สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 140
บทที่ 140 เธอมันก็แค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ
ที่แท้….สิ่งที่แย่ๆที่คิดไว้ในใจมันก็กลายเป็นความจริง ใจเสิ่นอีเวยแตกสลายเป็นผุยผง เธอรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะดับสลายลงแล้ว
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงมันเริ่มพร่ามัวและไกลออกไปเรื่อยๆ ขนาดเสียงของตัวเธอเองยังรู้สึกได้ยินไม่ค่อยชัดเจน เธอพยายามกำมือเอาไว้เพื่อให้ตัวเองนั้นได้สงบลง จากนั้นก็ขยับปากเอ่ยถามประโยคนั้นไป
“ทำไม? ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองหล่อนโดยไม่แสดงอาการใดๆออกมา เสิ่นอีเวยรู้สึกคลับคล้ายจะเป็นลม ร่างกายเธอเหมือนจะยืนไม่ไหว
จากนั้น เธอได้ยินเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดต่อ : “เพราะเธอมันเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น ฉันต้องการคุยกับถานจงหมิงเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจ แถมเขาต้องการที่จะให้ฉันพาเธอไปด้วยช่างเหมาะเจาะจริงๆ ส่วนเธอก็รีบร้อนต้องการที่จะหย่ากับฉันหรือลาออกจากตำแหน่งงานให้ได้ เราก็แค่ต้องการใช้อีกฝ่ายก็เท่านั้น”
“คุณก็รู้ว่าหลังจากที่คุณออกไปแล้ว ถานจงหมิงจะทำอะไรกับฉัน งั้นฉันก็สามารถคิดได้ว่า–”
พูดจนตอนนี้ เสิ่นอีเวยก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ : “คุณเอาเรือนร่างของภรรยาของคุณไปขายเพื่อแลกกับธุรกิจของตัวเองอย่างนั้นหรอ?”
ไม่มีใครรู้ว่าเสิ่นอีเวยกว่าจะเอ่ยปากพูดประโยคนี้ออกมาได้ต้องใช้พละกำลังมากมายเพียงใด
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบลง เขาก้มหัวตัวเองลง แต่เสิ่นอีเวยดูออกว่าพฤติกรรมของเขาไม่ใช่ว่ากำลังจะโทษว่าตัวเองเป็นคนผิด แต่การแสดงออกแบบนี้หมายความว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
มาถึงขั้นนี้แล้ว หัวใจของหล่อนก็ยังมีความหวังเส้นบางๆรออยู่บ้าง หล่อนหวังเหลือเกินว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะปฏิเสธคำตอบนั้นไป
ทว่าเสิ่นอีเวยมองเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงที่เขาค่อยๆอ้าปากพูด : “ใช่ ตามที่เธอเข้าใจแบบนั้น”
ในใจฉันมันมีความคาดหวังและการเคารพตัวเองผสมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหอคอยสีขาวสูงตะหง่าน ที่นั่นมันเป็นพักอาศัยความรู้สึกที่หวงแหนของเสิ่นอีเวยมาตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ แต่ตอนนี้แค่สิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมาเงิบๆไม่ช้าไม่เร็วแค่ไม่กี่คำนั่น หอคอยสีขาวนั่นก็ถล่มลงอย่างไม่มีชิ้นดี
อยู่ดีๆ เส้นเลือดในร่างกายของเธอก็มารวมตัวกันที่มือด้านขวา เธอรู้สึกได้ว่ามันมีพลังที่ยากแก่การควบคุมกระจุกตัวอยู่ที่นั่นและพลังงานเหล่านั้นมันเป็นตัวเธอเองที่ควบคุมมันไว้
จนถึงเวลาที่ตั้งสติได้ มือข้างขวาของเธอก็บินสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสูงลอยละลิ่วอยู่กลางอากาศแล้วค่อยบินโฉบลงด้วยความเร็วจนกระทบกับใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิง
เธอไม่ได้ยินเสียงที่คิดไว้ตั้งแต่แรกเพราะเซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือของเขาคว้ามือเธอไว้ได้เร็วกว่า สายตาฝ่ายตรงข้ามก็เย็นยะเยือกเหมือนกัน ทั้งคู่จ้องตากันอยู่นานแสนนาน
พละกำลังของเซิ่งเจ๋อเฉิงมีมากมายมหาศาล เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าแขนของเธอเหมือนจะไม่มีความรู้สึก เธอคิดว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงคงจะหักข้อมือเธอจนแตก แต่เขากลับใช้พละกำลังสะบัดมือเธอออก
เสิ่นอีเวยทรงตัวได้ไม่ดีเลยล้มลงไปบนโซฟา
วินาทีนั้น ความอัปยศอดสูและความโศกเศร้าต่างๆนานามันกระทบกระเทือนในจิตใจพร้อมกัน จนน้ำตาเธอหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา
“เซิ่งเจ๋อเฉิง ฉันรู้มาโดยตลอดว่าาคุณไม่ชอบฉัน แต่ฉันก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าคุณจะเอาเมียตัวเองไปส่งให้กับผู้ชายคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง! ฉันทำอะไรหรอ….คุณถึงทำแบบนี้กับฉันได้!”
