สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 177
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 177 ตอนนี้ฉันเหมาะที่จะตั้งครรภ์ไหม
หล่อนมองออกไปนอกหน้าต่างก็เห็นว่าตอนนี้น่าจะใกล้เวลาเลิกงาน เพราะท้องถนนที่กว้างใหญ่กลับมีรถเคลื่อนไหวไปมา อาจจะเป็นตัวตึกชั้นที่เธออยู่เป็นชั้นบนเลยเห็นคนที่อยู่ด้านล่างเป็นจุดดำเล็กๆที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา
เสิ่นอีเวยไม่ได้เป็นคนกลัวความสูง ยิ่งเวลาที่มีเรื่องอยู่ในใจหล่อนมักชอบที่จะมองยืนด้านข้างหน้าต่างอยู่สักพักหรือมาคุยโทรศัพท์ที่นี่
หล่อนเงียบอยู่แล้วกัดฟันถามตามปกติ: “ ฉันอยากจะสอบถามว่าตอนนี้คุณฉินยังอยู่ที่คุณหมอใช่ไหม?”
เสียงคุณหมอลู่ปลายสายได้ยินสิ่งที่เสิ่นอีเวยถามถึงกับตกใจไปสักพักแล้วจึงได้ตอบกลับมา: “เธอพูดถึงฉินโม่ใช่ไหม?”
“อื้อ”
“เขาออกไปจากที่นี่ได้หนึ่งชั่วโมงแล้ว คุณเสิ่นมีเรื่องอะไรที่จะฝากผมบอกเขาไหม?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ตอนที่คุณหมอบอกว่าเขาไปแล้ว หัวใจหล่อนถึงกลับผ่อนคลายลงมาเยอะ น้ำเสียงดูดีกว่าเก่ามาก: “โอ้ คุณหมอลู่ เรื่องเป็นงี้ ฉันใกล้จะเลิกงานแล้ว ฉันอยากจะไปหาคุณที่นั่น ฉันมีเรื่องที่ต้องสอบถามคุณหมออยู่แล้วแวะเข้าไปเอายาแก้ปวดด้วย”
คุณหมอลู่ที่อยู่ปลายสายอึ้งไปสักพัก เสิ่นอีเวยก็เดาออกว่าสาเหตุเพราะอะไ
สักพัก น้ำเสียงเขาก็ดังขึ้นมา : “ไม่มีปัญหา คุณจัดการงานให้เสร็จแล้วค่อยมา ผมรอคุณได้”
เสิ่นอีเวยพูดออกมา “ขอบคุณค่ะ” แล้วก็วางสายไป
หล่อนจัดการงานสุดท้ายที่อยู่ในมือให้เสร็จ แล้วก็เก็บของแล้วเดินออกจากบริษัท
ช่วงนี้เป็นช่วงกลางของฤดูใบไม้ร่วงเลยทำให้ท้องฟ้ามืดลงเร็วขึ้นกว่าปกติ ที่จอดรถของบริษัทเซิ่งซื่อนั้นมีขนาดใหญ่มาก ตอนที่เสิ่นอีเวยขั้บรถตัวเองออกมาจากลานจอดรถชั้นใต้ดินถึงได้รู้ว่าด้านนอกมืดสนิทไปแล้ว
ตอนนี้เป็นเวลาเลิกงานเป็นช่วงที่รถติด รถก็ค่อยๆรวมตัวกับกลุ่มรถกลุ่มใหญ่ กว่าไฟจราจรจะขยับสักทีมันช่างยากเย็นจนสายตาเหนื่อยล้าไปหมด
ด้านนอกสภาพอากาศค่อนข้างหนาวเย็น เสิ่นอีเวยเลยปิดกระจกทั้งหมดแล้วเปิดแอร์แทน สักพักถึงได้รู้ว่าอากาศในรถมันช่างหายใจลำบากรู้สึกเหมือนจะเป็นลม
