สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 265
บทที่ 265 เสิ่นเหยียนชิ่งหายไปอย่างไร้ร่องรอย
เสิ่นเหยียนชิ่ง
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้พูดถึงสามคำนี้ในใจ เรื่องมาถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายแล้วเพราะว่าเรื่องมาถึงตัวเองแล้ว
เรื่องจริงเท็จก็จะต้องดูที่เสิ่นเหยียนชิ่งจะว่าอย่างไร
ผ่านไปครึ่งชั่วโมงหลินอวี้ก็เคาะประตูเข้ามา “เข้ามา” เซิ่งเจ๋อเฉิงขานรับด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งนัก
“หาเจอแล้วครับ เสิ่นเหยียนชิงในเมื่ออาทิตย์ก่อน มีคนโอนเงินเข้ามาจำนวนสามล้าน โดยแบ่งเป็นห้าครั้งด้วยกัน เหมือนจะทำการปิดบังไม่ให้ใครรู้”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองออกไปยังนอกหน้าต่างแล้วพูดอย่างไม่ตั้งใจว่า “ดูแล้ว คงจะมีคนใช้เงินในการซื้อเขาอีกครั้งหนึ่ง”
ถึงแม้ดูไปแล้วจะเหมือนไม่ได้ตั้งใจอะไร แต่สายตากลับมีความน่ากลัวอยู่เช่นนั้น
หลินอวี้ได้ฟังและรู้ความหมายของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วพูดอย่างตกใจว่า “ดังนั้น ความหมายของท่านคือ….. เสิ่นเหยียนชิ่งตลบหลังเรา แล้วเอาเรื่องของคุณหญิงเสิ่นไปบอกคนอื่น ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้พยักหน้า แล้วพูดว่า “บัญชีส่วนตัวมีเงินเข้ามากขนาดนี้ ตอนนี้ก็ได้หายตัวไป กลัวว่าคนจะออกจากประเทศนี้ไปแล้ว แต่หากดูตามที่เสิ่นอีเวยมาหาเราแล้ว เสิ่นเหยียนชิ่งจะออกจากประเทศเป็นไปได้น้อยมาก”
หลินอวี้กำลังจะเตรียมตัวพูดต่อไป แต่เหมือนเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังคิดอะไรอยู่แล้วพูดว่า “ให้เวลาคุณสี่สิบแปดชั่วโมง ผมจะให้คนกลุ่มหนึ่งกับคน ซึ่งคนเหล่านี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ให้หาที่อยู่ของเสิ่นเหยียนชิ่งให้เจอ หากเขาไม่ได้ออกนอกประเทศ คุณสามารถพาเขามาอยู่ต่อหน้าผมไม่ได้ ?”
หลิวอวี้ตอบ “รับทราบ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังจะโทรศัพท์เพื่อจัดสรรคนให้กับหลินอวี้
“ท่านประธานเซิ่ง ผมมีคำถามที่ยังไม่ค่อยชัดเจน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้พูดว่า “พูดมา”
“ในเมื่อท่านบอกว่าเสิ่นเหยียนชิ่งได้รับเงินจากคนอื่น แล้วได้ขายความลับเกี่ยวกับพ่อแม่ของคุณหญิงเสิ่น แล้วเงินที่มากมายขนาดนั้น เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็นคุณหญิงเสิ่นเอง ? ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้ครุ่นคิดและไม่ได้พูดอะไร หลินอวี้ก็ได้พูดว่า “ผมไม่ได้คิดจะให้ร้ายคุณหญิงเสิ่นนะครับ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบกลับและพยักหน้าไปว่า “เราเข้าใจความคิดคุณ และไม่ได้เข้าใจผิดอะไร เพราะคุณอยู่ข้างผมก็ไม่ใช่วันสองวัน ผมเข้าใจความเป็นคนของคุณ สำหรับเรื่องที่คุณสงสัย เป็นแบบนี้ ฐานะทางการเงินของเสิ่นอีเวยผมเข้าใจเป็นที่สุด เธอไม่สามารถที่จะเอาเงินออกมาได้มากมายขนาดนี้ และเพิ่มกับ หากเป็นเธอที่ซื้อความลับจากเสิ่นเหยียนชิ่งจริง ๆ เธอไม่อาจจะรู้เรื่องแล้วรีบมาหาเราหรอก หากพูดถึงนิสัยเธอนั้น เธอจะต้องสงบเงียบแล้วก็ดูการเปลี่ยนแปลงไม่กล้าที่จะเข้ามาหาเราได้แน่นอน”
