สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 183
บทที่ 183 เกมนี้ดูท่าน่าสนุกดี
สักพัก ความสนใจของเจิ้งอวิ๋นชวนกลับมาสนใจเรือนร่างของเสิ่นอีเวยแทน ความสูงของเขาและเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้สูงกว่ากันมากนัก เสิ่นอีเวยเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นสีหน้าแววตาของเขาอย่างชัดเจน
เจิ้งอวิ๋นชวนแสยะยิ้มแล้วค่อยๆพูดออกมา : “เกมนี้ดูท่าแล้วน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ”
เสิ่นอีเวยเข้าใจในความหมายของคำพูดเขาในทันที แต่ยังไม่ทันตอบกลับ เจิ้งอวิ๋นชวนก็เดินผ่านหล่อนไปหาเซิ่งเจ๋อเฉิงไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เริ่มมีความรู้สึกตื่นเต้นที่อยู่ในใจ หล่อนหันศีรษะไปมองพวกเขาสองคน
เจิ้งอวิ๋นชวนเดินไปยังด้านหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วยื่นมือออกมากล่าวทักทาย : “สวัสดีครับท่านประธานเซิ่ง ผมชื่อไซรัสครับ”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงยังคงจดจ้องอยู่ที่เสิ่นอีเวย เขารีบละสายตาออกมาจากเธออย่างฉับไว ตอนที่หันกลับมามองเจิ้งอวิ๋นชวนสีหน้าแววตาเขาไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อครู่ แต่อารมณ์ของเขายังปกติธรรมดา ช่างยากที่จะทำให้คนดูออกจริงๆว่าเป็นอารมณ์แบบไหน
เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบเขาอย่างมีมารยาท : “สวัสดีครับ ผมคือเซิ่งเจ๋อเฉิง”
“คุณพ่อของผมรอคุณอยู่ที่ห้องรับแขกอยู่นานแล้วครับ ไปกันดีกว่าครับ”
พูดเสร็จเจิ้งอวิ๋นชวนก็หันตัวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องรับแขก เสิ่นอีเวยมองอย่างเต็มสองลูกกะตาว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องมองหล่อนด้วยสายตาที่เย็นยะเยือกและดูชิงชังน่าดู แปบเดียว เขาก็ก้าวเท้าเดินมาหาหล่อน แต่หลินอวี้กับยืนรอเขาอยู่ที่เดิม
ระยะของทางเดินก็ไม่ได้ห่างไกลกันมากนัก ยิ่งเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงก้าวมาหาตัวเองทีละก้าว ใจหล่อนยิ่งตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เพราะหล่อนยังไม่ได้คิดเลยว่าจะบอกเขายังไงดีว่าตอนนี้ไม่สามารถที่จะตั้งครรภ์ได้แล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าเสิ่นอีเวย เขากำลังมองหล่อนที่กำลังหรี่ตาลง ในดวงนั่นมันทอประกายความอันตรายออกมา สายตาแบบนี้ของเซิ่งเจ๋อเฉิงมันทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกไม่สบายอกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หล่อนก็ใช้กล้าบ้าบิ่นสู้กับสายของเขา แต่เจ้ากรรมเท้าของหล่อนกลับถอยหลังทีละนิดอย่างไม่รู้ตัว
เซิ่งเจ๋อเฉิงเปิดปากพูด ในน้ำเสียงนั่นมีความหมายที่เย็นยะเยือกเหมือนทำให้คนสั่นเทาจากความหวาดกลัว : “ทำไมเธอถึงชอบพัวพันอยู่กับพวกผู้ชายไม่หยุด?”
เสิ่นอีเวยถึงกับทำตัวไม่ถูก หล่อนไม่รู้เลยว่าประโยคนี้ของเขามันหมายความว่าอะไรกันแน่ หล่อนอยากจะบอกเรื่องลูกกับเขา แต่อยู่ดีๆก็ถูกถามประโยคนี้มาแทน ความคิดของหล่อนตีกันพัลวันไปหมดแล้ว
อยู่ดีๆก็พูดว่าวันพัวพันอยู่แต่กับผู้ชาย เสิ่นอีเวยถึงได้สติกลับมาว่า เมื่อครู่เจิ้งอวิ๋นชวนลากแขนของตัวเองอยู่จนเซิ่งเจ๋อเฉิงเข้ามาเห็นเข้าพอดี เขาน่าจะเข้าใจอะไรผิดไปแน่
ในใจเสิ่นอีเวยช่างขมขื่นฝืนทนซะจริงๆ ทำไมเขาต้องโผล่มาช่วงจังหวะนี้ทุกทีเลย?
