สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 179
บทที่ 179 ต้องอธิบายให้เซิ่งเจ๋อเฉิงฟังอย่างชัดเจน
เมื่อครู่ก่อนที่คุณหมอลู่จะพูดออกมาว่า “ไม่แนะนำให้ตั้งครรภ์” เสิ่นอีเวยก็รู้แต่แรกแล้วว่าน่าจะมีปัญหาเกิดขึ้น คนส่วนใหญ่ถ้ายังไม่ถึงจุดสุดท้ายก็คงไม่ข้อสรุปกับตนเองในทางร้ายๆก่อนเสมอ
หลักการนี้มันก็เกิดขึ้นแล้วกับเสิ่นอีเวย หล่อนรอคอยและทั้งหวาดกลัวกับปัญหาที่จะท้องได้หรือไม่ได้
ถ้าการมีลูกนั้นส่งผลกระทบกับตัวเอง หล่อนรู้สึกว่าหล่อนรับได้กับผลลัพธ์ที่ตามมา
แท้จริงแล้วเสิ่นอีเวยรับไม่ได้มาโดยตลอด การแต่งงานกับเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ผ่านมาสองปีได้ เขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับหล่อนมาโดยตลอด แต่ว่าตอนนี้ หล่อนรับรู้ได้ว่าอยากมีลูกกับเซิ่งเจ๋อเฉิง
เพราะว่า เขาเป็นผู้ชายที่ตัวเองรักมากที่สุดมานานหลายปี
ในใจเสิ่นอีเวยช่างชัดเจนมาก หล่อนคิดแบบนี้แต่ไม่ใช่ว่ามีลูกให้กับผู้ชายที่ตัวเองรักแล้วเขาจะกลับมาตายรังอยู่กับเธอตลอด
เสิ่นอีเวยรู้จักตัวเองมากพอ หล่อนโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความคิดเป็นของตัวเอง แต่ลูกไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็ตามเขาก็เป็นลูก ไม่มีใครมีสิทธิ์หรือคุณสมบัติที่ใครจะเอาลูกมาเป็นข้อต่อรองความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา พ่อแม่ของเธออบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยก็ไม่อนุญาตให้เสิ่นอีเวยเป็นผู้หญิงพรรค์นั้นด้วย
ผู้หญิงคนหนึ่งจะเศร้าโศกถึงระดับไหนกันถึงได้เอาเรื่องลูกมารั้งหัวใจผู้ชายเอาไว้ได้?
การทำหรือเลือกแบบนั้นมันช่างน่าเศร้าใจมาก เสิ่นอีเวยไม่ยิมยอมที่จะทำแบบนั้นแน่
แต่สิ่งที่หล่อนไม่คาดคิดคือ หล่อนเตรียมตัวเตรียมใจภายใต้สถานการณ์นั้น แต่คุณหมอกลับบอกว่าเธอไม่สามารถที่จะตั้งครรภ์ได้
ประเด็นหลักๆคือ หล่อนรับปากเซิ่งเจ๋อเฉิงไปแล้ว ถ้าเรื่องนี้คุยกันก่อนหน้านี้ เสิ่นอีเวยคงหมดหมดหนทางสู้ต่อแล้ว แต่เวลาระยะหลังนี้ หรืออาจเป็นเพราะผ่านเรื่องราวต่างๆมามากมายจนหล่อนรู้สึกว่าจิตใจของตัวเองเก่งกล้าและสู้ไม่ถอยมากขึ้น
ตอนนี้ ขนาดตัวเธอเองยังตกใจตัวเองเลย ในสมองของเธอคิดอยู่เรื่องเดียว : จะอธิบายให้เซิ่งเจ๋อเฉิงฟังยังไงดี
ตอนที่หล่อนรับปากเขาจนถึงตอนนี้ เวลายังไม่ครบสี่สิบแปดชั่วโมงเลย ถ้าเดินตรงดิ่งไปบอกเขาว่าตัวเองไม่สามารถตั้งท้องได้ ผู้ชายคงนั้นคงคิดว่าหล่อนอยากให้เขาช่วยเลยแล้วหล่อนค่อยมาโกหกตลบหลัง
เขาไม่ปล่อยเธอไปแน่
อีกอย่างเสิ่นอีเวรับรู้ถึงปัญหาที่สำคัญมากกว่านั้น คุณหมอลู่ก็บอกกับเธอเองว่าสภาพร่างกายของเธอไม่เหมาะแก่การตั้งครรภ์ หล่อนไม่สามารถที่จะบอกความจริงกับเซิ่งเจ๋อเฉิงได้เป็นอันขาด
