สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 189
บทที่ 189 พาเซิ่งเจ๋อเฉิงไปที่โรงพยาบาลตอนกลางดึก
ถึงเวลานี้ เสิ่นอีเวยถึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป อุณหภูมิในร่างกายของเขาในตอนนี้ ขนาดเธอนอนใกล้ๆกับเขา เธอยังแทบจะทนไม่ได้แล้วเซิ่งเจ๋อเฉิ เองจะทนได้ยังไง?
ผู้ชายบ้าอะไรไม่รู้!
เสิ่นอีเวยแอบด่าเขาอยู่ในใจ เธอใช้แรงทั้งหมดถีบเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กอดเธอไว้อย่างกับปลาหมึกออกไปแล้วลุกจากเตียงไปหายาให้เขากิน
ในห้องนอนของเธอมีแต่ยาแก้ปวด ส่วนในห้องนอนของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ต้องคิดเลย คนที่ปกติไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยมาก่อน เขาจะเตรียมยาแก้หวัดทั่วๆไปในห้องนอนของเขาได้อย่างไร?
เสิ่นอีเวย จำได้ว่ากล่องยาอยู่ชั้นล่าง
เธอออกไปจากห้องเดินลงบันไดไปชั้นล่าง ตอนนี้เพิ่งรู้ตัวเองว่าเธอก็รู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย หรือว่าเพราะเธอกำลังเป็นห่วงผู้ชายที่กำลังนอนไข้ขึ้นคนนั้นหรือ? เสิ่นอีเวยได้แต่หวังว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น
แต่เธอหลอกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เธอกำลังเป็นห่วงเขาอยู่และเป็นห่วงมากด้วย
เมื่อก่อนจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินใครพูดว่า คนที่ไม่เคยเป็นไข้มาก่อนเลย ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ร่างกายของคนแบบนี้ ปกติไม่เป็นไข้ก็ดีไป แต่ถ้าวันหนึ่งเกิดเป็นไข้ขึ้นมาล่ะก็อาจจะเป็นรุนแรงถึงขั้นเกิดโรคอะไรแทรกซ้อนรักษาไม่หายเลยก็ได้
คิดถึงตรงนี้ เสิ่นอีเวยก็รีบเร่งฝีเท้า
พอหายาเจอหล่อนรินน้ำร้อนใส่แก้ว กำลังเดินขึ้นไปชั้นบน ขณะที่กำลังเดินขึ้นบันได เสิ่นอีเวยถึงเพิ่งฉุกคิดย้อนหลังกลับไปว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มมีไข้ตั้งแต่เมื่อไ?
ก่อนจะเข้านอน ทั้งสองพูดคุยกันที่ระเบียงห้อง ท่าทางของ เซิ่งเจ๋อเฉิง ก็ไม่ได้มีอะไรแปลกไป ทำไมหลับไปหลับมาถึงได้ไข้ขึ้น? ถ้าเธอนอนใกล้ๆกับเขาสักหน่อยไม่รอให้เขาเอาแขนมาพาดเธอ เธอก็คงรู้เร็วกว่านี้ว่าเขาไข้ขึ้น?
ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เสิ่นอีเวยรู้สึกตำหนิตัวเองอยู่เนืองๆ
เดินมาถึงข้างเตียง เธอวางยาที่กำไว้ในฝ่ามือลงเบาๆบนโต๊ะเล็กข้างหัวเตียง ใช้กระดาษทิชชูแผ่นหนึ่งรองยาไว้ เธอจิบน้ำร้อนในแก้วที่ถือมา รู้สึกว่าจะร้อนลวกปากไปหน่อย
เธอเปิดลิ้นชักจากตู้ใบเล็กค้นหาปรอทวัดอุณหภูมิ จะได้เอามาวัดไข้ให้ เซิ่งเจ๋อเฉิง ตอนที่เธอเลิกเสื้อของชายหนุ่มขึ้น เสิ่นอีเวยสัมผัสกับผิวกายที่เปลือยเปล่าของเขา ตัวร้อนจนแทบลวกมือ และเต็มไปด้วยเหงื่อ
ดูจากสถานการณ์แล้ว อุณหภูมิร่างกายคงไม่ต่ำแน่ ๆ เสิ่นอีเวยคิดอยู่ในใจ
อย่างที่คิดไว้เลย รอวัดไข้เสร็จ เธอหยิบปรอทจากตัวของ เซิ่งเจ๋อเฉิงตัวร้อนอุณหภูมิขึ้นมาดู 39.6 องศา เสิ่นอีเวยตกใจนิ่งไปเป็นครู่
ไม่น่าไข้ขึ้นถึงขนาดนี้ อีกนิดเดียวก็จะ 40 องศาแล้ว เคยเห็นแต่คนไข้ขึ้น 38 องศา คนที่ไข้ขึ้นขนาดนี้เพิ่งเจอเป็นครั้งแรก
เสิ่นอีเวยนั่งอยู่ข้างเตียงกำลังจะปลุกให้เซิ่งเจ๋อเฉิงตื่นขึ้นมากินยา
“เซิ่งเจ๋อเฉิง!” เสิ่นอีเวย ยื่นมือไปเขย่าไหล่ของชายที่นอนอยู่บนเตียง แต่เขาไม่ขยับเลยสักนิด ดังนั้นเธอเลยใช้แรงมากขึ้นกว่าเดิมปลุกเขา ในที่สุดเซิ่งเจ๋อเฉิง กเริ่มได้สติ
เขาลืมตาอย่างสะลึมสะลือ แววตาไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนเลยสักนิด แม้แต่เสิ่นอีเวยยังงงว่าเขารู้ตัวเองหรือเปล่าว่ากำลังไข้ขึ้นอยู่ เธอยังสงสัยว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงอาจไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เขานอนอยู่ที่ไหน
เสิ่นอีเวย สอดมือเข้าไปที่ใต้รักแร้ของเซิ่งเจ๋อเฉิงจากด้านหลังออกแรงดึงให้ เซิ่งเจ๋อเฉิงลุกขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล
แต่ชายหนุ่มตัวหนัก อย่างกับหมูยังไงอย่างนั้น!
แม้ว่าเขาจะมีกล้ามเนื้อเยอะแต่เวลาใส่เสื้อผ้าก็ดูผอม แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้หนักขนาดนี้? เสิ่นอีเวยบ่นเป็นหมีกินผึ้ง
หรือเป็นอย่างที่ใครพูดไว้ ว่าใส่เสื้อดูผอมถอดเสื้อมีเนื้อ? เสิ่นอีเวยคิดพลางออกแรงลากเขา พอเธอดึงสติกลับมาได้ คนไข้ขึ้นจะตายอยู่มะลอมมะล่อแล้วไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่อยเปื่อย
เสิ่นอีเวยออกแรงดึงเซิ่งเจ๋อเฉิงอีกครั้ง พลางเรียกเขา “ลุกขึ้น! เซิ่งเจ๋อเฉิง! ฉันจะพาคุณไปโรงพยาบาล ได้ยินไหม! ?”
เสียงของ เสิ่นอีเวยเรียกเขาดังลั่นจนเธอเองยังตกใจ แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงยังคงนิ่ง ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกว่า คนๆนี้ไม่ใช่เพราะง่วงนอนไม่อยากตื่นแต่น่าจะเป็นเพราะไข้ขึ้นจนสมองไม่สั่งการ อาจเป็นไปได้ว่าเขาสลบไปชั่วขณะ
เธอทั้งเขย่าทั้งตะโกนเรียกเสียงดังขนานนี้ ถ้าคนปกติดีคงรู้สึกตัวไปนานแล้ว แต่เขายังคงนิ่งไม่ตอบสนองอะไร
ไม่มีทางเลือก เสิ่นอีเวยเดินเข้าไปในห้องน้ำหาผ้าชุบน้ำร้อนบิดหมาดๆ มาวางไว้บนหน้าผากที่ร้อนผ่าวของเซิ่งเจ๋อเฉิง