ริมฝีปากเสิ่นอีเวยเริ่มขยับปากอธิบาย แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงก็หัวตัวกลับแล้วเดินจากไป ทิ้งไว้แค่เงาดำๆที่ยากแท้แก่การคาดเดา
หล่อนยังคงยืนอยู่ที่เดิม สมองกลับว่างเปล่า ได้แต่เบิกตามองเซิ่งเจ๋อเฉิงกับหลินอวี้ที่หายไปจากระยะสายตาของเธอ
ทางด้านห้องรับแขก การมาถึงของเซิ่งเจ๋อเฉิงบรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมา เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นเจิ้งโป๋หง เขารีบยื่นมือออกไปจับมือกับเขาไว้ : “ขอโทษด้วยครับ ที่ให้คุณต้องรอผมอยู่ตั้งนาน”
เจิ้งโป๋หงมองเซิ่งเจ๋อเฉิงด้วยสายตาชื่นชม เขาอยู่ต่างประเทศมานานหลายปีแถมได้ยินชื่อเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่เป็นผู้นำด้านธุรกิจยักษ์ใหญ่อยู่บ่อยครั้ง
ปีนี้เจิ้งโป๋หงอายุก็ปาเข้าไปห้าสิบแล้ว ชีวิตของเขาเมื่อก่อนที่ผ่านมาน้อยนักที่จะเห็นนักธุรกิจที่เก่งกาจที่อายุยังน้อยอย่างเซิ่งเจ๋อเฉิง เขาไม่เพียงแต่เอาบริษัทเซิ่งซื่อมาครอบครองไว้ในมือ ระยะหลายปีที่ผ่านมา เขายังคงเสริมสร้างรากฐานเดิมของเซิ่งซื่อเอาไว้แล้วขยายขนาดและเชื่อมต่อธุรกิจต่างๆเข้าด้วยกันทำให้มันเติบโตหลายเท่า
“ไม่มีปัญหาอะไร ผมสามารถร่วมมือกับท่านประธานเซิ่งได้ ก็ถือว่าผมก็ดีใจมากแล้ว แต่ต้องแจ้งให้ท่านประธานเซิ่งทราบถึงปัญหาอยู่เรื่องหนึ่ง ครั้งนี้ผมไม่นับว่าผมเป็นคนรับผิดชอบโดยตรงกับโครงการนี้ ผมเอาอำนาจทั้งหมดส่งต่อให้กับลูกชาย ดังนั้นการมาครั้งนี้น่าจะเป็นลูกชายของผมคุยกับท่านประธานเซิ่งโดยตรงเลย”
“ท่านประธานเซิ่ง”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ดีๆก็มีมือผู้ชายอีกคนยื่นเข้ามา เขาเงยหน้าขึ้นเป็นเจิ้งอวิ๋นชวน
สีหน้าของเจิ้งอวิ๋นชวนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าจะดูยังไงก็แค่ปากยิ้มแต่ตาไม่ได้ยิ้ม เซิ่งเจ๋อเฉิงคร่ำหวอดอยู่กับวงการธุรกิจมายาวนาน รอยยิ้มแบบนี้เขาพบเห็นอยู่บ่อยๆ สำหรับเขาแล้ว การยิ้มแบบนี้ของเจิ้งอวิ๋นชวนในตอนนี้เหมือนกับว่ากำลังใส่หน้ากากอยู่อีกชั้น
หากถอดหน้ากากออกแล้วจะมีจิตใจแบบไหนกัน ตอนนี้เขาก็ยังดูไม่ออก
เซิ่งเจ๋อเฉิงยิ้มพร้อมทั้งยื่นมือขวาออกมาแล้วพยักหน้าตอบรับอย่างมีมารยาท
เจิ้งอวิ๋นชวนจ้องมองใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนกำลังค้นหาอะไรอยู่ ทว่าอารมณ์ของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าช่างลึกลับเสียจริง ตอนนี้เขาไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกใดๆได้ รู้แค่ว่าเมื่อครู่ที่เสิ่นอีเวยเห็นเขาในตอนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนคงไม่ธรรมดาแน่ๆ
เจิ้งโป๋หงบอกว่ามาเป็นเพื่อนลูกชาย เขาก็พูดตรงดีจริงๆ เขาซักถามเซิ่งเจ๋อเฉิงเรื่องทิศทางความร่วมมือหลังจากนั้น เขาก็ขอตัวกลับไปก่อน
เจิ้งโป๋หงกลับออกไปแล้วเหมือนว่าพาคนทุกคนออกไปหมด เจิ้งอวิ๋นชวนเหลือแค่ผู้ชายคนเดียวที่อยู่ข้างๆเขา เป็นผู้ชายต่างชาติคนหนึ่ง
ห้องรับแขกของบริษัทเซิ่งซื่อมีขนาดใหญ่มากอยู่แต่เดิมแล้ว ยิ่งแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาจากดวงไฟทำให้ทั้งห้องเงียบและดูเยือกเย็น หลินอวี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกเหมือนมีอะไรผิดปกติไป เขาจึงได้เงยหน้าขึ้นมากลับพบว่าเจ้านายและเจิ้งอวิ๋นชวนที่อยู่ตรงหน้าเขากำลังจ้องมองฝ่ายตรงข้ามอยู่ แต่ทั้งคู่กับไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา
หลินอวี้ดูจากสถานการณ์แล้ว เขาเข้าใจเป็นอย่างดีเลยค่อยๆก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้น : “ต้องการให้ผมออกไปรอข้างนอกไหมครับ?”