เมื่อก่อนเวลาที่พวกเขาทะเลาะกัน ถกเถียงกันหลากหลายครั้ง จนต่างคนต่างเจ็บกันไปเสิ่นอีเวยก็ยังคงหวังลึกๆว่า เพราะเขาเกลียดเธอก็เลยไม่ได้ใช้ความรู้สึกใดๆมาทำร้ายหล่อนได้
แต่คราวนี้ไม่เหมือนเดิม เขาเป็นคนส่งเธอให้กับผู้ชายคนอื่นถึงมือแล้วเขาก็ทิ้งเธอไป
ถ้าผู้ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงคนหนึ่งจริงๆ เขาจะดูแลเธอให้ดี เพื่อคอยขจัดปัญหาในยามที่เธอลำบากโดยไม่ทิ้งเธอไปไหน แต่ไม่ใช่การเหยียบย่ำความรู้สึกในการเคารพตัวเองของหล่อน
ในตอนนั้น หัวใจที่สดใสของเสิ่นอีเวยดั่งบานกระจก แต่ในนั้นมันสะท้อนภาพออกมาให้เธอได้เห็นความภูมิใจของตัวเองที่มันแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆไปแล้ว
เธอบังคับตัวเองให้สงบลง โดยการพยายามก้มหัวลงแล้วเงยกลับขึ้นมามองเซิ่งเจ๋อเฉิงอีกครั้ง สายตาเธอมืดหม่น รอยยิ้มที่ไร้ซึ่งการยิ้มแย้มจนมุมปากกลายเป็นสีขาวซีด
สักพักใหญ่ เธอได้ยินเสียงไร้เรี่ยวแรงของตัวเองเอ่ยขึ้นมา: “งั้นดี ทุกอย่างมันจบแค่นี้เถอะ ฉันตกลงกับเงื่อนไขของคุณแล้ว แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่คุณต้องเลือกสิ่งที่ฉันร้องขอไปสองอย่างนั่น”
ตอนนี้ บรรยากาศที่อยู่ท่ามกลางสองคนเงียบกว่าเดิมเอามาก เวลานี้เหมือนทั้งคู่กำลังเปิดไพ่ฝ่ายตรงข้ามอยู่ ตอนนี้แค่รอเวลาว่าใครจะชนะในตอนสุดท้าย
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองเซิ่นอีเวย ริมฝีปากเริ่มขยับขึ้น : “ฉันกลับมาคิดดูแล้ว สิ่งที่เธอขอสองอย่างนั่น ฉันไม่เลือกสักอย่าง”
มีเสียงเบาดังขึ้นกระทบโสตประสาทของเสิ่นอีเวยคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนเสียงก้อนหยกหิน หล่อนก็เหมือนคนที่กำลังปีนหน้าผาอยู่แล้วเท้าอีกข้างก็ก้าวพลาดเหยียบอากาศแทน สีหน้าที่ปรากฏออกมาบนใบหน้ามันเต็มไปด้วยประหลาดใจยากที่จะคาดเดาได้: “คุณพูดเรื่องอะไร?”
