สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 122
บทที่ 122 ลงลึกไปถึงจุดเจ็บปวดแล้วหรือยัง
เสิ่นอีเวยเริ่มสงสัยว่ากลิ่นเหล่านี้มาจากไหน
เธอจึงค่อย ๆ เดินไปยังห้องนอน พอเดินไปถึงหน้าประตูปรากฏว่ากลิ่นเหล้ายิ่งอยู่ยิ่งแรง ณ เวลานี้เธอจึงมั่นใจว่าเป็นกลิ่นที่ห้องของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เลยตกใจ เขาดื่มเหล้าหรือ ?
พอจะหันตัวกลับไปปิดประตูและในทันทีทันใดนั้นข้างหน้าของเสิ่นอีเวยก็มีเงามืด ๆ ผ่านหน้าเขาไปด้วยความรวดเร็วเสิ่นอีเวยมองไม่เห็นชัดเจนและตกใจเกือบจะหลุดเสียงกรี๊ดออกไป
ในวินาทีต่อมา ไหล่ของเธอก็ถูกมือคู่หนึ่งจับไว้อย่างแน่น รวมทั้งร่างกายก็ถูกนำพาไปด้วยเสิ่นอีเวยถอยก้าวออกมาอย่างหลายก้าวมากนัก ในที่สุดก็ไม่สามารถยับยั้งไว้ได้ หลังก็โดนกระแทกกับกำแพงอย่างรุนแรง
เสิ่นอีเวยเจ็บจนต้องถอนหายใจเป็นยกใหญ่ พอรออาการเจ็บทุเลาลงสักครู่เธอจึงค่อย ๆ ลืมตาเซิ่งเจ๋อเฉิงได้ขว้างอยู่ข้างหน้า ใบหน้าของเขาห่างจากเธอเล็กน้อย แต่ว่าดวงตาที่งดงามของเขาในเวลานี้กลับเป็นเส้นเลือดที่แดงก่ำ
การหายใจของเขาที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่เข้มข้น เสิ่นอีเวยได้ก้มหน้าลง กระดุมเม็ดที่หนึ่งและสองของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ปลดออกจึงได้เห็นไหปลาร้าและหน้าอก ไหล่ทั้งสองข้างของเสิ่นอีเวยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงจับติดกับกำแพงอย่างแน่น เขาก็มองเธออย่างเงียบ ๆ เช่นนั้น แต่สายตาของเขากลับโมโหเหมือนสัตว์ประหลาดที่ถูกขังไว้ในกรง เธอจึงได้ลืมตากว้าง ๆ แต่ร่างกายกลับไม่สามารถขยับได้เลยแม้แต่นิดเดียว
ในใจของเสิ่นอีเวยเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ เธอจึงเงยหน้าด้วยความเยือกเย็นซึ่งประจวบเหมาะพอดีกับสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง “นายคิดจะทำอะไร ?”
ทั้งเรือนร่างของเธอถูกล้อมรอบด้วยเซิ่งเจ๋อเฉิงที่เต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่ฉุน จนกระทั่งเธอนั้นเป็นลมไปด้วย
เซิ่งเจ๋อเฉิงยิ้มแสยะพูดว่า “คุณปู่พูดอะไรกับคุณ ?”
เสิ่นอีเวยตกใจไปสักครู่ ทำไมเขาถึงรู้ว่าตัวเองกับคุณปู่คุยเรื่องอะไรกัน ?
“ดิฉันไม่รู้ว่านายพูดอะไรอยู่ ออกไป!”
เสิ่นอีเวยได้ใช้มือทั้งสองข้างไปจับบนไหล่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงใช้แรงที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อที่จะทำให้หลุดจากตรงนี้ไป เขาไม่อยากจะให้ปัญหาเหล่านี้มาตามรังควานให้มากไปกว่านี้ สีหน้าก็เริ่มที่จะเลวร้ายลง
ในอ้อมกอดที่เซิ่งเจ๋อเฉิงกอดรัดแน่น พร้อมเสียงที่ผสมกับความเยือกเย็นว่า “ผมอยู่ชั้นสองเห็นคุณกับคุณปู่อยู่ที่สวนดอกไม้ นานขนาดนี้เพิ่งจะมา คุณบอกกับผมว่าผมไม่รู้เรื่องว่าผมพูดอะไรงั้นหรือ ?