เอาเข้าจริงช่วงนี้หล่อนแทบไม่มีเวลาพักผ่อนเลย ตอนนี้ความตึงเครียดมันค่อยผ่อนลงมาบ้างเลยรู้สึกเหมือนถูกความเหนื่อยล้าเข้ามาครอบครองแทน
หลังจากหมดความอดทน หล่อนได้แต่ปิดแอร์ในรถยนต์แล้วลดกระจกด้านข้างลง ความหนาวเย็นด้านนอกพัดผ่านเล็ดลอดทางกระจกเข้ามาด้านในกระทบกับใบหน้าหญิงสาว มันทำให้หล่อนตื่นตัวมาขึ้นมาได้อึดใจ
ตอนถึงบริเวณหน้าประตูของโรงพยาบาล เสิ่นอีเวยดูเวลามันสองทุ่มกว่าเข้าไปแล้ว ตอนมาไม่ทันได้ทานข้าวเย็นท้องเลยร้องไม่หยุด
เสิ่นอีเวยจอดรถเรียบร้อยก็ขึ้นชั้นบทแล้วเดินไปไม่กี่ก้าวก็เคาะบริเวณด้านหน้าห้องทำงานของคุณหมอลู่
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”
เสียงของหมอลู่ดังออกมา : “เชิญเข้ามาได้”
เสิ่นอีเวยผลักประตูเข้ามา คุณหมอใส่แว่นตาและยังคงใส่เสื้อกาวน์สีขาวนั่งรอหล่อนอยู่บริเวณด้านขอบโต๊ะ
“มาถึงแล้วหรอ?” คุณหมอลู่วางปากกาที่มือลงแล้วกล่าวทักทายหล่อน
เสิ่นอีเวยพยักหน้าตอบรับและนั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเขา
คุณหมอลู่มองเสิ่นอีเวยด้วยสายตาปกติแล้วถามหล่อน : “เมื่อครู่ผมว่าผมได้ยินคุณคุยกับฉินโม่ว่าวันนี้คุณยุ่งมากไม่มีเวลามาไม่ใช่หรอ?”
คุณหมอลู่ถามอย่างสงสัยจริงๆถึงได้ถามคำถามนี้ ใบหน้าของเสิ่นอีเวยกลับไม่ได้แสดงสีหน้าที่ผิดปกติจากธรรมชาติออกไป หล่อนพูดและหัวเราะอย่างตรงไปตรงมา : “คุณหมอลู่คะ คนฉลาดอย่างคุณไม่น่าที่จะดูไม่ออกใช่ไหมคะ เมื่อครู่ฉันก็แค่โกหกฉินโม่ แต่ฉันมีเหตุผลของฉัน”
การที่เสิ่นอีเวยพูดออกมาตรงๆทำไมคุณหมอลู่รับรู้ความรู้สึกของหล่อนได้ เขาได้แต่พยักหน้าตอบรับ : “อือ ผมเข้าใจที่คุณสื่อความหมายออกมา ผมเป็นเพื่อนกับฉินโม่มานานหลายปี ผมเข้าใจนิสัยของเขาดี เขาเป็นคนที่ไม่เลวทีเดียว”
เสิ่นอีเวยฟังออกว่าคำพูดของคุณหมอลู่ช่างยกย่องฉินโม่อย่างเห็นได้ชัด และยังสามารถเห็นอะไรหลายๆอย่างอยู่ดวงตาของคุณหมอลู่ หล่อนได้แต่หัวเราะหัวสั่นหัวคลอนแล้วเอ่ยขึ้น : “ใช่ค่ะ ฉันรู้จักกับเขามาตั้งแต่มหาวิทยาลัย ฉันรู้มาตลอดว่าเขาเป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมมากคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นฉันเลยยังคงที่จะรักษาความยอดเยี่ยมของเขาไว้แบบนี้มาโดยตลอด คนอย่างเขาไม่ควรมาทำเรื่องดูถูกตัวเองใช่ไหม?”
