มีระดับ ไม่เห็นจะน่าอยู่!
เฮอะ!
ลำเอียงจริงๆ!
แม้พวกเขาจะก่นด่าในใจ แต่ก็ไม่อาจลากท่านชายน้อยให้ออกมาจากห้องนั้นได้ ถึงแม้ท่านชายน้อยจะตัดสินใจอะไรเอง แต่พวกเขาก็มิอาจเมินเฉยได้
ลงไม้ลงมือก็ไม่ได้ แตะนิดแตะหน่อยก็ไม่ได้ จะโกรธก็ไม่ได้ นี่แหละ ท่านชายน้อยที่กำลังป่วยหนักของพวกเขา!
“ทำเช่นไรดี”
“ก็ต้องเฝ้าแหละ ไม่เช่นนั้นให้ทำไงล่ะ”
“ข้าหมายถึงที่หมู่บ้านเวินเฉวียน จะไม่กลับไปก็กะไรอยู่ เดี๋ยวพวกเขาต้องส่งคนมาตามถึงที่แน่นอน”
ถ้าพวกเขาส่งคนมาตาม ท่านชายน้อยต้องโกรธมากแน่ๆ และพอเขาโกรธ อาการของเขาก็จะแย่ลง…
องครักษ์ทั้งสองพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่!
ทำไมพวกเขาถึงต้องมาทำงานให้ท่านชายเอาแต่ใจด้วยเนี่ย
หลังจากที่ตกลงกันอยู่สักพัก พวกเขาตัดสินใจว่าจะให้คนหนึ่งคอยเฝ้าที่นี่ ส่วนอีกคนกลับไปที่หมู่บ้านเวินเฉวียนซานเพื่อรายงาน
ขณะเดียวกัน ท่านโหวกู้กำลังสั่งให้คนซ่อมแซมแต่งเติมเรือนของกู้เหยี่ยน เพื่อเตรียมห้องไว้ต้อนรับกู้เจียว ห้องนั้นถูกตกแต่งอย่างดีด้วยของใช้ราคาแพง แลดูสะอาดสะอ้านและเรียบง่าย อีกทั้งยังประดับสวนดอกไม้เล็กๆ ไว้ข้างห้อง
อย่างไรเสีย เขาต้องให้เด็กสาวคนนั้นกลับมาอยู่กับเขา นี่เป็นความจริงที่เขามิอาจปฏิเสธ
เขาต้องการสร้างภาพลักษณ์บิดาที่ดี
…ให้แม่นางเหยาได้เห็น
“ทำห้องให้กว้างกว่านี้หน่อย!” ท่านโหวกู้ตะโกนสั่งพวกบ่าว
“ท่านโหว ถ้ากว้างกว่านี้ เกรงว่าจะทับต้นสาลี่ของท่านชายน้อยเอานะขอรับ” บ่าวเอ่ย
ท่านโหวกู้เอ่ยแบบขอไปที “เขาไม่ว่าอะไรหรอกถ้าเจ้าตัดมันทิ้ง!”
กู้เหยี่ยนไม่มีทางว่าอะไรเขาอยู่แล้ว เพราะทั้งหมดนี้ที่ทำไปก็เพื่อเด็กสาวคนนั้น!