จากนั้นเธอก็นั่งคุกเข่าบนเตียงกัดฟันกรอด แล้วพูดกับเซิ่งเจ๋อเฉิงที่กำลังทำหน้าบูดเบี้ยวหลับตาปี๋ :”ต้องบอกก่อนนะ ว่าฉันไม่ได้ตั้งใจจะแต๊ะอั๋งอะไรคุณ เห็นคุณไข้ขึ้นกำลังจะตายหรอกนะ ถึงได้ถอดเสื้อผ้าคุณอ่ะ ”
พูดจบ เสิ่นอีเวยอก็เริ่มลงมือ อันดับแรกถอดกางเกงขายาวสีเทาเข้มออกก่อน จากนั้นก็เดินไปที่ห้องนอนของเซิ่งเจ๋อเฉิงหาเสื้อผ้าสะอาดมาเปลี่ยนให้เขา
ถอดมาถึงเสื้อผ้าด้านบน เสิ่นอีเวยเริ่มเกิดปัญหา ท่านอนของเซิ่งเจ๋อเฉิงในตอนนี้จะถอดเสื้อเขาได้ยังไง ดังนั้น เสิ่นอีเวยจึงออกแรงทั้งหมดที่มีดึงตัวเซิ่งเจ๋อเฉิงให้ลุกขึ้น หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขาเรียบร้อยแล้ว ผ้าขนหนูที่วางบนหน้าผากของเขาก็เย็นพอดี เสิ่นอีเวย เอาผ้าขนหนูออก
เธอหันกลับมาจิบน้ำร้อนในแก้ว อืม อุณหภูมิกำลังดี
อาจเป็นเพราะว่าเมื่อครู่ เสิ่นอีเวยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขารุนแรงไปนิดหนึ่ง เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มได้สติขึ้นมาเล็กน้อย เขาค่อยๆลืมตาขึ้นหรี่ตาจนเป็นเส้นตรงมองเสิ่นอีเวยอย่างหมดแรง
จ้องอยู่นาน เซิ่งเจ๋อเฉิงก็พูดขึ้นมาสองสามคำ: “เมื่อกี้เธอถอดเสื้อผ้าฉันเหรอ?”
เสิ่นอีเวย หัวเราะด้วยความโมโหพูดอย่างโกรธๆ: “ใช่สิ ฉันเป็นคนถอดเสื้อผ้าคุณเอง จะทำไม? จะคิดบัญชีกับฉันหรือไง?”
เสิ่นอีเวยยืนอยู่ข้างเตียงเซิ่งเจ๋อเฉิง นั่งเงยหน้ามองไปที่เธอ สำหรับเสิ่นอีเวยแล้ว เธอเพิ่งจะมองเขาในมุมนี้เป็นครั้งแรก อดไม่ได้ที่จะยืดอกเท้าเอวมองเขา
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องไปที่เธอ แววตาของเขาไม่เข้มงวดและดูถูกเธออย่างที่เคยเป็นอาจเป็นเพราะแสงสว่างที่ส่องมา ดวงตาของเขาเป็นประกายเหมือนดวงดาวบนฟากฟ้า
ทั้งสองจ้องมองกันอย่างเงียบ ๆ เป็นเวลานาน คนที่นั่งอยู่บนเตียงมองตาเสิ่นอีเวยแล้วพูดขึ้นมาว่า: “เสิ่นอีเวย เธอปัญญาอ่อนจริง ๆ”
“……”
เสิ่นอีเวย พูดอะไรไม่ออก
แต่ตอนนี้เธอไม่อยากต่อปากต่อคำกับเขาเท่าไร ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ไม่สบายอยู่ คงต้องยอมๆเขาหน่อย ไม่อย่างนั้นเกิดอะไรขึ้นมา เธออาจต้องรับผิดชอบเสียเอง
เสิ่นอีเวยคิดได้แบบนี้ก็ยื่นแก้วน้ำกับยาให้เซิ่งเจ๋อเฉิง
ชายหนุ่มมองการกระทำของเสิ่นอีเวยอย่างนิ่งเฉย สายตาร่างกายไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด เสิ่นอีเวยเริ่มร้อนใจ ถ้าตอนนี้ไม่กินยาอีกพักน้ำจะเย็นหมด
เธอเลยเตือนเขาเสียงดังว่า “กินยาซะ!”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยังคงจ้องเธอตาไม่กระดิก เปลือกตาของเขาทำท่าเหมือนกำลังจะปิดลงอีกรอบ
เสิ่นอีเวยเริ่มรู้สึกไม่ดี เมื่อกี้ปลุกปล้ำอยู่นานกว่าเขาจะได้สติ เพิ่งจะได้สติแปบเดียวจะปล่อยให้เขาหลับต่ออีกไม่ได้
เสิ่นอีเวย วางแก้วน้ำบนโต๊ะข้างหัวเตียงอย่างไม่ลังเล จากนั้นบีบแก้มของ เซิ่งเจ๋อเฉิงด้วยมือขวา จนปากเป็นรูปตัว “o” เหมือนว่าจะบีบแรงไปหน่อยทำให้เขาเจ็บ จนเซิ่งเจ๋อเฉิงทำคิ้วย่น