สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 132
บทที่ 132 เขาเป็นคนส่งเธอมาให้ฉันกับมือ
ในหัวของเสิ่นอีเวยว่างเปล่าเริ่มมีอาการหูอื้อ หล่อนรู้ว่านี่เป็นอาการตื่นกลัวของตัวเอง หล่อนพยายามที่จะบังคับอารมณ์ให้นิ่งเอาไว้เพื่อให้สมองตัวเองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
ถานจงหมิงค่อยๆถกเรื่องที่โรงแรมก่อนหน้านี้ขึ้นมายิ่งพูดก็ยิ่งดูมีรสชาติขึ้นเรื่อยๆ
เสิ่นอีเวยฟังต่อไปไม่ได้แล้ว น้ำเสียงสูงปรี๊ดแตกขึ้นมา : “แกรีบหุบปาก!เรื่องก่อนหน้านี้ ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีแกกับสวี่อันฉิง หากไม่ใช่เซิ่งเจ๋อเฉิงฉันคงไม่มาปรากฏตัวให้เสียเวลาต่อหน้าแกหรอก!”
เสียงเสิ่นอีเวยดังสนั่นเพราะเธอต้องการตะโกนเสียงดังเพื่อเรียกความกล้าบ้าบิ่นให้ตัวเองและพยายามที่จะให้คนข้างนอกได้ยินว่าข้างในเกิดเรื่องขึ้นถึงตอนนั้นตัวเองคงไม่ต้องอยู่กับเขาในสถานการณ์แบบนี้โดยลำพัง
ทว่าถานจงหมิงกลับดูออกว่าเธอกำลังเล่นละครอยู่เลยกล่าวว่า :“คุณเสิ่น เธอไม่ต้องใช้เสียงสร้างสถานการณ์ไปหรอก ประตูนี่มันกันเสียงได้ดีที่สุด วันนี้ฉันจะรับรองเธออย่างดี ส่วนข้างนอกนั่นก็ไม่มีใครได้ยินอะไรอยู่ดี”
ปากของถานจงหมิงพูดคำพูดทุเรศอุบาทว์ไม่หยุด ใจเธอเริ่มส่งสัญญาณไม่ดีออกมา เดิมทีคิดว่าทำตามคำแนะนำของเซิ่งเจ๋อเฉิงไป ตัวเองก็จะได้หมดเรื่องสักที ทว่าดูจากสถานการณ์แล้วไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเลย
แถมเซิ่งเจ๋อเฉิงยังมาทิ้งตัวเธอคนเดียวไว้ที่นี่แล้วตัวเองก็ไปที่อื่นอีก?
เสิ่นอีเวยกำมือแน่นขึ้นมา น้ำเสียงเริ่มสั่นเทา : “ถานจงหมิง คุณควรให้เกียรติฉันบ้าง! หากคุณยังคงดื้อดึงใช้คำพูดแบบนั้นมาล่วงละเมิดฉันอีก ฉันจะแจ้งตำรวจ ! อีกอย่าง ตอนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงคงไปจากที่นี่ไม่ได้ไกลมากเท่าไหร่ แค่ฉันโทรศัพท์ไปหาเขา เขาก็จะรีบมาที่นี่ทันที!”
เสียงเสิ่นอีเวยเพิ่งสิ้นสุดลง ถานจงหมิงก็หัวเราะร่าเสียงดังอย่างไม่เกรงกลัวใดๆจนฟันสีเหลืองที่สูบอัดบุหรี่มานานหลายปีเปิดอ้าซะจนอยู่ในอากาศเต็มๆ
“อย่างที่บอกไว้ไม่มีผิด สาวงามสวยดั่งแจกันดอกไม้แต่ช่างไม่มีสมองเอาซะเลย วันนี้ฉันจะบอกความจริงให้ ถือซะว่าเธอเป็นถึงภรรยาที่สูงส่งของเจ้าของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่างบริษัทเซิ่งซื่อ ขนาดเรื่องแค่นี้ที่พูดวกไปวนมายังคิดไม่ได้ หรือว่าเธอยังดูไม่ออกอีกหรอ? วันนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงตั้งใจให้เธออยู่ที่นี่! ฉันพูดกับเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าถ้าจะคุยกันเรื่องโครงการการลงทุนเงินสิบล้านนี่ละก็ เงื่อนไขที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือต้องพาเธอมาทานข้าวด้วย ไม่งั้นเรื่องคุยธุรกิจโครงการนี้ก็ไม่ต้องมาคุยกันให้มากความ เซิ่งเจ๋อเฉิงเขาเป็นนักธุรกิจ เธอคิดว่าคนอย่างเขาจะทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงโง่ๆอย่างเธอแล้วปล่อยให้กำไรหลุดมือไปงั้นหรอ มันช่างตลกสิ้นดี! ”
อยู่ดีๆเหมือนเธอถูกฟ้าผ่าลงมาห้าครั้ง เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าใจของตัวเองเหมือนถูกตีด้วยไม้กระบองจนนิ่ง แม้ว่าคืนนี้ที่ตอนนั่งรถมากับเซิ่งเจ๋อเฉิงเธอจะรู้สึกว่าเขาแปลกๆก็ตามที แต่พูดไม่ได้ว่าแปลกๆตรงไหนเพราะลึกๆแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงจะเกลียดเธอ เธอดูเหมือนขัดหูขัดตาเขาก็ตามแต่เขาก็จะไม่ทำเรื่องผิดศีลธรรมกับเธอแน่ๆ
แต่ฟังจากสิ่งที่ถานจงหมิงพูดมาทั้งหมดแล้ว เสิ่นอีเวยแทบไม่กล้าจะแน่ใจเลย….