จู่ๆ ภาพที่เขาเคยเผลอตัดต้นสาลี่ของกู้เหยี่ยนก็แวบเข้ามาในหัว ครั้งนั้นเขาโดนกู้เหยี่ยนโกรธไปเดือนกว่า พอนึกถึงเรื่องนี้ ท่านโหวกู้ก็เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง
หวงจงเอ่ยขึ้น “ท่านโหวขอรับ ไม่เร็วไปหน่อยหรือ แล้วคุณหนูใหญ่จะยอมเข้ามาอยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ หากนางไม่ยอมมา เกรงว่าเราจะเสียต้นสาลี่ของท่านชายน้อยไปเปล่าๆ นะขอรับ”
ท่านโหวกู้หัวเราะ “ข้ามั่นใจเกินร้อยเลยว่านางจะต้องมาแน่ๆ! พวกเขาสนิทกันขนาดนั้น นางไม่มีทางปฏิเสธเหยี่ยนเอ๋อร์อยู่แล้ว”
หวงจงเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ยังคิดไม่ตก พลางเอ่ย “แล้วถ้าท่านชายน้อยไม่ได้ถามนางเล่าขอรับ”
ท่านโหวกู้ถลึงตาใส่ “ไม่มีทางที่เขาจะไม่ถามหรอก เจ้าไม่เห็นหรือว่ากู้เหยี่ยนชอบนางขนาดไหน เมื่อก่อนเขาไม่รู้ว่านางเป็นพี่สาวแท้ๆ ของตน พอมาตอนนี้ เขารู้แล้ว มีหรือที่เขาจะไม่พานางกลับมา”
ระหว่างที่ทั้งสองกำลังคุยกัน องครักษ์ของกู้เหยี่ยนก็เดินเข้ามาพอดี
หวงจงทำท่าคว้าดาบที่เสียบอยู่ที่เอวตามสัญชาตญาณ
องครักษ์แสดงตราของตนเองให้พวกเขา “ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของท่านชายน้อยขอรับ มารายงานข่าวให้ท่านท่านโหวทราบขอรับ”
ท่านเหล่าโหวเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังให้องครักษ์ลับคอยคุ้มกันกู้เหยี่ยน ครั้งท่านเหล่าโหวยังเป็นวัยรุ่น เขาเคยฝึกอยู่ที่ค่ายทหาร ภายหลังค่ายทหารนั้นถูกราชวังเก็บเรียบ ทหารที่ไม่มีโอกาสได้ออกไปรบจึงถูกท่านเหล่าโหวเรียกมาทำงานด้วย
องครักษ์พวกนี้เป็นคนของเขาเอง ฝีไม้ต่อสู้เก่งกาจ เดินเหินตัวเบาไม่เป็นที่สังเกต จะเสียก็แต่มีจำนวนไม่มาก จะเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้มาประจำตัวอยู่ใกล้ๆ ท่านโหวกู้เลยสักคน
นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่ท่านโหวกู้ได้พบกับทหารของท่านเหล่าโหว เขาหรี่ตามอง พลางเอ่ย “เหยี่ยนเอ๋อร์รับสั่งให้เจ้ามารายงานข้างั้นรึ แค่พาเด็กนั่นกลับมา ถึงกับต้องมารายงานล่วงหน้าเลยทีเดียว”
องครักษ์เอ่ยตอบ “ท่านโหวเข้าใจผิดแล้วขอรับ ท่านชายน้อยไม่ได้ส่งข้าน้อยมา ท่านชายน้อยไม่มีเวลาว่างมายุ่งกับพวกข้าน้อยหรอกขอรับ ข้าน้อยแค่อยากจะมารายงานให้ท่านได้ทราบว่า ท่านชายน้อยคงไม่กลับมาที่นี่แล้วขอรับ”
“วะ ว่าอย่างไรนะ ใครไม่กลับมา” ท่านโหวกู้ถามย้ำอีกครั้ง
องครักษ์เองก็คิดว่าหรือว่าท่านโหวกู้หูไม่ค่อยดี เลยครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วค่อยๆ เอ่ยอย่างช้าๆ ชัดๆ “ลูกชายของท่าน กู้เหยี่ยนขอรับ”
ท่านโหวกู้ทำหน้าตึง “เหตุใดเขาถึงไม่ยอมกลับมา”
“เขาพักอยู่ที่เรือนของคุณหนูขอรับ” องครักษ์นิ่งไป กลัวว่าท่านโหวจะได้ยินไม่ชัด เลยพูดช้าๆ “ลูกสาวของท่าน กู้เจียวขอรับ”
ท่านโหวกู้เริ่มไม่สบอารมณ์ “เจ้าไม่ต้องพูด! ข้ารู้ว่าเป็นเด็กนั่น!”