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อาการเจ็บป่วยของหล่อนก็ต้องถูกเปิดเผย หล่อนปิดบังมาตั้งนานนมก็เพื่อไม่อยากให้ผู้ชายคนนั้นมีโอกาสมาหัวเราะเยาะหล่อนทีหลัง ตอนนี้ต้องระมัดระวังมากขึ้นอย่าให้เรื่องมันแดงขึ้นมาได้
สภาพอากาศภายในรถจากที่หายใจคล่องกลับเปลี่ยนเป็นอึมครึมแทน เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ความคิดที่อยู่ในหัวของเสิ่นอีเวยกำลังตรึกตรองว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี ติดอยู่นานก็ยังหาทางออกไม่เจอสักที
เสิ่นอีเวยจอดรถบริเวณลานจอดรถของปากทางสี่แยกไฟแดง หล่อนนั่งทำหน้าตาวิตกกังวลอยู่บนเก้าอี้คนขับรถเลยได้แต่มองออกไปด้านนอก เห็นรถเห็นรถขับสวนกันไปมาบนท้องถนน ในสมองกลับคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่านจนสามารถดึงสติกลับมาได้ หล่อนก็ยกแขนขึ้นเมื่อมองเวลาบนนาฬิกาข้อมือ ตอนนี้เวลาปาเข้าไปเกือบจะสี่ทุ่มแล้ว
เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจที่ตัวเองอยู่ในรถนานขนาดนี้แล้ว
แม้ว่าเรื่องราวต่างๆจะแย่มาถึงจุดนี้แล้ว ยังไงซะมันก็ต้องมีการแก้ไข
เสิ่นอีเวยไม่คิดอะไรอีก แปบเดียวหล่อนก็สตาร์รถและขับรถมุ่งหน้าไปทางวิลล่าบ้านตระกูลเซิ่ง การจราจรที่คับคั่งดูเหมือนว่ากำลังทำให้อุณหภูมิลดลงไปด้วย
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป รถก็จอดนิ่งหน้าประตูวิลล่าของตระกูลเซิ่ง ยามรักษาการณ์ทำความเคารพและเปิดประตูใหญ่ให้หล่อน เมื่อหล่อนจอดรถเสร็จเรียบร้อยแต่กลับไม่ยอมลงจากรถ หล่อนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่ในรถนานอยู่หลายนาทีถึงได้ยอมลงจากรถ
ตอนที่เปิดประตูบ้านในวิลล่า กลับไม่มีแสงไฟส่องสว่างแต่กลับดำมืดไปหมด ตอนหล่อนเดินเข้ามาในบ้านได้หลายก้าว หล่อนเพิ่งได้ว่าวันนี้เป็นหยุดของพวกคนรับใช้ ในใจหล่อนเริ่มคิดหาวิธีดีๆขึ้นมาต้องใช้โอกาสที่คืนนี้บ้านเงียบคุยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงไปตรงๆให้รู้แล้วรู้รอดไป
เสิ่นอีเวยถอดเสื้อโค้ทตัวนอกออกและวางอย่างเป็นระเบียบแล้วค่อยๆย่องขึ้นชั้นเบาๆ วิลล่าใหญ่โตกลับเงียบงัน เสิ่นอีเวยได้ยินเพียงเสียงรอยเท้าของตัวเองที่กำลังเดินขึ้นบริเวณชั้นบนของบ้าน ในใจกลับมีความตื่นเต้นอยู่ตลอดอย่างไม่รู้ตัว
คืนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้กลับมา ห้องนอนของเขาช่างว่างเปล่านัก เสิ่นอีเวยเดินไปดูเขาที่ห้องอ่านหนังสือแต่ก็ไม่มีคนอยู่
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองเหมือนลูกบอลที่ไม่มีลมกำลังกองอยู่บนพื้นในห้องอ่านหนังสืออย่างเงียบๆ สภาพอุณหภูมิในยามดึกยิ่งลดต่ำลงมันช่างหนาวเหน็บจนเข้ากระดูกแต่สำหรับหล่อนแล้วแทบไม่มีความรู้สึกใดๆ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจเสิ่นอีเวยฉุกคิดขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่ยากแท้หยั่งถึงเสียจริง เมื่อครู่ตอนที่รู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้อยู่บ้าน หล่อนยอมรับเลยว่าตัวเองโล่งอกไปเยอะ