ช่วงเวลาที่ตัวเองเผชิญหน้ากับเรื่องที่ตัวเองไม่อยากจะเชื่อนั้น นาทีแรกคือทำทุกอย่างเพื่อปฏิเสธมันออกมา วิธีนี้เป็นวิธีการที่ดีกับทุกสถานการณ์ที่เหมาะสมแบบนี้ สำหรับเสิ่นอีเวยก็ไม่ยกเว้น
เธอเบิกตาโตทั้งสองข้างปฏิเสธถานจงหมิงแล้วเอ่ยว่า : “แกก็อย่ามาบังคับตัวเองให้ทำตัวสูงส่งหน่อยเลย แกเป็นพยาธิในท้องของเซิ่งเจ๋อเฉิงหรอ? ทำไมแกถึงได้รู้ว่าเขาอยากจะทำอะไร? แกบอกว่าเขาตั้งใจให้ฉันอยู่ที่นี่ใช่ไหม งั้นได้ แกมีหลักฐานให้ฉันดูไหมล่ะ! ”
นาทีนั้นสติสัมปชัญญะของเสิ่นอีเวยไม่แสดงออกถึงความอ่อนแอใดๆออกมา ทว่าเธอรู้ดีว่าตอนนี้ตัวเองกลัวขนาดไหนจนมือที่ถือกระเป๋านั่นสั่นหงิกตลอด
ถานจงหมิงหัวเราะเป็นการใหญ่แล้วพูดอย่างสบายอกสบายใจ : “ฉันชอบเธอที่ดุๆแบบนี้ อีกเดี๋ยวมาเล่นสนุกด้วยกันถึงจะเร้าใจ เมื่อกี้ที่เธอถามว่ามีหลักฐานอะไรมาให้ดู ฉันจะบอกกับเธอตรงๆเลยว่าไม่ต้องให้ฉันเอาอะไรออกมาให้เธอหรอก เซิ่งเจ๋อเฉิงก็สามารถให้หลักฐานแก่เธอได้เองแหละ”เสิ่นอีเวยไม่เข้าใจเลยถามเขา : “แกหมายความว่ายังไง?”
“เมื่อกี้ที่เธอพูดเองเออเองว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงอาจไปไม่ไกล งั้นเธอก็โทรศัพท์หาเขาเลย ต่อหน้าฉันนี่แหละ แล้วพูดไปเลยว่าฉันจะทำมิดีมิร้ายต่อเธอ เธอวางใจได้เลย ฉันจะไม่เข้าไปขวางเธอตอนที่เธอพูด แล้วเรามาดูกันสิว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะทำยังไงต่อ”
เสิ่นอีเวยกัดริมฝีปากอย่างแรงเหมือนจะกัดให้เลือดมันไหลซึมออกมา โทรศัพท์ที่อยู่ในอุ้งมือร้อนขึ้นมาเพราะเหงื่อที่เปียกชุ่มที่อยู่ในมือเธอ
ตั้งแต่เริ่มเธอแทบไม่เชื่อเลยพยายามที่จะสู้อย่างมีเหตุผล แต่ตอนนี้ถานจงหมิงให้โอกาสเธอโทรหาเซิ่งเจ๋อเฉิงให้มาช่วยเหลือเธอ เธอแทบหาทางออกไม่เจอ ไม่…ไม่น่าจะเป็นไปได้ เซิ่งเจ๋อเฉิงคงไม่ได้ทำกับเธอแบบนั้น!
“งั้นเอางี้ เธอโทรศัพท์หาเซิ่งเจ๋อเฉิงเลย หากเขายอมมาช่วยเธองั้นก็ถือว่าวันนี้ฉันโชคไม่เข้าข้างขนาดลูกไก่ที่อยู่ในมือกลับปล่อยให้มันบินหนีไปได้อีก แต่ถ้า— หากเขาไม่มาละก็ คืนนี้เธอต้องไปกับฉัน!”