องครักษ์ทำหน้างุนงง มองไปทางท่านโหวกู้ พลานึกในใจ แปลกคนจริงๆ ตอนพูดถึงท่านชายน้อยว่าเป็นลูกของท่าน ก็ไม่เห็นจะมีท่าทีอันใด พอเอ่ยถึงคุณหนูกลับใช้คำว่าเด็กนั่น นี่ท่านรักลูกไม่เท่ากันรึ
ท่านโหวกู้คิดในใจ เขาก็แค่ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน ไม่เข้าใจรึไง
และใช่ องครักษ์ไม่เข้าใจเขา
ตอนเรียนวิชาสังหารไม่เห็นมีใครมาสอนเรื่องนี้เลย
ท่านโหวกู้โกรธจนหน้ามืด ข้าให้เจ้าไปพานางกลับมา ไหงกลับตาลปัตรเสียได้!
และแล้วเรื่องทั้งหมดไม่นานก็ถึงหูแม่นางเหยา
แม่นางเหยาย้ายเข้ามาอยู่ที่เรือนของกู้เหยี่ยน หลังจากที่กู้เหยี่ยนออกไปได้ไม่นาน นางก็ตื่นขึ้น
พลางนึกในใจ สุดท้ายก็รั้งไว้ไม่ได้สินะ จากนั้นก็ส่ายหัวอย่างอดไม่ได้
ที่นางไม่อยากให้เขาออกไป ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงสุขภาพร่างกายของเขา แต่เป็นเพราะกลัวว่าเขาจะไปทำให้กู้เจียวลำบากใจ กลัวว่ากู้เจียวจะรับไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
พอรู้เรื่องว่ากู้เหยี่ยนไปพักอยู่ที่เรือนของกู้เจียว แม่นางเหยาจึงถอนหายใจโล่งอก
ในเมื่อนางยอมรับกู้เหยี่ยนแล้ว ก็แปลว่านางไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองโดนรบกวนแล้วสินะ หรือไม่ก็ นางคงรับเรื่องราวทั้งหมดนั้นได้แล้ว
แม่นมฝางเอ่ยด้วยความกังวล “ฮูหยินเจ้าคะ หมู่บ้านนั่นสุดจะแร้นแค้นแสนกันดาร ท่านชายน้อยจะอยู่ได้หรือเจ้าคะ”
ถึงแม้แม่นมฝางจะเป็นคนหัวรั้น ไม่ค่อยเป็นที่รักของบ่าวคนอื่นๆ เท่าใดนัก แต่นางเป็นคนที่ภักดีต่อแม่นางเหยากับท่านชายกู้เหยี่ยนมาก ส่วนกู้เจียวนั้น แม่นมฝางยังไม่ค่อยรู้สึกถูกชะตาเท่าใดนัก
แม่นางเหยาหัวเราะ พลางเอ่ย “เจียวเจียวคงดูแลเขาอย่างดีแหละ”
แม่นมฝางเอ่ยต่อ “อาหารการกินคงไม่ถูกปากหรอกเจ้าค่ะ”
แม่นางเหยาเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจเย็น “เจียวเจียวเขาเป็นหมอ มีความรู้มากกว่าพวกเราเสียอีก นางรู้ว่าเหยี่ยนเอ๋อร์ควรไม่ควรทานอะไร มิหนำซ้ำ ขอแค่เป็นอาหารฝีมือเจียวเจียว รับรองว่าเหยี่ยนเอ๋อร์ไม่มีทางปฏิเสธได้ลง”
แต่แม่นมฝางกลับไม่คิดเช่นนั้น “นางเป็นแค่ผู้ช่วยหมอธรรมดาๆ นะเจ้าคะ แค่บังเอิญเคยช่วยฮูหยินไว้สองครั้ง ไม่ได้แปลว่านางจะเป็นคนมีความรู้นะเจ้าคะ”
