สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 125
บทที่ 125 เรื่องนี้มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ
อยู่ในห้องรับแขกราวกับว่าเวลาและอากาศทุกอย่างหยุดอยู่ในนั้น เสิ่นอีเวยไม่ได้หันหัวกลับไป แต่เดินต่อไปยังข้างหน้าและพูดว่า “ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเธอ”
“ผมจำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนได้พูดกับคุณแล้ว ให้เป็นคนดีว่านอนสอนง่าย ไม่งั้นผมจะให้คุณเธอกับสิ่งที่คุณไม่สามารถรับมันไหว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้เดินไปยังข้างหน้าอีกหลายก้าวจึงเดินมายังต่อหน้าของเสิ่นอีเวย เขาได้พูดกับเธอว่า “อย่าลืมสิ คุณเคยนำพาความอัปยศให้กับผมมามากมาย การสวมเขา……คุณคิดว่าผมจะปล่อยคุณไปง่าย ๆ รึ ?”
เสิ่นอีเวยในทันใดนั้นเหมือนกับคนที่พูดจาไม่ออก
ใช่แล้ว ในค่ำคืนนั้นที่เธอได้โกหกและพูดกับเขาว่าลูกที่แท้งนั้นไม่ใช่ของเขา เพราะว่าเธอกับสวีอันฉิงได้ทาะเลาะในที่ของตระกูลเซิ่งวันนั้น เขานั้นได้มีคำพูดในทำนองที่ปกป้องสวีอันฉิงต่อหน้าพนักงานในบริษัท และในตอนนั้นใจของเธอก็ได้แตกสลายไป ณ ที่ตรงนั้น
เขาไม่ได้คำนึงถึงและดูแลเธอตอนที่เธอนั้นแท้งลูก เธอเหมือนถูกตบหน้าท่ามกลางคนมากมาย ผู้หญิงที่ถูกเขาปกป้องนั่นก็คือสวีอันฉิง พอคิดถึงเรื่องที่สวีอันฉิงได้ทำกับเธอเอาไว้ เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองในตอนนั้นด้อยค่าเหลือเกิน
ดังนั้นเพื่อที่เธอจะทำการแก้แค้นเลยทำให้ในตอนนั้นพูดแบบนั้นออกมา แต่งงานมานานขนาดนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของเธอเลยแม้แต่น้อย เลยทำให้นับแต่ตั้งจากนั้นเป็นต้นมา เธอจึงใช้วิธีเช่นนี้เพื่อให้เขานั้นรู้สึกเจ็บปวด
ซิ่งเป็นหนึ่งในวิธีทำลายศักดิ์ศรีของบุรุษคนหนึ่ง
เสิ่นอีเวยรู้ว่าตัวเองนั้นทำไม่ถูกต้อง แต่เธอก็ไม่มีวิธีอื่นใด
“พอแท้งลูก ร่างกายชั้นก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย ดังนั้นเลยไปหาหมอเพื่อหายาทาน”
ภายใต้สถานการณ์ที่เร่งรีบ เสิ่นอีเวยก็เลยได้ทำการโกหกอีกครั้ง
เซิ่งเจ๋อเฮฉิงที่บีบเธออยู่นั้นก็เลยค่อย ๆ ปล่อยออกมา ริมฝีปากที่สดสวยของเขานั้นก็ได้มีรอยยิ้มที่เยือกเย็น “อ้อ ที่แท้เป็นแบบนี้ แต่คุณนี่ก็น่าสงสารเสียจริงนะ พ่อของเด็กล่ะ ? ทำไมไม่เห็นเขามาเป็นห่วงเป็นใยเลย ? ”
เสิ่นอีเวยก็ได้เพียงแต่ฟังอย่างเงียบ ๆ เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้คำพูดที่เสียดสีจนทำให้ในใจของเธอนั้นเต็มเจ็บปวดจนจะหยุดหายใจ ใช่ ผู้ชายคนนี้เก่งเรื่องในการใช้คำพูดมาทำร้ายให้คนอื่นโมโห หากว่าอยากจะใช้วิธีเช่นนี้มาต่อกร เธอก็จะไม่ยอมแพ้อีกต่อไป