น้ำเสียงของถานจงหมิงเริ่มแสดงถึงความร้อนอกร้อนใจและเบื่อหน่าย เสิ่นอีเวยใช้สายตาประเมินเขาอยู่เนืองๆ
แม้ว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่นี่จะดูเคร่งเครียดก็ตาม แต่เสิ่นอีเวยยังคงตื่นตัวแล้วตั้งสติให้สุดกำลัง เธอรับรู้ได้ชัดเจนว่าสถานการณ์มันวุ่นวายเหลือเกินอย่ากระโตกกระตากจนเกินไป
“ทำไมฉันต้องเอาชีวิตตนเองไปให้คนอื่นมาเลือกชีวิตแทนฉันด้วยหล่ะ? แกคิดว่าฉันมันโง่มากใช่ไหม?” เสิ่นอีเวยเบะปากอย่างอวดดี
เธอกลับมาคิดดูแล้ว เมื่อครู่ตอนที่ตัวเองมาพร้อมกับเซิ่งเจ๋อเฉิง ตลอดทางไม่มีคอยอารักขาเลย ขนาดหน้าประตูห้องอาหารเองก็ว่างเปล่า งั้นก็ยืนยันได้ว่า… ถานจงหมิงคนนี้เขามาคนเดียวไม่ได้พาคนอื่นมาด้วย
หลังจากคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วเธอสบโอกาสในช่วงที่ถานจงหมิงไม่ทันระมัดระวัง โดยการใช้ความห่างของเธอที่เขากำลังก้มหัวจุดบุหรี่อยู่ ส่วนเธอก็ก้าวพรวดไปหน้าประตู ด้านนอกประตูไม่ได้ล็อกไว้ เสิ่นอีเวยแค่เปิดมันก็เปิดออกแล้ว ในใจเธอดีใจเป็นบ้า!
เธอก็เป็นคนมีหัวจิตหัวใจทำไมคืนนี้ต้องถูกคนอื่นลากไปหรือถูกทิ้งไว้เพื่อให้คนอื่นมาตัดสินใจด้วยหล่ะ
เสิ่นอีเวยที่กำลังเปิดประตูอยู่รีบวิ่งพรวดพราดไปข้างหน้า ถานจงหมิงที่อยู่ด้านหลังก็ไม่ได้วิ่งตามหลังมา แต่ทว่าอยู่ดีๆทางเดินที่กว้างขวางนั้นกลับมีผู้ชายชุดดำโผล่มาจากไหนไม่รู้ตั้งหลายคน ดูแล้วน่าจะเป็นบอดี้การ์ดทั้งหมด
คนพวกนั้นวิ่งมาทางเสิ่นอีเวยแขนเรียวยาวของเธอทั้งสองข้างถูกคนดึงจับไว้แน่น ขยับไม่ได้เลยสักนิด พวกเขาลากเธอไปยังทางห้องอาหารรับรองนั่น เสิ่นอีเวยใช้พลังที่มีทั้งขัดขืนและแหกปากตะโกนลั่น : “ปล่อยฉันนะ!ช่วยด้วย!”
ตอนนั้นในใจเสิ่นอีเวยมีแต่ความหวาดกลัว ตอนที่เปิดประตูออกมานั่น เดิมเธอคิดว่าตัวเองหนีมันออกมาจากที่นี่ได้สำเร็จ ทว่าถานจงหมิงได้เตรียมคนไว้ด้านนอกเพื่อรับมือเธอตั้งแต่แรกแล้ว
ด้านข้างประตูนั่นมีบริกรชายหนุ่มยืนอยู่ ตอนที่เสิ่นอีเวยผ่านตัวเขาเธอรีบขอความช่วยเหลือจากเขา ทว่าเขากลับทำเหมือนไม่ได้ยินอย่างไรอย่างนั้น ไม่หือไม่อือยืนอยู่ที่เดิมนั่น
เสิ่นอีเวยกลัวจนเหมือนจะขาดใจตาย
“ปึง!”
ประตูห้องอาหารถูกถีบให้เปิดออกและเสิ่นอีเวยถูกพวกนั้นโยนเข้ามาในห้องอย่างเบามือ ส่วนประตูที่อยู่ด้านหลังเธอก็ปิดทันที เสิ่นอีเวยแทบไม่รู้สึกความเจ็บปวดใดๆตอนถูกโยนเข้ามาเพราะพรมที่ปูพื้นห้องนั้นมันช่างนุ่มมาก เธอเงยหน้าจ้องมองด้านหน้าที่ถานจงหมิงกำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนโซฟาอย่างสบายอกสบายใจแถมเขายังจ้องมองเธออย่างสนอกสนใจ
“วิ่งสิ ทำไมไม่วิ่งอีกหล่ะ? ที่นี่เป็นสโมสรส่วนตัวและที่นี่ก็อยู่ภายใต้ธุรกิจของฉันด้วย สถานที่แห่งนี้ขนาดยุงสักตัว ยังอย่าคิดที่จะบินออกไปจากอุ้งมือฉันได้!”
เสิ่นอีเวยมองเขาอย่างเยือกเย็น สมองก็พยายามคิดทบทวนว่าตอนนี้ตัวเองจะทำยังไงดี