สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 233
บทที่ 233 อยู่ดีๆก็รู้สึกอบอุ่นอย่างไม่ทันตั้งตัว
โลกที่กำลังหมุนอยู่เหมือนว่ามันเงียบสนิท เสิ่นอีเวยตกใจจริงๆ
มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ถึงกับสั่น หล่อนนึกไม่ถึงจริงๆว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะพูดตอบกับหล่อนกับคำตอบแบบนี้
สักพัก เสิ่นอีเวยถึงกับถามอีกรอบ : “เมื่อครู่คุณพูดว่ายังไงนะ?”
น้ำเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่มีข้อกังขาใดๆแถมยังนำพาซึ่งความอบอุ่นออกมาด้วย : “ฉันบอกว่าฉันเชื่อ ฉันเชื่อในสิ่งที่เธอพูด”
ด้วยความที่หัวใจนั้นถูกปิดตายไปนานแล้ว อยู่ดีๆก็มีความอบอุ่นพุ่งแทรกเข้ามา เจ้าของหัวใจเองแรกเริ่มก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
เดิมทีเสิ่นอีเวยคิดว่าอาศัยนิสัยของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วคงจะเหมือนเมื่อก่อนที่เอาแต่เย็นชาแบบนั้น ฉะนั้นเลยไม่ได้คิดว่าจะได้ยินได้ฟังคำตอบอะไรแบบนี้เลยเตรียมใจไว้ตั้งแต่แรกว่าเขาคงปล่อยมันผ่านไป
ทว่า เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับพูดว่า… เขาเชื่อในตัวหล่อน
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองสูญเสียการพูดสื่อสารออกไปแล้ว บริเวณหน้าอกเหมือนกับก้อนหินขนาดมหึมานั้นปิดกั้นขวางทางอยู่ หล่อนทำได้แต่ฟังเสียงจากกระบอกเสียงโทรศัพท์นั่นอย่างเงียบๆโดยที่ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรดี
สักพัก น้ำเสียงราบเรียบของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดังออกมา : “ฉันรู้ว่าสวี่อันฉิงเป็นตัวก่อปัญหา เลยอนุมัติให้หล่อนมาทำงานที่บริษัทเซิ่งซื่อ เป้าหมายจริงหลักๆแล้วคือจะได้สะดวกในการตรวจสอบหล่อนได้โดยตรง”
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเงาของตัวเองเริ่มโงนเงน คำพูดที่ออกมาจากปากของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นมันเหมือนกับความรู้สึกจินตนาการอย่างเห็นได้ชัด นี่แสดงว่า…เธอกับเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นเป็นพวกเดียวกันแล้ว?
เสิ่นอีเวยแทบไม่อยากจะเชื่อ
“ทำไม?”
เสิ่นอีเวยอดไม่ได้ที่จะอ้าปากถามต่อ : “ทำไมคุณถึงอยากจะตรวจสอบหล่อนขึ้นมาล่ะ?”
เสียงจากโทรศัพท์ฝั่งเซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบไปสักพักถึงได้ตอบกลับมา: “ฉันปฏิเสธเลยไม่ได้ว่า ตอนแรกฉันไม่เชื่อเลยในสิ่งที่เธอพูดเรื่องที่เข้าใจเธอผิดเรื่องทำร้ายเสิ่นหุ้ย แต่หลังจากนั้น ฉันค่อยๆพบว่าสวี่อันฉิงคนนี้ จุดประสงค์ของหล่อนนับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตัวหล่อนเองแผ่รังสีที่อยากจะทำร้ายคนได้ตลอดเวลามากขึ้นทุกทีๆ และคนที่หล่อนอยากจะทำร้ายนั่นก็คือเธอ”
เสิ่นอีเวยได้ฟังถึงกับฟังเพลินเหมือนเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้น หล่อนแทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองค่อยๆหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดต่อไปเรื่อยๆ: “เราแต่งงานกันมาตั้งนาน เธอเป็นคนที่ยืนหยัดความคิดและวิธีการของตัวเองมาโดยตลอดว่าเรื่องที่เสิ่นหุ้ยโดนทำร้ายนั่นไม่ใช่เธอทำ พอนานเข้า ฉันก็เริ่มสงสัยเลยได้แต่ลองคิดทบทวนความคิดที่ดื้อดึงของตัวเองอยู่บ้าง”
