สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 131
บทที่ 131 นี่คือเงื่อนไขของฉัน
ถานจงหมิงพูดอย่างไม่รู้จักเหน็ดรู้จักเหนื่อย น้ำเสียงท้ายประโยคนั่นทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจเอาซะเลย ยิ่งสบตาคู่นั้นที่มันช่างขี้หลีอย่างแพรวแพรว เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าอากาศในห้องอาหารส่วนตัวมันชักจะเสียบรรยากาศ เธออยากจะรีบออกไปจากห้องนี้ทันที!
แต่ว่าหล่อนก็ยังคงพูดถึงประเด็นหลักของถานจงหมิงอยู่ วันนี้เสิ่นอีเวยใส่ส้นสูงมาดูเหมือนว่าจะสูงกว่าหัวถานจงหมิงครึ่งฝ่ามือได้ เธอมองเหล่เขาด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง : “ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าลูกสาวของคุณต้องการเลือกชุดแต่งงาน คุณควรให้เธอมาพูดคุยกับฉันเองแต่คุณมาพูดแทนเธอ นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่คะ?”
หล่อนนึกถึงผู้ชายขี้หลีก่อนหน้านี้ที่ก่อเรื่องไว้กับเธอจนเธออดไม่ได้ถึงกับรีบถอดส้นสูงแล้วฟาดลงบนหัวล้านเข้าอย่างจัง! แต่คนนี้เป็นคนที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนให้เธอออกหน้าแทนทำได้แค่อดและทนต่อไป
สิ่งที่เสิ่นอีเวยคิดว่าเมื่อพูดกับเขาตรงๆออกไปแล้ว ถานจงหมิงคงจะรู้สักกระอักกระอ่วนใจบ้างแต่ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากับประสานมืออ้วนเทอะทะนั่นได้แต่ยิ้ม : “งั้นก็ไม่มีปัญหาเลย! หากคุณนายเซิ่งหวังว่าจะคุยกับลูกสาวผมเป็นการส่วนตัว งั้นเดี๋ยวคราวหน้าที่เรามีเวลาได้พบเจอกัน ผมจะพาเธอมาด้วย คุณนายคิดว่ายังไง?”
เสิ่นอีเวยโมโหปรี๊ดแตกไม่เคยคิดเลยว่าบนโลกใบนี้จะมีคนไร้ยางอายได้ขนาดนี้ !ไร้ซึ่งจิตสำนึก เธอส่งสายตามาที่เซิ่งเจ๋อเฉิงขนาดเธอเองยังไม่รู้ตัวเลยว่าสายตาเธอนั้นมันมีแต่การส่งสายตาร้องขอความช่วยเหลือขั้นสุดท้ายแล้ว แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่ได้สบตาเธอเลยสักนิด
กว่าเธอจะตั้งสติได้เซิ่งเจ๋อเฉิงก็พาเธอมานั่งลงที่ตำแหน่งที่เตรียมไว้แล้ว
เสิ่นอีเวยมองสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าก็ทราบทันทีว่าอาหารเย็นมือนี้คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว นึกถึงเรื่องสิ่งที่เธอเองขอร้องไว้สองข้อ แม้ว่าในใจจะต้องอดทนก็ตามที งั้นก็กินๆไปเถอะ กินข้าวก็ไม่ได้เสียเลือดเสียเนื้ออะไร! ดูจากการแสดงออกของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าถานจงหมิงทำอะไรไว้กับเธอบ้างก่อนหน้านี้หน่ะ ไม่งั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงเขาคงไม่พาเธอมาอยู่ต่อหน้าชายที่อยู่ข้างหน้านี้หรอก
เซิ่งเจ๋อเฉิงแม้ว่าไม่ชอบเธอก็ตาม แต่เขาก็ไม่อนุญาตให้ผู้ชายหน้าไหนมาสานต่อความสัมพันธ์ใดๆกับตัวเธอได้เช่นกัน นี่แหละสิ่งที่น่ากลัวของเขามันคือการครอบครอง
