สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 146
บทที่ 146 ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับบ้านตระกูลเซิ่ง
หลังจากได้ฟังคำพูดของหล่อน เขาไม่เพียงไม่โกรธ แต่กลับใช้น้ำเสียงและท่าทางแบบเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา”จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็เรื่องของคุณ คุณสามารถไปจากที่นี่ตอนนี้ได้เลย แล้วมาดูกันว่า ต่อไปจะมีคนมาหาเรื่องคุณรึเปล่า แต่ถ้าให้ถึงตอนนั้น…”
สายตาของเขามองที่ใบหน้าของเสิ่นอีเวย หล่อนรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เกิดขึ้นบนใบหน้าตัวเอง
อยู่ๆเสียงของเขาก็กลับกลายเป็นไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ”ความปลอดภัยของคุณ เสิ่นอีเวยก็จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับผมแม้แต่น้อย”
น้ำเสียงดังกึกก้อง แต่ละคำนั้นเข้าไปในโสตประสาทของหล่อน หมัดที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อของหล่อนกำแน่นขึ้น
สุดท้ายหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก หล่อนเดินออกมาจากห้องทำงานของเซิ่งเจ๋อเฉิง
ความรู้สึกของหล่อนตอนนี้กำลังสับสนอย่างมาก เพราะหล่อนเองก็ไม่โง่เง่ากล้าเดิมพัน ว่าคนพวกนั้นจะมาเรื่องอะไรหล่อนอีกหรือไม่
จริงๆแล้วสิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดก็ถูก หากพวกเขาสองคนไม่หย่ากัน คนนอกก็จะรับรู้ว่าหล่อนเสิ่นอีเวยเป็นผู้หญิงของเขา หากใครคิดจะรังแกหล่อนก็ยังต้องแอบมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง เพราะบ้านตระกูลเซิ่งจะไม่มีทางปล่อยพวกเขาแน่
แต่ถ้าหากพวกเขาหย่ากันแล้ว หล่อนกับตระกูลเซิ่งก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันอีก ถึงเวลาหากหล่อนถูกพวกนั้นตามจนเจอ ไม่ต้องพูดถึงว่าหากหล่อนถูกฆ่าตายทิ้งศพไว้ในป่ารกร้าง บ้านตระกูลเซิ่งก็คงมีเหตุผลที่จะไม่เข้าไปก้าวก่ายอะไรด้วย
หล่อนไม่โง่ถึงขนาดจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
หากฟังจากคำพูดที่เขาพูดแล้ว เขาเองก็ดูเหมือนยังคงปกป้องตัวเองอยู่
แต่เขาไม่ได้รักหล่อนเลยนี่หน่า ทำไมถึงต้องทำแบบนี้ เสิ่นอีเวยรู้สึกกลัดกลุ้ม
หรืออาจจะเป็นเพราะว่าหากหล่อนที่เป็นภรรยาของกรรมการผู้จัดการของบริษัทเซิ่งซื่อเกิดเรื่องอะไรขึ้น ก็จะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดีกับบริษัทของเซิ่งเจ๋อเฉิงไปด้วยก็เป็นได้
เขาเป็นนักธุรกิจอัจฉริยะ ยังไงก็คงต้องคิดถึงข้อนี้ได้ ทั้งหมดเป็นผลประโยชน์ของตัวเขาเองทั้งนั้น
คิดมาถึงตรงนี้ หล่อนฝืนยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
หล่อนลุกขึ้นออกจากห้อง เพื่อที่จะไปห้องน้ำ ตอนเดินมาถึงพื้นที่ส่วนกลางกลับได้ยินเสียงเรียกของสวี่อันฉิงหยุดหล่อนเอาไว้
หล่อนหันกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์พร้อมกับถามว่า:”มีธุระอะไร”
มือของสวี่อันฉิงกำลังถือแก้วน้ำอยู่หนึ่งใบ หันหลังพิงผนังอย่างเนิบๆ แววตามีแววหาเรื่อง: “ก็อาคนนั้นของเธอ เสิ่นเหยียนชิ่งหน่ะเมื่อไหร่หล่อนถึงจะจัดการปัญหาให้เสร็จ เสียเวลาของตัวเองไม่เป็นอะไรหรอกนะ แต่อย่าทำให้เสียเวลางานคนอื่นละกัน”