แม่นางเหยายื่นมือไปกุมมือของแม่นมฝาง ยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจเย็นแต่ครั้งนี้แฝงไปด้วยความหนักแน่น “แม่นม เจ้ายังไม่รู้จักเจียวเจียวดีพอ หากเจ้าได้ลองรู้จักนาง เจ้าจะต้องชอบนาง แบบที่ข้าชอบนางแน่นอน”
แม่นมฝางส่ายหัว
พลางคิดในใจ ตนเป็นแค่บ่าว จะรู้สึกชอบหรือไม่ชอบคนเป็นเจ้านายของตัวเองได้อย่างไร ต่อให้เป็นบุตรสาวของฮูหยิน วันข้างหน้า ไม่ช้าก็เร็ว เด็กคนนั้นก็ต้องจะมาเป็นเจ้านายของตนอยู่ดี เมื่อก่อนเคยทำผิดอะไรไว้ ต่อไปก็คงต้องชดใช้กรรมให้อยู่ดี
แม่นมรู้สึกว่าเด็กคนนั้นเป็นคนจิตใจเย็นชา เกรงว่าฮูหยินเองก็เอาไม่อยู่
ท่านโหวกู้เดินเข้ามาหาแม่นางเหยา ซึ่งกำลังเก็บข้าวเก็บของอยู่
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
แม่นางเหยาตอบ “ข้าจะเอาเสื้อผ้าและของใช้ไปให้กู้เหยี่ยน”
นางตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
จนถึงบัดนี้ แม่นางเหยายังไม่รู้เรื่องที่ท่านโหวกู้ทำร้ายกู้เจียว กู้เจียวไม่ใช่เด็กขี้ฟ้อง และต่อให้เป็นแบบนั้น นางไม่มีวันทวงบุญคุณต่อหน้าแม่นางเหยาแน่นอน ด้วยความที่แม่นางเหยามีอาการวิตกกังวลขั้นหนัก หมออย่างกู้เจียวจึงมิอาจพูดอะไรกระทบกระทั่งจิตใจของแม่นางเหยาได้
แม่นางเหยาดีใจกับเรื่องที่ตามหาบุตรสาวที่พลัดพรากจนเจอ และเป็นเพราะเรื่องนี้ ที่นางยอมยิ้มแย้มให้ท่านโหวกู้
แม้ท่านโหวกู้จะยังรู้สึกผิดต่อนาง แต่พอได้ยินคำตอบเมื่อครู่ ก็อดมีน้ำโหไม่ได้ “เจ้าจะส่งเสื้อผ้าไปให้กู้เหยี่ยนรึ นี่เจ้าคิดจะให้เขาพักอยู่ที่นั่นจริงๆ ใช่ไหม”
“ไม่ได้รึ” แม่นางเหยาย้อนถาม
“เอ่อ…” ท่านโหวกู้เกิดอาการพูดไม่ออกอีกครั้ง ดีแค่ไหนแล้วที่แม่นางเหยาไม่มองเขาด้วยสายตารังเกียจ ท่านโหวกู้จึงรีบตีหน้ายิ้มแย้ม พลางเอ่ย “ได้มันก็ได้อยู่หรอก ข้าแค่กังวลว่าเหยี่ยนเอ๋อร์อยู่ห่างเจ้าแล้วเกิดไม่คุ้นชิน”
“ก็จริง” แม่นางเหยาพยักหน้า
ท่านโหวกู้ทำหน้าดีใจอยู่ได้ไม่นาน จนกระทั่งได้ยินคำพูดของแม่นางเหยา “เช่นนั้นให้ข้าไปอยู่ด้วยกันกับเขาดีไหม”
“…!!”
ช้าก่อน ช้าก่อน
เจ้าก็จะไปด้วยรึ ได้ที่ไหนกันเล่า!