การสอบถามเสิ่นอีเวยที่อยู่ต่อหน้า คุณหมอลู่ทำได้แค่ยิ้มเบาๆแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ คำพูดของหล่อนมีความหมายอยู่ในนั้น เขาฟังหล่อนเข้าใจแล้ว
นานมากแล้วที่เจอกับเสิ่นอีเวยเป็นครั้งแรก คุณหมอลู่ถึงกับตกใจ ถึงแม้ว่าหล่อนอายุไม่เยอะแต่คำพูดคำจาและการแสดงความเปิดเผยขึ้นมาตรงๆมันทำให้มีความรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญและความภาคภูมิใจ แต่สิ่งที่ประหลาดออกไปคือความภาคภูมิใจที่เกิดขึ้นมาในตัวหล่อนมันไม่ได้ทำให้คนที่อยู่ใกล้หล่อนกับไม่รู้สึกถึงความอึดอัดขึ้นมาเลย
ตอนที่คุณหมอลู่พบเจอเสิ่นอีเวยถึงกับยอมรับตรงเลยว่า ผู้หญิงคนนี้ช่างมีอารมณ์ที่วิเศษณ์เหลือเกิน มิน่าล่ะขนาดเพื่อนสนิทของเขาอย่างฉินโม่ที่เก่งแสนเก่งขนาดนี้ถึงได้เอาความรู้สึกของตัวเองหลงใหลคลั่งไคล้เธอนักหนา
การสนทนากันกับเสิ่นอีเวยเมื่อครู่ทำให้เขาดูออกว่าในใจของเสิ่นอีเวยช่างชัดเจนมาก ว่าหล่อนอยู่ในสถานการณ์ไหนและก็ยังรู้ว่าเรื่องไหนควรทำเรื่องไหนไม่ควรทำ รู้ว่าตัวเองที่แต่งงานแล้วควรจะเผชิญหน้ากับความรู้สึกของฉินโม่อย่างไร
แต่ว่าโลกใบนี้ช่างยากแก่การคาดเดานัก เรื่องราวระหว่างชายและหญิงนั้นนานวันเข้าความรู้สึกก็ยิ่งจืดชืด คุณหมอลู่คิดได้ถึงเรื่องนี้ถึงกับถอนหายใจเบาๆ
เรื่องอื่นก็พูดจบแล้ว ทั้งคู่ต่างสบตากันแล้วยิ้มๆให่กันแค่นั้น คุณหมอลู่ถามต่อ : “แล้ววันนี้คุณเสิ่นมาด้วยเหตุผลอะไร?”
เสิ่นอีเวยนั่งอยู่ตรงหน้าเขาเพราะฉะนั้นคุณหมอเลยเห็นเธอแค่ครึ่งท่อนบน สิ่งที่เขามองไม่เห็นคือเสิ่นอีเวยกำลังจับปลายแขนเสื้อทั้งสองข้างแน่น แน่นจนนิ้วมือเริ่มขาวซีด
เสิ่นอีเวยรับรู้ถึงคิ้วที่เลิกตามคำถามของคุณหมอมันเป็นความรู้สึกของลางสังหรณ์ขออาการหวาดกลัว
หล่อนไม่กลัวว่าตัวเองจะเกิดปัญหานั่น และที่กลัวมากกว่าคือสิ่งที่หล่อนไม่อยากได้คำตอบที่ตัวเองไม่อยากฟัง
เสิ่นอีเวยหลับตาลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกเบาๆ แล้วเริ่มเอ่ยขึ้น: “วันนี้ที่ฉันมาก็อยากรู้เรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง ร่างกายของฉันตอนนี้สามารถตั้งครรภ์ได้ไหมคะ?”
เสียงของตัวเองเพิ่งจบลง เสิ่นอีเวยก็เห็นใบหน้าของคุณหมอลู่ดูตึงเครียดขึ้นมา เขาขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าเขาจ้องมองเสิ่นอีเวยอย่างพิลึกพิลั่น
ถึงแม้ว่าคุณหมอลู่จะไม่ได้แสดงอาการออกทางด้านท่าทางหรือการแสดงออกทางอารมณ์ แต่ดวงตาของเขายังคงอยู่ในสายตาของเสิ่นอีเวย หัวใจของหล่อนเครียดขึ้นมา
“เธอเตรียมตัวท้องหรอ?” น้ำเสียงของคุณหมอลู่เต็มไปด้วยความสงสัยและไม่อยากจะเชื่อ
อยู่ดีๆคุณหมอลู่ก็รู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองเปลี่ยนไปเลยดึงสติกับขึ้นมาใหม่ เขาแสดงอารมณ์ออกมาอย่างเก้อเขิน เขาพูดกับเสิ่นอีเวยอย่างมีมารยาท : “ขอโทษด้วย คุณเสิ่น ที่จริงแล้วคำพูดของผมไม่ได้มีความหมายเป็นอื่น อาจเป็นเพราะว่าผมเป็นหมอของคุณเลยต้องอธิบายรายละเอียดของร่างกายคุณและเข้าใจวิธีคิดทุกอย่างทุกขั้นตอนให้ชัดเจน”