หล่อนชักกระตุกเล็กน้อยอยู่ในใจก่อนถามว่า:”เธอหมายความว่ายังไง”
“เมื่อวานนี้ตอนที่เธอออกจากบริษัทไปแล้ว เสิ่นเหยียนชิ่งก็เข้ามาหาที่บริษัท ฉันเป็นคนต้อนรับเขาแทนเธอเอง ฉันยังคุยกับเขาสองประโยค” สวี่อันฉิงยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม สายตาที่มองเสิ่นอีเวยเต็มไปด้วยความเย้ยหยันดูหมิ่น
เสิ่นอีเวยรู้สึกร้อนรนกระวนกระวายใจ รีบถามว่า:”พวกเธอคุยอะไรกัน”
สวี่อันฉิงหัวเราะอย่างอารมณ์ดีออกมา: “เสิ่นอีเวย ไม่คิดเลยนะว่าเธอเนี่ยก็ใจร้ายเหมือนกัน อาอุตส่าห์มาขอยืมเงินเธอกลับบ่ายเบี่ยง ปกติเห็นเธอเป็นคนใจกว้างไม่ใช่เหรอ ตอนนี้ทำไมเห็นเงินเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วล่ะ”
วินาทีนั้นเองที่ความโกรธปะทุขึ้นในใจของเสิ่นอีเวย:”เธอไม่รู้อะไร อย่ามาพูดเรื่อยเปื่อย แล้วอีกอย่างนี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวของฉัน เธอเป็นคนนอกไม่มีสิทธิ์จะมาวิพากษ์วิจารณ์อะไรทั้งนั้น”
เสียงของพวกหล่อนถือว่าดังอยู่ไม่น้อย ทำให้คนที่อยู่บริเวณนั้นมามุงดูด้วยความสนใจใคร่รู้
“ถ้าคุณคิดว่านี่เป็นเรื่องส่วนตัว เธอก็รีบจัดการให้มันเรียบร้อยซะสิ เมื่อวานเสิ่นเหยียนชิ่งรออยู่ที่นี่เกือบสองชั่วโมง เธอก็ไม่กลับมาสักทีจนเขาเกือบจะอาละวาดอยู่แล้ว เธออาจจะคิดว่ามันไม่มีอะไรแต่อย่ามาทำให้คนอื่นเขาเสียงานเสียการ”
หลังจากผ่านเรื่องราวมามากมาย ทุกคนในบริษัทก็ดูออกว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของหล่อนและเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ เมื่อทุกคนต่างรู้ว่าภรรยาคนนี้ของท่านประธานไม่ได้รับความรักใคร่เอ็นดูนัก
ทุกคนจึงไม่เคารพหล่อนเหมือนดังแต่ก่อน
หลังจากที่สวี่อันฉิงพูดจบ ก็เริ่มมีเสียงเห็นด้วยดังมาจากกลุ่มคนที่มามุงอยู่รอบๆ
บรรยากาศระหว่างเสิ่นอีเวยและสวี่อันฉิงนั้นคุกรุ่น หล่อนจ้องมองไปยังกลุ่มคนที่มามุงดู บางคนก็เงียบเสียงลง แต่ในใจหล่อนนั้นยังคงเหน็บหนาว
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ใจคนถึงได้กลายเป็นเห็นแก่ผลประโยชน์ตัวเองมาก่อนเสมอ แค่เพราะว่าหล่อนไม่ได้รับความรักจากเซิ่งเจ๋อเฉิง พนักงานที่มามุงเหล่านี้ตำแหน่งต่ำกว่าหล่อนจึงไม่เคารพให้เกียรติหล่อนได้ถึงขนาดนี้
เสิ่นอีเวยรู้สึกช่างน่าขันเสียจริงๆ
“คุณเสิ่นคะ มีเอกสารที่ต้องให้คุณเซ็นชื่อค่ะ”
ภายใต้บรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ ก็มีเสียงนุ่มนวลอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลังของเสิ่นอีเวย หล่อนหันกลับไปมองก็พบว่าเป็นฉินจื่อเฟิงผู้ช่วยของหล่อนเอง
ในอ้อมอกของฉินจื่อเฟิงกอดเอกสารไว้หนึ่งชุด แววตาแสดงออกชัดเจนว่าต้องการปกป้องเสิ่นอีเวย อันที่จริงแล้วฉินจื่อเฟิงก็ยังอายุไม่มาก ประสบการณ์ก็ยังน้อย แต่ผู้หญิงคนนี้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา ตั้งแต่มาทำงานอยู่กับเสิ่นอีเวยหล่อนก็จงรักภักดีไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อหล่อนเห็นฉินจื่อเฟิงยื่นมือเข้ามาช่วยหล่อน ก็เกิดความอุ่นใจขึ้นมา หล่อนไม่สนใจกลุ่มคนตรงหน้า หมุนตัวพาฉินจื่อเฟิงเดินเข้าห้องทำงานของตนเอง
หลังจากนั่งลงแล้ว หล่อนยิ้มให้ฉินจื่อเฟิงก่อนจะถามว่า : “ไหนล่ะเอกสารที่ต้องเซ็นเอามาให้ฉันเลย”