ระหว่างนั้น เสิ่นอีเวยในใบหน้าของเธอนั้นก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “สำหรับปัญหานี้ ก็ไม่จำเป็นจะต้องลำบากถึงท่านประธานเซิ่งมาเป็นห่วงหรอก พ่อของเด็กงานยุ่งเต็มไปหมด ชั้นจะหาเวลาไปหาเขาอย่างแน่นอน”
พอพูดเสร็จก็ไม่รอเซิ่งเจ๋อเฉิงตอบอะไร เธอก็เดินขึ้นห้องไป
หนึ่งก้าว หนึ่งก้าว ….เสิ่นอีเวยใช้พละกำลังทั้งหมดเดินอย่างเงียบ ๆ แต่ทว่ามือและเท้าของเธอไม่สามารถที่จะหยุดการสั่นได้ คำพูดที่จะไปหาพ่อของเด็กนั้นเป็นคำพูดที่เป็นเท็จ เธอเพียงแต่ไม่อยากจะยอมแพ้ต่อหน้าของเขา
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้มองเธอขึ้นไปยังบนห้อง สายตาที่เต็มไปด้วยความน่ากลัว เขาให้มือซ้ายของเขาออกจากอก และเห็นยาที่มีลักษณะกลม
พ่อของเด็กงานยุ่งมาก ฉันจะหาเวลาไปหาเขาเอง
คำพูดของเธอเมื่อสักครู่นี้ที่เต็มไปด้วยความดีอกดีใจเลยทำให้ในใจเขานั้นเต็มไปด้วยความโกรธ ในค่ำคืนนั้นเขาก็ไม่ได้เมาจนเสียสติไปทั้งหมด
ดังนั้นเธอต่อกรกับเขาอย่างไร รวมไปถึงตอนที่เขาเมารู้สึกว่าเสิ่นอีเวยเต็มไปด้วยความเจ็บปวด หลังจากนั้นก็ได้เห็นเธอนั้นกลืนยาลงไป แต่ทว่าต่อกับเรื่องราวพวกนี้เต็มไปด้วยความเลอะเลือนยิ่ง
ในตอนเช้าของวันนี้ที่ตื่นขึ้นมา เรื่องแรกที่เขาทำก็คือเดินไปเปิดลิ้นชักที่วางยา ขวดยาเล็ก ๆ สีขาว ดูไปแล้วก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายนัก แต่เขาพบว่าบนยานั้นไม่ได้มีคำอธิบายใด ๆ มีเพียงแต่ร่องรอยที่เห็นว่าถูกฉีกออก
เขาไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องยาอะไรมากมายนัก ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วเธอนั้นกินยาอะไรลงไป แต่เขาก็รู้ว่าหากถามเธอไป เธอก็คงไม่ตอบอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาเลยได้แอบเก็บไว้ที่ตัวเองหนึ่งเม็ด เขารู้ดีกว่าหากตรวจสอบขึ้นมาจริง ๆ ก็ย่อมตรวจได้แน่นอน และในตอนนั้นนั่นเองเขาก็ได้ข้อชัดเจนที่ว่าผู้หญิงคนนี้มีอะไรปิดบังเขาอย่างแน่นอน
แต่ว่าเธอได้บอกว่านั่นคือยาที่บำรุงร่างกายหลังการแท้ง ดังนั้นเขาเลยคิดว่าลูกนั้นไม่ใช่ของเขา
ยาที่อยู่บนมือเขานั้นกลายเป็นลูกไฟ ร้อนจนมือเขานั้นเจ็บไปหมด
มือของผู้ชายที่เต็มไปด้วยความโมโหก็ได้ทำให้สลายไป
ยาสีขาวเม็ดเล็ก ๆ ไม่รู้เลยว่าถูกทิ้งไปอยู่ที่ไหน
ตอนเย็นเวลาห้าโมงครึ่ง ณ บริษัทเซิ่งซื่อ
เสิ่นอีเวยได้ทำงานชิ้นสุดท้ายของวันนี้ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมา พอเธอเปิดดูเป็นเบอร์แปลกหน้า
ตกใจ แล้วรับสายโทรศัพท์
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะ“
ในปลายสายนั้นคือเสียงของผู้ชาย “ฮัลโหล อีเวยใช่ไหม ? ”
เสิ่นอีเวยตกใจ รู้สึกว่าทำไมเสียงนั้นรู้สึกคุ้น ๆ มาก เธอเลยได้ดูเบอร์ที่โทรมาอีกครั้งหนึ่งแต่กลับไม่ได้รู้สึกคุ้นตาสักเท่าไหร่