โดยเฉพาะ ตอนที่ฉันตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้วว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเสิ่นหุ้ยที่โดนบุคคลอื่นฉีดอินซูลินเข้าขวดยาก่อนหน้านี้มันไม่ใช่เธอ แต่เป็นสวี่อันฉิง ตอนนั้นเองฉันได้รู้ว่าผู้หญิงคนนี้มีปัญหาขึ้นมาจริงๆ
เสิ่นอีเวยฟังเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ดังมาจากด้านในของโทรศัพท์ รู้สึกว่าตัวเองเหมือนอยู่ในความฝัน หล่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ที่ได้ยินคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากเซิ่งเจ๋อเฉิง
เสิ่นอีเวยมักจะรู้สึกว่า ความสุขนั้นมันก็เหมือนผิวน้ำที่บอบบาง หากไม่ระวังก็จะหล่นลงไปในก้นบึ้งของหุบเหว
“ก็แค่–”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดจนถึงตรงนี้ก็หยุดลง
เสิ่นอีเวยที่กำลังนั่งข้างเตียงผู้ป่วยและหันหน้าไปทางเสิ่นหุ้ย ด้านหลังคือประตู เพราะฉะนั้นหล่อนจึงมองไม่เห็นประตูที่ผู้ชายคนหนึ่งที่พยายามใช้สองมือของเขากำลังเปิดแง้มออกมันออกครึ่งหนึ่งอย่างเบามือ
เสิ่นอีเวยจับโทรศัพท์มือยังคงค้างไว้ที่บริเวณหู แต่ว่าไม่ได้สั่นเหมือนเมื่อครู่แล้ว
ห้องพักผู้ป่วยเงียบสงบมาก แต่เสิ่นอีเวยกลับไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าสะท้อนดังมาจากด้านหลังของตัวเธอเอง หล่อนเอาแต่นิ่งเงียบรอฟังสิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดต่อ ดูท่าแล้วไม่อยากจะพลาดคำไหนไปเลย
“เรื่องตั้งแต่เริ่มต้นจนผ่านมาถึงตอนนี้แล้ว มันผ่านมาก็ใกล้จะสามปีเข้าไปแล้วคนที่เป็นพยานหลักฐานก็ค่อยๆน้อยลงไปตามเวลาหรือไม่อยู่แล้ว ดังนั้นฉันหวังว่าเธอจะให้เวลาฉันบ้าง และก็ให้เวลากับตัวเอง ขอให้ฉันเป็นจัดการตรวจสอบเรื่องนี้ให้มันชัดเจนก่อน ได้ไหม?”
ผู้ชายคนนั้นเขาพูดมันออกมาหมดแล้ว
จนในที่สุดเสิ่นอีเวยถึงได้รู้ตัวขึ้นมา ร่างกายเธอเริ่มควบคุมไม่ได้จนตัวแข็งไปสักพัก เสียงพูดเมื่อครู่นั่นมันดังมาจากด้านหลังของหล่อน หล่อนมั่นใจที่สุด
เสิ่นอีเวยวางโทรศัพท์ลง นิ่งอยู่แปบเดียวก็เริ่มหันศีรษะไปดูด้านหลังของตัวเอง
พอหันมาปุ๊บหล่อนก็เจอผู้ชายที่ใส่เสื้อโค้ทสีน้ำตาลเข้มไซต์กลางที่ยืนอยู่หน้าประตู ร่างกายสูงยาว ผมดกดำ ดวงตาดำขลับ เสื้อสีดำ สีเสื้อผ้าของเขาตั้งแต่บนลงล่างมันช่างตัดกับสีห้องพักผู้ป่วยอย่างชัดเจน
เป็นเซิ่งเจ๋อเฉิง
ดูจากสถานการณ์แล้ว ณ ตอนนั้น เสิ่นอีเวยอยากจะร้องไห้ขึ้นมา
แต่เซลล์ของร่างกายของหล่อนเองไม่ได้เป็นไปตามความรู้สึกที่แท้จริงทั้งหมด หล่อนยังคงควบคุมตัวเองเอาไว้ได้ หล่อนไม่ได้ยืนขึ้นอะไร ได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ข้างเตียงแบบนั้น
ถึงแม้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะอยู่ห่างจากเธอมาก แต่ก็เห็นหล่อนอย่างชัดเจนทุกอณู สายตาที่สวยงามแวววาวคู่นั้นดูเหมือนจะถูกละอองน้ำปกคลุมเอาไว้อยู่เป็นชั้นๆ