ถ้าหากพูดถึงทุกครั้งในเมื่อก่อนถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงบีบแขนนั้น เพียงเพราะเขาอยากจะหยุดเขา ทว่าในครั้งนี้ความแรงของเขากลับมีความคิดที่จะให้เสิ่นอีเวยรู้สึกถึงความเจ็บปวด
เสิ่นอีเวยถึงขนาดรู้สึกว่าทุกคำพูดทุกอักษรของเซิ่งเจ๋อเฉิง ทำให้กำลังแรงบีบยิ่งหนักขึ้น เธอรู้สึกว่าไม่ได้เจ็บเพียงแต่แขน แต่เป็นครึ่งท่อนตัวบนแทบจะรู้สึกหมดแรงและสลายไป
เสิ่นอีเวยเจ็บจนไม่สามารถพูดออกมาได้ ขาทั้งสองข้าวสั่นเป็นเพราะว่าเจ็บเกินกว่าจะทนไหวเหมือนกับว่าเส้นประสาททุกส่วนบนร่างกายมารวมอยู่ที่แขนของตนเองที่เซิ่งเจ๋อเฉิงบีบอยู่ ร่างกายของเธอก็เริ่มจะหมดแรงลงไป ขาทั้งสองข้างควบคุมไม่อยู่จึงค่อย ๆ คุกเข่าลง
แต่ทว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่ให้เธอเป็นดั่งหวังเช่นนั้น เขาปล่อยมือขวาออกมา จับเอวของเสิ่นอีเวยและได้จับเธอไว้เพื่อไม่ให้ลื่นล้ม และแล้วในเวลานี้มือซ้ายของเขาก็ได้เพิ่งความแรงขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัวในนั้นแฝงไปด้วยการเตือนและบังคับต่าง ๆ นานา
เสิ่นอีเวยก้มลงพร้อมด้วยกัดฟันด้วยความเจ็บปวด เพื่อไม่อยากที่จะพูดอะไรมากมายเกี่ยวกับเซิ่งเจ๋อเฉิงคนเมา เดิมทีเขาก็เกลียดเธอมากพอแล้ว ในค่ำคืนนี้เขายิ่งเป็นเสมือนมารร้ายอย่างไรอย่างนั้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงโมโหจนเสียงของเขาดังขึ้นจนสุดขีด “พูดสิ ! เสิ่นอีเวย ฉันให้คุณพูด ! คุณหูหนวกหรือไง !”
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าหูของตัวเองใกล้จะหนวกเต็มที่แล้ว เธอจึงกัดริมฝีปากตัวเองเงยหน้ามองเขา นี่คือเซิ่งเจ๋อเฉิงในรูปแบบที่เธอไม่เคยเห็น ความหมดอาลัยและความเสียใจ แต่ว่ารอบข้างกลับมาพร้อมความน่ากลัว
“นายจำเป็นจะต้องทำร้ายคนขนาดนี้ใช่หรือไม่ ? ” เสิ่นอีเวยพูดด้วยความเย็นชา
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจึงได้หยุดไปสักครู่หนึ่ง จึงได้ตอบไปพร้อมกับความรู้สึกที่เกลียด “คุณหมายความว่าอะไร ?”
น้ำเสียงและท่าทางของเสิ่นอีเวยมีความหัวเราะแบบเย้ยหยันว่า “ไม่เข้าใจหรือ ? ทุกครั้งนายก็ทำร้ายฉันเพื่อให้เกิดความสุข โดยคิดเอาว่าทุกคนทำเรื่องที่ไม่ดีต่อนาย ฉันขอถามนายหน่อย ทำไมคืนนี้นายถึงดื่มเหล้ามากขนาดนี้”
เซิ่งเจ๋อเฉิงกับน้ำเสียงคนเมาเหล้า ซึ่งตอนนี้ที่เขาสามารถพูดคุยกับเสิ่นอีเวยได้ก็เป็นเพราะอาศัยความมีสติที่เหลือกันน้อยนิด “ไม่มีอะไรเกี่ยวกับคุณ”
เสิ่นอีเวยมองไปยังเผ้าผมของเขาที่พะรุงพะรังไปหมด รวมถึงสายตาคู่หนึ่งที่แดงก่ำเพราะฤทธิ์ของสุรา ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยู่ดีดีก็คิดถึงเรื่องการแท้งลูก ในใจเต็มไปด้วยความปวดร้าวและ ณ ขณะนั้นก็เริ่มมีความเกลียดเคียดแค้นขึ้นมา เลยพูดออกไปด้วยความเสียงดัน
