สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 168
บทที่ 168 เธอมั่นใจนะว่าเธอจะทำแบบนี้กับฉัน
ตอนนั้นเอง เสิ่นอีเวยยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบหนึ่งอึก ฉินจื่อเฟิงมองเห็นหล่อนวางแก้วนั้นลงพลางเอ่ยถาม : “ท่านประธาน คุณชอบดื่มกาแฟเอสเพรสโซ คอน พาน่า (Espresso con Panna)ที่สุดหรือคะ?”
เสิ่นอีเวยถึงกับอึ้งแล้วพยักหน้าตอบ : “ใช่ ทำไมหรอ?”
ฉินจื่อเฟิงยิ้มแล้วพูดตอบหล่อน : “คราวก่อนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันไปส่งเอกสารที่ห้องทำงานของท่านประธานเซิ่งเป็นเวลาพอดีกับที่ท่านกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ ตอนนั้นเหมือนว่ากำลังสั่งกาแฟชนิดพิเศษจากพวกร้านกาแฟอะไรพวกนั้นอยู่ ตอนนั้นฉันคิดว่าท่านประธานเซิ่งคงสั่งให้ผู้หลักผู้ใหญ่ของตัวเอง ที่แท้ก็สั่งให้คุณนี่เอง”
หล่อนฟังคำพูดที่ฉินจื่อเฟิงเล่าให้ฟังถึงกับหยุดหายใจไปชั่วขณะเพราะฉะนั้นหล่อนเลยเข้าใจเซิ่งเจ๋อเฉิงว่าเขารู้ว่าเธอหลงใหลในการดื่มกาแฟแบบไหนอย่างงั้นหรอ?
หล่อนทราบมาตลอดว่าช่องทางอาหารการกินของบ้านตระกูลเซิ่งนั้นต้องเป็นที่จัดเตรียมไว้เฉพาะ คุณภาพต้องยอดเยี่ยม แต่ว่าเรื่องการสั่งกาแฟนั้นมันช่างขี้ปะติ๋วคงไม่ต้องถึงมือเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ต้องมานั่งเสียเวลาให้เขามารับรู้เรื่องนี้
ทว่าตอนนี้ได้ฟังฉินจื่อเฟิงพูดออกมาว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงขนาดไปสั่งร้านค้าด้วยตัวเองเลยหรอว่าเธอชอบดื่มกาแฟแบบนั้น
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าฉินจื่อเฟิงอาจฟังมาผิดหรือเป็นตัวเองนี่แหละที่เข้าใจผิดกันแน่
ส่วนเรื่องรักเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้น หล่อนจะไม่ยอมกลับไปตกหลุมรักเขาอีก
หลังจากแยกย้ายเสิ่นอีเวยเอาปากกาบันทึกเสียงสีดำนั่นกลับมาที่เซิ่งซื่อด้วย
ตอนที่หล่อนเดินไปถึงประตูใหญ่ก่อนถึงบริเวณบันได เสิ่นอีเวยมองเห็นแต่ไกลว่าบริเวณด้านในห้องโถงขนาดใหญ่มีผู้ชายวัยกลางคนใส่ชุดสีดำยืนอยู่ มองจากด้านหลังลักษณะเหมือนเสิ่นเหยียนชิ่งจริงๆ
ใจเสิ่นอีเวยถึงกับพรุ่งปรี๊ด หล่อนรีบเดินไปขวางหน้าคนๆนั้นไว้เป็นเสิ่นเหยียนชิ่งจริงๆด้วย
เขาแนบโทรศัพท์ไว้ที่หู เหมือนว่ากำลังจะโทรศัพท์หาใคร เสิ่นอีเวยรีบยกมือขึ้นมาจับต้นแขนของเขาไว้แล้วใช้เสียงทุ้มต่ำถามเขา : “อามาโผล่ที่นี่อีกได้ยังไง!”
เสิ่นเหยียนชิ่งตกใจแล้วหันกลับมามองที่แท้คือคนที่เขาพยายามหาตัวอยู่นั่นเอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเฮฮาตามประสาทันที แม้ว่าสีหน้าของเสิ่นอีเวยจะเคร่งขรึมอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็ไม่ได้สะทกสะท้านทำให้เขาตกใจได้เลย
เสิ่นเหยี่ยนชิ่งหัวเราะพอเป็นพิธี เขาเอาโทรศัพท์ของตัวเองใส่กระเป๋าเสื้อ : “อีเวย อาโทรศัพท์หาเธอตั้งหลายครั้งก็ไม่รับ ฉันมีธุระกับเธอ!”