มันหมองหม่นทำให้คนโศกเศร้า
ไม่รู้เพราะเหตุผลใด ยิ่งได้เห็นดวงตาของเสิ่นอีเวยมันทำให้ใจเซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มสั่นเทา
โทรศัพท์ที่โทรหากันเมื่อครู่ก็ยังไม่ได้ตัดสายทิ้ง เขาแทบไม่ได้มองหน้าจอของโทรศัพท์สักนิดแล้วใช้มือปัดหน้าจอ ทุกการกระทำนั้น สายตาเขาจดจ้องมองอยู่ที่ใบหน้าของเสิ่นอีเวยโดยตลอดไม่ได้ละสายตาไปจากหล่อนเลยสักนิด
มือถือลื่นไถลลงจากอุ้งมือเข้าสู่กระเป๋าเสื้อขนาดใหญ่อย่างไม่ส่งเสียงใดๆ เขาขยับก้าวเท้ามุ่งหน้าเดินตรงไปยังเสิ่นอีเวยที่นั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย
เขายืนท่าทางแบบนั้นต่อหน้าหล่อน เสิ่นอีเวยมองอย่างได้อย่างชัดเจนเพราะหน้าต่างที่เปิดออกมาตรงข้ามนั้นแสงจันทร์สาดส่วงนวลผ่องเข้ามานั้นกระทบกับใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิง อาจเป็นเพราะความมืดด้วยทำให้ใบหน้าคร่าตาของเขาโดยเฉพาะตรงเบ้าตานั้นมันดำสนิทราวกลมกลืนไปกับยามค่พคืน
ด้วยตำแหน่งระยะห่างสูงต่ำให้เสิ่นอีเวยต้องเงยหน้ามองเซิ่งเจ๋อเฉิง เซิ่งเจ๋อเฉิงเองก็เช่นกันที่กำลังมองหล่อนอยู่เงียบๆ บรรยากาศโดยรอบมันช่างดำมืดสลัวไปซะหมด เขาก็ยืนนิ่งเหมือนรูปปั้นแกะสลักแบบนั้น
สักพัก เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เอ่ยขึ้นเบาๆ : “หนาวไหม?”
แต่กลับไม่มีการแสดงออกอะไรทางสีหน้าเลยสักอย่าง
เสิ่นอีเวยรับรู้ความรู้สึกที่ชัดเจนนั้นได้ หัวใจและริมฝีปากเริ่มตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน หล่อนรู้สึกประหลาดใจเอามากและกำลังครุ่นคิดอย่างหนักว่าทำไมเซิ่งเจ๋อเฉิงถึงได้ถามคำถามนี้กับหล่อนกันนะ
ตอนนี้หล่อนเริ่มสงบสติลงได้ ตัวเองถึงได้รู้ว่า มือทั้งสองข้างขอตัวเองนั้นเย็นเฉียบ อากาศแบบนี้แถมเปิดหน้าต่างทิ้งไว้อีก เสื้อผ้าที่หล่อนใส่มาก็ช่างบางซะขนาดนั้น มันหนาวจริงๆ
ยังไม่ทันคิดว่าจะตอบคำถามนี้ยังไง เสิ่นอีเวยก็รู้สึกว่ามีเงาดำๆปกคลุมบริเวณด้านบนศีรษะลงมา บริเวณช่วงไหล่หนักอึ้งเอาการอยู่ เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจ เซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนถอดเสื้อโค้ทตัวใหญ่นั้นมาคลุมที่ไหล่ของตัวหล่อน
หล่อนไม่ได้ยืนขึ้นจากที่นั่งของตัวเองได้แต่เงยหน้ามองเขา ในใจรู้สึกเหมือนพายุกำลังพัดโหมกระหน่ำเข้ามาเป็นระลอก
ความรู้สึกซาบซึ้งกินใจขนาดนี้มันยากนักที่ทำให้คนปริปากพูดออกมา หลักการนี้ ในตอนต้นของการกระทำนี้ในใจหล่อนก็เข้าใจอยู่ลึกๆ พอเอาเข้าจริงในเวลานี้ หล่อนยิ่งมั่นใจเรื่องนี้มากขึ้น
เสิ่นอีเวยยกแขนขึ้นเพื่อจับมุมเสื้อนั่นอย่างเบามือทำเหมือนจะจับไว้ไม่ให้มันลื่นไถลลงไป เนื้อผ้าที่นุ่มลื่นจนรู้สึกอบอุ่นตาม ในที่สุด ความรู้สึกที่วุ่นวายอยู่ในใจก็ได้กลั่นกรองคำง่ายๆออกมาแทน
“ขอบคุณค่ะ”
เสียงหล่อนช่างเบามาก ทำราวกับกลัวว่าจะรบกวนคนป่วยที่กำลังเอนหลังอยู่บนเตียงนั่นจนหล่อนตื่นขึ้นมา แต่ทว่าช่างราวกับดอกทิวลิปสีขาวช่อนั้นที่วางไว้ด้านข้างโต๊ะค่อยๆเบ่งบานในยามค่ำคืน