“ฉันพบในทันทีว่าความจริงแล้วนายก็น่าสงสารเหมือนกัน” เสิ่นอีเวยพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมลุ่มลึก
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังมองเธอด้วยสายตาที่ยังคงไม่ห่างไปไหนเลย มีเพียงแต่สายตาที่โกรธแค้น มือของเขาก็เพิ่งแรงบีบเข้าไปอีก เสิ่นอีเวยได้เพียงแต่กัดฟันอดทน
“คุณพูดบ้าอะไรของคุณ ? ”
นี่เป็นครั้งที่สองที่เสิ่นอีเวยใช้คำนี้มาแสดงถึงตัวตนของเซิ่งเจ๋อเฉิง ในครั้งแรกก็อยู่ในบ้านหลังนี้เช่นกันคือเธอนั้นถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงเข้าใจผิด โดยนึกว่าคืนนั้นเป็นเธอที่ฉีดอินซูลินเข้าไปในขวดยาของเสิ่นหุ้ย หลังจาก……หลังจากการถูกทำโทษครั้งนั้นเธอจึงไม่กล้าจะไปคิด และไม่มีความคิดที่ยินยอมจะไปคิดถึงมันอีก
แต่ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเพราะอะไรในใจของเธอกลับไม่มีความกลัวแม้แต่นิดเดียว
“เมื่อก่อนชั้นนึกว่านายคือคนที่สูงส่ง อยากได้อะไรก็ต้องได้สิ่งนั้นเป็นผู้ชายที่ทำอะไรก็สามารถสำเร็จได้ แต่ว่าคืนนี้ชั้นเพิ่งรู้ว่า นายและชั้นก็คือคนเหมือนกัน”
เสิ่นอีเวยรู้ว่าจุดอดทนสุดขีดของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่สามารถควบคุมเลยพูดต่อไปว่า “แม่แท้ ๆ ของเธอตายไปนานกว่า 7 ปีแล้วใช่ไหม ?”
ก็เพียงแต่ประโยคนี้ โทสะเซิ่งเจ๋อเฉิงก็บังเกิดในทันใด เขาก้มลงมองหน้าเสิ่นอีเวยสายตาคู่นั้นดุจธนู “ผมขอเตือนคุณว่าอย่าได้พูดเรื่องนี้อีก”
ซึ่งคำพูดที่พูดนั้นแฝงไปด้วยสิ่งที่ทำให้มีความน่ากลัวยิ่งนัก เสิ่นอีเวยเลยรู้สึกแปลก ๆ ผู้ชายที่เมาขนาดนั้นแต่ยังสามารถประคับประคองสติของตนเองได้ดีขนาดนี้ สรุปว่าเขาเมาหรือไม่เมากันน่ะ ?
“ได้ยินมาว่านายไปอเมริกาห้าปีแต่กลับบ้านได้แค่สองครั้ง หลังจากนั้น…..แม้แต่หน้าของแม่ตนเองก็ยังไม่ได้เจอ”
“เพิง !”
ร่างกายของเสิ่นอีเวยล้มไปอย่างรุนแรง แม้ว่าในสุดท้ายจะล้มลงไปที่เตียงอันแสนที่จะนุ่ม แต่ว่าแรงการกระแทกนั้นรุนแรงเหลือเลย เลยทำให้หัวของเธอรู้สึกมึน ๆ ในวินาทีต่อมาเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังเมาอยู่นั้นได้เข้ามาทำร่างกาย คอของเธอถูกบีบอย่างรุนแรง เขาได้มองเธอจากมุมสูงนั้น สายตาที่โกรธแค้นผสมกับความสะลึมสะลือ ราวกับสัตว์ประหลาดที่มีตาแดง ๆ อย่างไรอย่างนั้น
“ผมให้คุณหุบปาก ได้ยินไหม ! ”
ความรู้สึกของเสิ่นอีเวย ณ ตอนนั้นคือชาไปทั้งตัว คนที่ดื่มแล้วเมาในคืนนี้แท้จริงแล้วเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ว่าเสิ่นอีเวยกลับกลายเป็นปีศาจสุราที่ไม่รักชีวิตตนไม่ว่าจะเป็นคำพูดอะไรก็สามารถพูดออกมาได้ เพียงแต่ขอว่าให้ตัวเองนั้นใช้เวลานี้มาระบายความรู้สึกที่อัดอั้นใจมานานก็พอแล้ว
เพียงให้ใจรู้สึกสนุกกับมันก็นับว่ายิ่งดี
เสิ่นอีเวยพูดด้วยความโมโหอย่างกล้าหาญว่า “อะไรล่ะ ? มันเจ็บไปถึงสุดขั้วหัวใจเธอเลยใช่ไหม ? ”