หลินอวี้อยู่กับเซิ่งเจ๋อเฉิงมาหลายปี เขารู้ดีว่าเป็นส่วนเกิน เช่นตอนนี้ที่ต้องหลีกเลี่ยง เขาจะรู้ตัวก่อนคนอื่นเสมอ
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเบาๆ หลินอวี้พยักหน้าตอบรับ แล้วมองไปยังฝั่งตรงข้าม สีหน้าของเขาไร้ซึ่งอารมณ์
ตอนที่หลินอวี้เดินไปถึงบริเวณข้างประตู เจิ้งอวิ๋นชวนก็หันศีรษะกลับไปพูดกับผู้ช่วยของตนเอง : “แกก็ออกไปรอฉันข้างนอก”
ผู้ช่วยของเขาก็พยักหน้าเบาๆแล้วเดินตามหลินอวี้ไป
ห้องรับแขกขนาดใหญ่มีแค่พวกเขาสองคน เซิ่งเจ๋อเฉิงและเจิ้งอวิ๋นชวน
เจิ้งอวิ๋นชวนที่ยืนอยู่บริเวณข้างๆกระจกจรดพื้นบานใหญ่ เขาจ้องมองเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วถามกลับ : “ท่านประธานเซิ่งกับคุณเสิ่นอันที่จริงแล้วมีความสัมพันธ์กันแบบไหน?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินคำถามนี้แต่ไม่ได้ตอบกลับ เขาหัวเราะออกมาแล้วจ้องมองดวงตาของเจิ้งอวิ๋นชวนแล้วตอบกลับไป: “ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดที่ท่านประธานเจิ้งถามคำถามนี้มันไม่น่าจะเกี่ยวข้องอะไรกับความร่วมของพวกเราในครั้งนี้ใช่ไหม?”
เจิ้งอวิ๋นชวนหัวเราะในลำคอทำเหมือนกับไม่สนใจกับคำถามของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนกัน
มือทั้งสองข้างของเขาสอดเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทพลางกำมันไปมาทำเหมือนกับว่าทำให้ทุกอย่างมันปกติดีแบบนี้
“แม้ว่าท่านประธานเซิ่งจะไม่ยอมบอกกับผม ถ้าเช่นนั้นผมก็ขอทาย หากนิสัยของผมมันรบกวนท่านประธาน เช่นนั้นก็รบกวนท่าน–”
พูดมาจนถึงตรงยี้ เจิ้งอวิ๋นชวนก็หยุดพูด เขาจ้องมองสายตาเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ฉายแววเย้ยหยันดูถูกดูแคลน
“ระมัดระวังตัวไว้ด้วย”
เจิ้งโป๋หงเกิดและเติบโตที่เมืองปักกิ่ง ลูกชายของเขาที่เป็นลูกครึ่งไม่เพียงแต่พูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว ขนาดการออกเสียงภาษาท้องถิ่นอย่างเมืองปักกิ่งเขาก็สามารถใช้ได้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซนต์แล้ว
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาได้แต่จ้องมองเจิ้งอวิ๋นชวนอย่างเยือกเย็นมันช่างลึกและเงียบงัน ในสายตาของเขาไม่มีอารมณ์ใดๆที่แสดงออกมาเลยสักนิด
เจิ้งอวิ๋นชวนค่อยๆเอ่ยปากพูด : “คุณเสิ่นเป็นแฟนคุณรอ? เลขาส่วนตัว? คนรัก?”
ปากของเขาพูดไม่หยุด พูดต่อได้เรื่อยๆ ความอบอุ่นในสายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มลดลงไปเรื่อยๆตอนที่เขาพูดเรื่องความสัมพันธ์พวกนี้ออกมา