เสิ่นอีเวยหยิบโทรศัพท์มาดูถึงได้รู้ว่ามีโทรศัพท์ไม่ได้รับสายโทรเข้ามาถึงสามสาย เมื่อครู่เธอกำลังขับรถยิ่งวันนี้ไปพบกับจื่อเฟิงมาด้วย เธอรู้เรื่องราวต่างๆมากเกินไป ตอนขับรถคิดนู่นคิดนี่พัลวันพัลเกแทบไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เลย
เสิ่นอีเวยได้ยินเขาพูดว่ามาหาเธอ ในใจยิ่งเกลียดเข้าไส้เข้าไปหนักกว่าเดิม: “อามาหาฉันอีกทำไม? ตอนนี้ฉันยุ่งมากไม่มีเวลาจะมาคุยด้วย”
พูดจบเสิ่นอีเวยก็เตรียมเดินออก
แต่ว่าเสิ่นเหยียนชิ่งก็พยายามรั้งเธอเอาไว้ : “เสิ่นอีเวยอย่าเพิ่งรีบไปสิ อาจจะมาให้เธอช่วยจริงๆ แต่เธอวางใจได้เลย ครั้งนี้มันจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว! ฉันสาบาน อา…!”
“พอเถอะ!”
เสิ่นอีเวยรังเกียจเหลือเกินที่จะได้ยินเสียงผู้ชายคนข้างหน้าจะมาทนฟังเขาสาบานที่นี่นะหรอ?
น้ำเสียงอของเธอหมดอารมณ์ในการอดทนอย่างเห็นได้ชัด : “ไม่ว่าครั้งนี้อาจจะมาให้ฉันช่วยอะไรฉันก็ไม่ตกลง คราวที่แล้วที่ช่วยก็เหมือนเห็นแก่บุญคุณที่เป็นน้องชายของพ่อเท่านั้น ฉันไม่ใช่ตู้เอทีเอ็มของอาที่เวลาอาต้องการหยิบยืมเงินก็จะมาคิดถึงฉัน?”
เขาฟังคำพูดของเสิ่นอีเวยจบ แล้วรีบโบกมือปฏิเสธ : “ไม่ ไม่ ไม่ อีเวย ครั้งนี้เธอเข้าใจผิดแล้วแหละ ฉันไม่ได้มาขอยืมเงินจากเธอ!”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปสักพัก ติดว่าตัวเองฟังผิด เสิ่นเหยียนชิ่งไม่ได้มายืมเงินแล้วเขามาทำไม?
“’งั้นอามาหาฉันมีเรื่องอะไรกันแน่?” ที่ถามเพราะว่าเสิ่นเหยียนชิ่งจับแขนเธอไว้แน่นไม่ยอมปล่อย เสิ่นอีเวยจึงถาม
เขาได้ยินคำพูดของเสิ่นอีเวยสีหน้าเขาเปลี่ยนไปจนดูไม่ได้ พยายามถูมือไปมา : “บริษัทอากำลังประสบปัญหาที่หนักหน่วงมาก ตอนนี้เลยอยากมาขอให้เธอช่วยร่วมหุ้นหน่อย……”
เสิ่นเหยียนชิ่งยังพูดไม่จบประโยค เสิ่นอีเวยก็ใช้สายตาเฉียบแหลมมองเขาแทน: “ร่วมหุ้น? บริษัทอาเนี่ยนะ? คราวที่แล้วก็ให้อาไปห้าแสนหยวนไม่ใช่หรอ ยังหมุนไม่ทันอีกหรอ?”
เสิ่นเหยียนชิ่งสีหน้าเขาทั้งโกรธทั้งโมโห มือซ้ายตีลงบนมือเขาเสียงดัง : “อาล้มละลายแล้ว! เป็นเพราะพวกพ่อค้าหิวเงินพวกนั้นเอาของออกไปก่อนแล้วไม่ได้จ่ายเงินตามมา ผู้ร่วมหุ้นหลายลายก็ขอถอนหุ้นคืน ฉันก็ไม่มีปัญญาแล้วทำได้แค่มาหาเธอ…”
ฟังจากสิ่งที่เสิ่นเหยียนชิ่งพูดออกมา เสิ่นอีเวยรู้สึกตลก : “บริษัทจะอยู่หรือจะเจ๊งมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันเลย คราวที่แล้วที่ให้ไปห้าแสนนั้นมันคือเต็มอัตราแล้ว ส่วนเรื่องอื่นมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉัน รบกวนอาหลีกไป!”