ฉินจื่อเฟิงยืนอยู่ที่เดิมไม่พูดไม่จา ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ
เสิ่นอีเวยงงเล็กน้อย ก่อนจะถามว่า:”ทำไมเหรอ”
ฉินจื่อเฟิงเม้มปากก่อนตอบว่า: “ที่จริงแล้วไม่มีเอกสารอะไรที่คุณต้องเซ็นหรอกค่ะ ฉันก็แค่ทนเห็นคนพวกนั้นมาท้าทายคุณแบบนั้นไม่ได้ จึงไม่อยากให้คุณต้องทนอยู่ตรงนั้นต่อไป”
เมื่อเสิ่นอีเวยได้รู้เรื่องแล้วจึงยิ้มออกมา: “เธอก็เลยแกล้งหลอกพวกนั้นด้วยเหตุผลนี้เพื่อช่วยฉันออกมา”
ฉินจื่อเฟิงรีบพยักหน้ารับ
เสิ่นอีเวยมองสาวน้อยตรงหน้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธเคือง
มุมปากมีรอยยิ้มที่แฝงด้วยความอ่อนโยน แต่ว่าในแววตาเจือความกังวล
“จื่อเฟิง เธอคงไม่รู้ว่าฉันรู้สึกขอบคุณเธอจริงๆ แต่เธอเองก็เพิ่งเข้ามาทำงานได้ไม่นาน คนพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับฉัน ถ้าเธอเลือกอยู่ข้างฉัน พวกเขาก็อาจจะพาลโกรธเกลียดเธอไปด้วย ถึงเวลานั้นเธออาจได้รับผลกระทบไปด้วย
จื่อเฟิงเป็นคนฉลาดมากคนหนึ่ง แน่นอนว่าหล่อนต้องเข้าใจความหมายที่เสิ่นอีเวยพูด หล่อนพูดอย่างมั่นใจว่า: “ไม่ค่ะ ฉันไม่คิดอย่างนั้น ฉันคิดว่าเกิดเป็นคนก็ต้องรู้จักบุญคุณคน ตั้งแต่ฉันได้ทำงานกับคุณ ฉันก็ได้เรียนรู้อะไรมากมาย อีกอย่างงานผู้ช่วยอย่างฉันก็ต้องพบปะเจอผู้คน ในบริษัทใครตั้งใจทำงาน ใครชอบประจบสอพลอฉันก็รู้หมด ฉันจะไม่ยอมเป็นคนพวกเดียวกับพวกเขาหรอกค่ะ”
ฉินจื่อเฟิงพูดออกมาอย่างเปิดเผยจริงใจ ด้วยท่าทางที่มุ่งมั่นฮึกเหิมนี้ทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าหรือหล่อนอาจจะคิดมากไปเอง
ช่วงเวลานั้นเอง อยู่ๆเสิ่นอีเวยก็จิตใจเลื่อนลอย หวนคิดถึงตัวเองในอดีตที่เป็นคนรอบคอบระแวดระวัง ผ่านไปแค่เพียงสองปี นิสัยใจคอก็เปลี่ยนไปหมดแล้ว และทั้งหมดนี้ สาเหตุก็หนีไม่พ้นผู้ชายคนนั้น
“คุณเสิ่นคะ ฉันขอละลาบละล้วงถามอะไรหน่อยนะคะ ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับท่านประธานเซิ่งไม่ค่อยจะดีใช่มั้ยคะ”
เสียงของฉินจื่อเฟิงเปลี่ยนเป็นเบามากและปนกับความลังเลสงสัย
ทันใดนั้นเองเสิ่นอีเวยที่จิตใจเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็ถูกลากกลับมา หล่อนชะงักไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าฉินจื่อเฟิงจะถามคำถามนี้กับหล่อน
“ทำไมถึงถามแบบนี้ล่ะ หรือว่าเธอไปได้ยินอะไรไม่ดีมา”
จริงๆเสิ่นอีเวยไม่จำเป็นต้องถามก็รู้ คำติฉินนินทาเหล่านี้หล่อนเองก็เคยได้ยิน ไม่ผิด ฉินจื่อเฟิงพยักหน้ารับ
“คนขี้นินทาในบริษัทหน่ะมีเยอะแยะ ตอนที่ฉันได้ยินก็พยายามเตือนพวกเขาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร”ฉินจื่อเฟิงเบะปาก ในใจรู้สึกหมดหวัง
เสิ่นอีเวยยิ้มอย่างโลกสดใส : “ไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องนี้หรอก ความสัมพันธ์ของฉันกับเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ค่อยจะดีจริงๆ มันคือความจริง”
ฉินจื่อเฟิงได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็เกิดความแปลกใจขึ้นมา
“แต่ทำไมฉันได้ยินท่านประธานพูดเหมือนพยายามปกป้องคุณนะคะ”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปเล็กน้อย : “อะไรนะ”