ทว่าความหวังนี้มันคงเป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่า ก็แค่ทำให้เธอสงบจิตสงบใจได้ แต่เรื่องที่ยุ่งยากอย่างเรื่องนี้ เสิ่นอีเวยรู้ดีอยู่แก่ใจ หล่อนจะไม่ยอมยื้อเวลาต่อไปได้แค่หวังว่ารีบจัดการให้สิ้นเรื่องสิ้นราวจะได้จบๆกันไป
เสิ่นอีเวยไม่มีทางเลือกอื่น หล่อนค่อยๆเดินลงไปที่ห้องรับแขกด้านล่างแล้วนั่งรออยู่ที่โซฟา รอแล้วรอเล่าเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังไม่กลับมาจนเสิ่นอีเวยเงยหน้ามองนาฬิกาแขวนผนังเวลาก็ปาเข้าไปตีสี่แล้ว หล่อนทนรอต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆเลยเอนหลังนอนหลับบริเวณโซฟา
เช้าวันต่อมาเสิ่นอีเวยถูกความหนาวเย็นปลุกให้ตื่น เมื่อคืนหล่อนนอนหลับบริเวณโซฟาไม่มีผ้าห่มมาห่มคลุมร่างกายแต่อย่างใด ตอนที่ตื่นขึ้นมาหัวมึนๆหนักหน่วงเอาการ แต่หล่อนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ได้แต่หยิบสิ่งของของตัวเองแล้วเดินออกไป
ตอนที่ถึงบริษัทเวลาเพิ่งจะแปดโมงครึ่ง จนเวลาล่วงเลยไปจนถึงเที่ยง เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังไม่กลับเข้ามาในบริษัท
ความอดทนของหล่อนหมดลง เสิ่นอีเวยก็จัดการโทรศัพท์มาหาเขา เสียงเรียกสายผ่านไปถึงสามครั้งแล้วเขาก็ไม่ยอมรับสาย เธอเลยตัดสายทิ้งแล้วจัดการโทรศัพท์หาหลินอวี้เองเลย
เขารับโทรศัพท์แล้ว เสิ่นอีเวยเปิดปากถาม : “ฮัลโหล”
น้ำเสียงของหลินอวี้ดูปกติและยังมีมารยาทเหมือนเดิม : “ฮัลโหล คุณเสิ่น”
“ผู้ช่วยหลิน ท่านประธานเซิ่งอยู่กับคุณหรือเป่ลา?” เสิ่นอีเวยถามเขา
“ใช่ครับ ท่านประธานอยู่กับผม”
นาทีนั้นเสิ่นอีเวยดีอกดีใจ หล่อนถามต่อ : “รบกวนคุณยื่นโทรศัพท์ให้เขาคุยหน่อยได้ไหม?”
เสียงปลายสายของหลินอวี้เงียบไปสักพัก เสิ่นอีเวยได้ยินเหมือนว่าเขาพูดกำลังพูดกับใครเบาๆ หล่อนไม่ได้ยินเนื้อหาที่เขาพูดกันอยู่
สักพัก น้ำเสียงของหลินอวี้ก็สะท้อนกลับมา : “ขออภัยครับ คุณเสิ่น ท่านประธานมีธุระไม่สะดวกรับสาย”
เสิ่นอีเวยเงียบอยู่นานแต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ ที่จริงแล้วเมื่อครู่ที่หลินอวี้พูดกระซิบกระซาบนั่น หล่อนก็พอเดาออกว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจงใจที่จะไม่รับสายของเธอ แต่หล่อนไม่รู้จริงว่าทางเขานั่นเกิดเรื่องอะไรขึ้น เลยไม่อยากจะเปิดปากถามหลินอวี้
ถึงแม้ว่าถามไป หลินอวี้ยังไงก็เป็นคนของเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาไม่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นแน่ๆ