การทานอาหารคืนนี้มีเซิ่งเจ๋อเฉิงนั่งอยู่ข้างๆตัวเอง เธอก็นั่งผสมโรงเงียบๆไปกับเขาแบบนี้แหละ เสิ่นอีเวยดูจากสถานการณ์ทั้งหมดมันไม่มีส่วนใดเลยที่พูดถึงเรื่องตัวเอง ก้อนหินก้อนใหญ่ที่มันแขวนไว้ในใจนั่นมันค่อยๆร่วงหล่นลง การรับประทานอาหารนั่นใกล้จะมาถึงจุดสิ้นสุด
ทว่าเสิ่นอีเวยรู้สึกแปลกขึ้นมาเพราะเขาพูดถึงเรื่องความร่วมมือในการทำธุรกิจ แต่ท้ายที่สุดแล้วเธอไม่เห็นพวกเขาเซนต์สัญญาใดๆเลยสักอย่าง ความคิดนี้มันแวบขึ้นมาอยู่ในหัวสมองเธอแล้วก็มลายหายไป ตอนนี้เธอแทบไม่มีเวลามากังวลกับสิ่งพวกนี้เลย วินาทีนี้เธอได้แต่อยากจะออกไปจากที่นี่ยิ่งเร็วยิ่งดี
เซิ่งเจ๋อเฉิงและถานจงหมิงยืนขึ้น เสิ่นอีเวยก็ยืนขึ้นตามมาด้วย เธอก้มหัวมองนาฬิกาข้อมือเวลามันปาเข้าไปสามทุ่มกว่าแล้ว
ถานจงหมิงยิ้มตอบเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วพูดต่อ : “งั้นดีเลย การตกลงร่วมมือกันก็ถือว่าผ่านมาด้วยดี รอแค่เราจะเซนต์สัญญาทันทีหลังจากขั้นตอนสุดท้ายเสร็จสิ้น ท่านประธานเซิ่งคุณคิดว่ามันเหมาะสมหรือไม่?”
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าเธอมองผิดไปหรือเปล่าหล่อนรู้สึกว่าถานจงหมิงพูดประโยคสุดท้ายนั่น เขาพูดกับเซิ่งเจ๋อเฉิงแต่กลับทอดสายตามาทางเธอ
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังคงทำสีหน้าเฉยเมยดังเดิม เขาได้แต่พยักหน้าแล้วก็หันหลังเดินไปทางประตู
เสิ่นอีเวยหยิบกระเป๋าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวจะออกไปพร้อมกับขา แต่เขากลับหยุดเท้าลงแล้วหันตัวกลับมาบอกเธอ : “เธออยู่ที่นี่แหละ อยู่เป็นเพื่อนกับท่านปะธานถาน”
เธอนึกว่าตัวเองฟังผิด สักพักก็ทำตาโตใส่เขา : “คุณพูดอะไร? ให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนกับเขาที่นี่อ่ะนะ ? เรื่องของพวกคุณที่จะคุยกัน คุยกันเสร็จแล้วไม่ใช่หรอ?”
คำพูดที่ว่า ‘อยู่เป็นเพื่อนนั่น’ มันทำให้ในใจเซิ่งเสิ่นอีเวยบีบรัดขึ้นมา ความรู้สึกที่อึดอัดมันไม่รู้จะพูดออกมายังไงดี
เธอที่อยู่ข้างหน้าพยายามปฏิเสธร้อยแปดพันเก้า สีหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังไร้อารมณ์อยู่เช่นเดิม เขาได้แต่พูดเย็นชาออกมา : “เมื่อกี้ท่านประธานถานก็พูดแล้วไม่ใช่หรอ? ลูกสาวของท่านกำลังจะสั่งตัดชุดแต่งงาน คุณให้ข้อแนะนำด้านนี้ได้โดยตรง”
เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดอะไรเพราะกำลังวิเคราะห์คำพูดของเขาว่ามันจริงหรือมันเท็จอะไรแค่ไหน หล่อนหันกลับไปมองถานจงหมิง เขากำลังจุดบุหรี่สูบอยู่บนโซฟา ดวงตาเล็กๆนั่นกำลังใช้สายตามองวิเคราะห์มายังเสิ่นอีเวย ลำตัวที่อวบอ้วนที่นั่งอยู่บนโซฟานั่นเหมือนว่าตัวโซฟาจะยุบลงไปสักครึ่งหนึ่งได้
ดูจากสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นแล้ว เสิ่นอีเวยหันกลับมาทางเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอจ้องมองเขาด้วยสายตาทอประกายวิบวับ
“คุณไม่อยู่ด้วยกันกับฉันหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มมองดวงตาของเสิ่นอีเวย แปบเดียวก็สามารถตัดสินได้ : “ฉันมีเรื่องงานที่ต้องกลับไปจัดการที่บริษัท เธอทำธุระเสร็จก็กลับบ้านเองได้เลย”