“ฉันบอกว่าฉันกลับมาคิดดูแล้ว เรื่องที่พูดไว้ก่อนหน้านี้ยกเลิกทั้งหมด”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงสงบนิ่ง แต่ในน้ำเสียงนั่นมันเหมือนมีบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ที่ทำให้คนเชื่อได้
อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลของเสิ่นอีเวยระเบิดลงในตอนนั้นเอง : “เซิ่งเจ๋อเฉิง นี่คุณเล่นตลกหรอ? เราคุยกันแล้วน่ะว่าฉันจะไปเจอถานจงหมิงเป็นเพื่อนคุณ หลังจากนั้นคุณจะตอบตกลงในการเซ็นใบหย่าให้และยอมให้ฉันลาออกจากพนักงานบริษัทเซิ่งซื่อหน่ะ อยู่ดีๆคุณก็มาพูดเรื่องนี้กับฉัน ไม่รู้สึกเลยหรอว่าตัวเองทำเกินไปหรือเปล่า!”
เซิ่งเจ๋อเฉิงแสยะยิ้มที่มุมปาก : “ใช่ ฉันก็แค่เล่นตลก ถ้าเธอจะมาคุยกับฉันเรื่องจริงจังพวกนี้มาหาฉันได้ตลอดเวลาได้เลย”
พูดเสร็จเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เดินออกจากห้องไป
เสิ่นอีเวยยืนเอ๋อเหรออยู่ที่เดิม เธอคาดไม่ถึงกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เลยยังตั้งตัวไม่ทันว่าทำไมเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงได้ทำแบบนั้น แต่สิ่งที่เธอมั่นใจนักหนามีอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือ… เซิ่งเจ๋อเฉิงชอบเล่นตลกกับเธอ
เสิ่นอีเวยรีบเดินจ้ำอ้าวตามออกไป วันนี้เธอต้องคุยเรื่องนี้กับเซิ่งเจ๋อเฉิงให้รู้เรื่องกันไปซักที!
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินเข้าห้องพักคุณปู่ไป ประตูเปิดอ้าอยู่ เสิ่นอีเวยมองเห็นเงาด้านหลังของเซิ่งเจ๋อเฉิง เขานั่งลงบริเวณด้านข้างของเตียงนอน หล่อนเริ่มหัวตัวกลับช่างพอเหมาะกับที่เสียงอ่อนล้าของชายชราดังออกมาจนถึงนอกห้อง : “เสิ่นอีเวยหรือเปล่า? เข้ามาเร็ว….”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปสักพัก เธอมองเห็นชายชราที่นอนอยู่บนเตียงพยายามใช้มือข้างหนึ่งกวักเรียกเธอ ใจเธอรู้สึกซาบซึ้งขึ้นมา เพราะเดิมคิดว่าเป็นเพราะตัวเองเสียงดังจนทำให้คุณปู่ตื่น ทว่าตอนนี้คุณปู่กลับเรียกเธอเข้าไปหาท่านโดยตรงเลย
เงาสีดำข้างเตียงนั่นกลับไม่ได้หันกลับมามองเลยสักนิด
เสิ่นอีเวยที่ยังคงยืนบริเวณหน้าประตูชั่งใจอยู่สักพักก็ตัดสินใจเดินเข้าไปในห้อง
เธอเดินไปย้งข้างเตียงผู้ป่วย เซิ่งเจ๋อเฉิงก็นั่งอยู่ข้างๆเธอ ในใจเสิ่นอีเวยก็อยากจะถามเขาต่อทว่าทำไม่ได้เพราะว่าพวกเขาไม่สามารถทะเลาะกันต่อหน้าปู่ได้
“อีเวย…เธอก็มานั่งสิ” คุณปู่เซิ่งค่อยๆเอ่ยปากพูด
เสิ่นอีเวยตกใจสักพัก แต่ว่าก็ทำตามคำที่คุณปู่บอก เธอหยิบเก้าอี้มานั่งข้างเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ว่าก็ยังมีระยะห่างกันอยู่เหมือนเดิมตั้งแต่แรก ก็เหมือนที่หลายปีมานี้ที่ความรู้สึกของทั้งสองคนก็ยังห่างไกลกันอยู่ สามารถพูดได้ว่ามันเป็นการแบ่งแยกที่ไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ตลอดไป
“ทะเลาะกันหรอ?”