พูดจบหล่อนก็อยากจะสะบัดมือเสิ่นเหยียนชิ่งออกไป อยู่ดีๆก็คิดอะไรขึ้นมาได้เลยพูดต่อ: “พ่อค้าหิวเงินพวกนั้นเอาของไปแล้วไม่จ่ายเงิน สิ่งแรกที่อาต้องทำคือไปหาทนายมาเพื่อฟ้องร้องพวกนั้น ไม่ใช่มาที่นี่มาให้ฉันเสียเวลา!”
เสิ่นเหยียนชิ่งเห็นเสิ่นอีเวยกำลังจะเดินไป เขาไม่อยากให้ฟางเส้นสุดท้ายหลุดมือเลยใช้แรงดึงแขนเธอไว้จนเสิ่นอีเวยสะบัดไม่หลุด
“อีเวย ฉันมีเวลาไม่มากแล้ว ตอนนี้สิ่งที่ฉันต้องการคือหาวิธีที่จะหยุดการขาดทุน แล้วพยายามอุดเงินที่หายไป…”
“หยุด!”
เสิ่นอีเวยทำมือหยุดเสิ่นเหยียนชิ่งไม่ให้พูดต่อ : “อาไม่ต้องมาพูดเรื่องธุรกิจอะไรพวกนี้กับฉันทั้งนั้น เรื่องของอาเองไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉัน เงินห้าแสนที่ให้ไปคราวที่แล้วถือว่าฉันยกให้อาเลย ต่อไปอย่ามาหาฉันอีก โดยเฉพาะที่บริษัทเซิ่งซื่อ!”
ในใจเสิ่นอีเวยถึงกับชื่นชมอาของเธอคนนี้จริงๆ หน้าไร้ยางอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี ตอนที่ด่าก็ด่าเจ็บ พอตอนมาขอความช่วยเหลือก็พูดซะตัวเองช่างน่าสงสารได้ขนาดนี้!
แต่ว่าเสิ่นเหยียนชิ่งก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะมาให้เสียเปล่า : “อีเวย ถือว่าอาขอร้องแล้วกัน ฉันคุกเข่าให้เธอเลย….”
เสิ่นอีเวยเริ่มเครียดเพราะแขนของเธอก็ถูกแรงไม่ได้หนักหรือเบามากลากลงไปด้านล่าง เสิ่นเหยียนชิ่งทำท่าทางจะคุกเข่าให้เธอจริงๆ ตอนแรกคิดว่าเขาก็แค่พูดพรรณนาไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้คิดว่าเขาจะเอาจริง
ในใจเสิ่นอีเวยเริ่มฉุกคิดได้ว่าที่นี่คือบริษัทเซิ่งซื่อ หล่อนไม่สามารถที่จะให้คนมารับรู้เหตุการณ์นี้ได้ ที่สำคัญไม่อยากให้เรื่องนี้ไปเข้าหูเซิ่งเจ๋อเฉิง
หล่อนไม่รู้ว่าตอนนั้นเอาแรงมาจากไหนถึงได้ดึงตัวเสิ่นเหยียนชิ่งขึ้นมา สายตาของหล่อนเย็นชาส่วนน้ำเสียงก็เตือนเขาอย่างเแข็งกร้าว : “อาฟังฉันให้ดีๆ คราวที่แล้วที่ฉันช่วยเพราะฉันเคารพอาเพราะอาเป็นอาของฉันถือว่าเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ที่นี่คือบริษัทเซิ่งซื่อคนที่เดินกันกวักไกว่ไปมาเนี่ยก็เป็นคนรู้จักกัน ฉันไม่อยากให้เรื่องของฉันที่คุยกันนี้แพร่งพรายไปเข้าหูคนอื่น เพราะงั้นฉันคิดว่าอาอย่ามาก่อกวนต่อหน้าแบบนี้อีกเลย อาคุกเข่าให้ฉันมันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่ใช่เด็กสาวที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรเหมือนเมื่อหลายปีก่อนหน้านั้น ตอนนี้อารีบไสหน้าไปไกลๆฉันตอนนี้เลย!”
เขาได้ยินน้ำเสียงที่ปฏิเสธอย่างชัดเจนของเสิ่นอีเวย เสิ่นเหยียนชิ่งก็รู้ว่าวันนี้ตัวเองคงหมดหวังเลยคิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมที่น่าสงสารนี้ออกไป
เขายื่นนิ่งแล้วจัดระเบียบแขนเสื้อและผมที่พันกันยุ่งเหยิงเมื่อครู่นี้ให้เรียบร้อยดูดี
สายตาเขาประหลาดพิกล : “อีเวย เธอแน่ใจนะว่าจะใจร้ายได้ลงคอ?”