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าตัวเองว่าเริ่มคว้าแขนเสื้อของเขาตั้งแต่ตอนไหน ยิ่งตอนที่เขาพูดประโยคนั้นเสร็จ เหมือนว่าหากเขาใช้แรงอีกนิดหนึ่ง มือของเธอก็จะลื่นไหลลงมาจากแขนของเขา
มือของเธอช่างว่างเปล่าสักพักใจก็เคว้งคว้างเช่นกัน
“นี่คือเงื่อนไขที่คุณเสนอมันออกมา? คุยกับท่านประธานถาน?” เสิ่นอีเวยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองดวงตาหล่อนสักพัก ในนั้นมันอารมณ์ต่างๆมากมาย นานอยู่เหมือนกัน เขาเริ่มเปิดปากพูด : “ใช่ นี่คือเงื่อนไขของฉันเอง ท่านประธานถานเป็นลูกค้าของฉัน เธอต้องคุยกับเขาจนกว่าเขาจะถูกใจให้ได้”
พูดจบเขาก็เดินตรงดิ่งไปยังประตูออกจากห้องอาหารรับรอง ขนาดหัวยังไม่หันกลับมามองเธออีกเลย
เสิ่นอีเวยยืนอยู่กับที่ ในใจเริ่มหนาวเย็นขึ้นมา เธอรู้สึกว่าขาของเธอทั้งสองข้างไม่ค่อยฟังคำสั่งเธอเท่าไหร่มันไม่ขยับเขยื้อนยืนอยู่กับที่แบบนั้น
ได้…. นี่คือเงื่อนไขของคุณ …. งั้นฉันจะสมนาคุณให้
ยังไม่ทันหันหลังกลับ เสิ่นอีเวยก็ได้ยินเสียงถานจงหมิงที่เรียกชื่อเธอมาแต่ไกล : “คุณเสิ่น มานั่งที่นี่มา?”
เสิ่นอีเวยใจเต้น เมื่อกี้ยังเรียกคุณนายเซิ่งอยู่เลย ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคุณเสิ่นไปซะแล้ว ตาแก่นี่ตอนอยู่ต่อหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงกับทำตัวพินอบพิเทาเหมือนหมาปั๊ก
หล่อนหันหลังกลับไปด้วยสีหน้าปกติธรรมดาและเดินทอดน่องไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามกับถานจงหมิง ความห่างของทั้งสองคนประมาณสองเมตรได้
การแสดงออกทางความคิดของเสิ่นอีเวยเย็นชาเป็นอย่างมาก : “ท่านประธานถาน เชิญพูดค่ะ ท่านต้องการคำแนะนำอะไรบ้างคะ?”
ถานจงหมิงที่อยู่ตรงหน้าหัวเราะอย่างเฮฮา สีหน้านั่นไม่เหมือนกับเมื่อครู่ตอนที่อยู่กับเซิ่งเจ๋อเฉิงเลย ดวงตาที่ตี่เล็กนั่นมันกำลังพินิจพิจารณาใบหน้าตลอดจนเรือนร่างเสิ่นอีเวยอยู่: “วันนี้คุณเสิ่นแต่งตัวมิดชิด ผมคิดว่า ผู้หญิงควรจะแต่งตัวเปิดเผยอะไรที่ควรเปิดก็เปิด ส่วนสิ่งที่ไม่ควรเปิดก็เปิดบ้างในเวลาที่เหมาะสมแบบนี้ถึงจะได้เรียกว่าสวย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง –”
พูดจนถึงประโยคนี้ ถานจงหมิงก็ยืนขึ้นก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว แปบเดียวก็แทนที่ความห่างระหว่างเธอกับเขาไปแล้ว
เสิ่นอีเวยสติหลุดรีบยืนขึ้นมาต่อว่าเขา : “คุณจะทำอะไร!”
ถานจงหมิงถูมาไปมา รอยยิ้มบนใบหน้าทำให้เห็นรอยย่นที่จนทำให้คนรู้สึกน่าขยะแขยงทั่วทั้งใบหน้า
เขาพูดประโยคนั่นเขายังพูดต่อไม่จบ : “คุณเสิ่นอย่าตกใจไป เราค่อยๆเป็นค่อยๆไป…โดยเฉพาะคนที่เรือนร่างงดงามใบหน้ารูปไข่เช่นคุณเนี่ย มันควรจะแต่งตัวเปิดเผยสักนิดถึงจะพูดได้ว่างดงามหืม ? ก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่คุณถูกผมฉีกกระโปรงจนขาดแหว่งแบบนั้นไง ยังจำได้ไหมคุณเสิ่น?”