ทันใดนั้น เสียงและในความทรงจำนั้นได้ปรากฏภาพบุคคลคนหนึ่ง
เธอรู้สึกตกใจแล้วพูดว่า “คุณคือ คุณอา ? ”
เสียงปลายสายนั้นได้ฟังแล้วรู้สึกเธอนั้นเดาถูกต้อง ในเสียงนั้นก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นใจ “ใช่ใช่ใช่ ฉันคืออาไง อีเวย”
เสีนอีเวยไม่ได้พูดอะไรถึงสามวินาที เธอได้จับโทรศัพท์ไว้แน่นมากพร้อมด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “คุณโทรมาหาฉันมีเรื่องอะไรไหม ? “
เสียงปลายสายได้ยินเสียงที่เยือกเย็นของเธอ หัวเราะว่า “อย่าทำเหมือนคนไกลเลย ฉันคืออาแท้ ๆ ของเธอเลยหนา เพราะว่าไม่ได้ติดต่อกันนานเลยโทรมาหาน่ะ ในไม่กี่วันก่อนได้เห็นข่าวว่า……คุณได้เป็นรองประธานบริษัทเซิ่งซื่อแล้วหรอ ? ”
พอได้ฟังคำพูดของอาเธอที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม เธอเลยไม่สามารถที่จะควบคุมอารมณ์แล้วโกรธได้อีกต่อไป
อาคนนี้คือเสิ่นเหยียนชิ่ง เป็นน้องชายของเสิ่นเหยีนยเฟิง เคยได้ฟังเรื่องราวของอาจากคุณพ่อ อาคนนี้ตอนยังเป็นหนุ่มเคยได้ทำกิจการหลายอย่าง แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้สำเร็จอะไร กลายเป็นคนที่ไม่มีจิตใจมุ่งมั่นที่จะไปหาเงินก้อนใหญ่ ๆ
พ่อแม่ของเสิ่นอีเวยตอนมีชีวิตอยู่คุณอาก็ได้มายิบยืมเงินบ่อยครั้ง แต่หลังจากนั้นก็ไม่มีการคืนเลย แต่ว่าความจริงแล้วก็ไม่ได้มีผลกระทบต่อครอบครัวเธอสักเท่าไหร่ เพราะพ่อของเธอก็เป็นทนายความ แม่เธอก็เป็นบริษัทออกเงียบการแต่งงานซึ่งทั้งสองก็มีชื่อเสียงในแวดวงของตน ดังนั้นก็เลยไม่ได้ไปสนใจอะไรมากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น
ดังนั้นตลอดมาเธอก็คิดว่าคุณอาเป็นคนที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่น แต่ว่าหลังจากนั้นมาเรื่องราวทีเกิดขึ้นก็ทำให้เธอเองนั้นเห็นธาตุแท้ของอาคนนี้
สี่ปีที่แล้วพ่อแม่ของเธอนั้นประสบอุบัติเหตุก็ได้เสียชีวิตทั้งคู่ เรื่องพวกนี้เกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด ดังนั้นทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ไม่ได้มีการจัดการอย่างเรียบร้อย เธอก็เลยรับกลับมายังบ้านพอคิดไปถึงตอนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตส่วนมากก็จะมอบเงินทองให้กับองค์กรการกุศล เลยทำให้มีการตัดสินใจในการมอบเงินเหล่านี้ให้กับองค์กรการกุศล
ตอนนั้นเสิ่นอีเวยเพิ่งจะ 21 ปี ยังไม่จบมหาวิทยาลัย แต่เสิ่นหุ้ยแม้เป็นพี่สาวของเธอ แต่ว่าก็ไม่ได้มีความรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพ่อแม่ ตอนนั้นเลยทำให้ทั้งสองได้เกิดปากเสียงนั้น แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่ได้รับการแก้ไขอะไรเลย เนื่องจากความวุ่นวาย เขาเลยไม่ได้ไปเฟ้นหาต้นเหตุอะไรเลย