เซิ่งเจ๋อเฉิงที่พูดไป หลินอวี้ก็เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง “ดังนั้น ความหมายของท่านคือ มีคนคอยช่วยคุณหญิงเสิ่น ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ทำให้หลินอวี้รู้ว่ากำลังพูดถึงเรื่องความละเอียดอ่อน ดังนั้นเลยไม่ได้พูดอะไรไป
“หาเราเดาไม่ผิดแล้ว เรื่องพวกนี้ก็คงเป็นแบบที่คุณพูด” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูด หลินอวี้พยักหน้าแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจแล้ว ผมขอตัวไปทำงาน” เซิ่งเจ๋อเฉิงไมได้พูดอะไรมาก แค่สี่คำ “รักษาเวลา”
หลินอวี้พยักหน้าแล้วกำลังจะไป เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ได้พูดว่า “สักครู่”
หลินอวี้หันกลับมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงกับสายตาที่ธรรมชาติแล้วพูดอย่างไม่มีอารมณ์ที่ชัดเจนว่า “คราวหลังอย่าเรียกว่าคุณหญิงเสิ่น ให้เรียกว่าคุณนายเซิ่ง”
บรรยายกาศที่เงียบงัน ทำให้หลินอวี้รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ก็เหมือนกำลังอยู่ในห้วงแห่งอารมณ์ เขาได้เดินออกจากห้อง แล้วอากาศก็ยิ่งเงียบเข้าไปอีก
เซิ่งเจ๋อเฉิงจับโทรศัพท์อย่างแน่ ในสมองก็วุ่นวายยิ่งนัก
เขามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมด้วยหัวใจและความคิดว่า เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ จะต้องมีคนช่วยเสิ่นอีเวยอย่างแน่นอน
ฉินโม่ เซียวหันถิง
คิดมาถึงตรงนี้ เขาก็รู้สึกว่าตอนนี้มีสองคำตอบอยู่ในใจ แต่อันไหนคือสิ่งที่ถูกต้อง ?
ตอนนี้ยังไม่สามารถสรุปได้
เสิ่นอีเวยที่กำลังขับรถออกจากบริษัทเซิ่งซื่อ เนื่องด้วยอารมณ์ที่เลวร้ายน่าสงสาร เลยทำให้เธอนั้นขับรถไวยิ่งขึ้น
เสิ่นอีเวยรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ได้มีวิธีทางที่ชัดเจนอะไรเลย ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหน และก็ไม่มีใครสามารถที่จะแนะนำได้เลย
กระจกได้เปิดขึ้น เลยทำให้สายลมที่แรงพัดเข้ามา เลยทำให้เธอนั้นได้เพียงแค่หรี่ตาลง
เพราะว่าร่างกายที่เหนื่อยล้าและเพลีย และลมที่พัดเข้ามาอย่างแรง เลยทำให้ตานั้นรู้สึกล้าและปวด ผ่านไปสักครู่ แก้มก็มีความหมายเย็นขึ้น เสิ่นอีเวยได้เอามือไปเช็ด แล้วก็พบว่านั้นคือน้ำตา
เธอได้ยิ้มอย่างขมขื่น
ชั้นควรทำอย่างไรดี ?
เสิ่นอีเวยได้แต่ถามในใจ และก็ไม่ได้คำตอบอะไรเลย
ทันใดนั้น เธอก็รู้สึกถึงความคิดถึงพ่อแม่ของตัวเอง ในขณะที่คิดอยู่นั้นก็ได้ขับรถไปยัง เขาหวินมู่
อากาศในเขานั้นดีมาก เสิ่นอีเวยกลับรู้สึกมีความสบายใจมากยิ่งขึ้น ขณะที่กำลังขับรถในเส้นทางนี้ เธอนั้นมีความรู้ทางเป็นพิเศษ เพราะว่านี่คือสุสานของพ่อแม่เธอ
หลังจากนั้นสิบนาที เธอก็ได้จอดรถอยู่ข้างทาง เธอลงจากรถ แล้วได้มองไปยังรอบ ๆ ซึ่งมีลมเล็กน้อยที่พัดเข้ามา แล้วมีความรู้สึกเย็น ๆ แต่ไม่ถึงขั้นหนาว
เธอได้จับเสื้อผ้าเอาไว้ แล้วมองไปยังสุสาน ไม่รู้ว่าทำไมยิ่งมองยิ่งเดินแล้วยิ่งรู้สึกปวดร้าวในใจ
เพราะว่าเธอได้คิดถึงเรื่องรอบที่แล้วที่มา ณ ที่นี้ ตอนนั้นความรู้สึกเธอก็เหมือนตอนนี้ที่สับสนวุ่นวาย แต่ไม่เหมือนกับตอนนี้คือ ตอนนั้นตัวเองนั้นกำลังจะเป็นแม่คน ตอนนั้นยังมีเด็กน้อยหนึ่งชีวิต แต่ก็ยังเป็นวันนั้นที่เกิดการยิงปืนเกิดขึ้น เซิ่งเจ๋อเฉิงได้พาเธอหนีไป แล้วล้มลงไป จึงทำให้ชีวีตหนึ่งนั้นหายไป
ความจริงแล้ว บางครั้งก็ได้ฝันและตื่นขึ้นมา และเธอก็จะคิดว่า หากวันนั้นตัวเองไม่ได้มา ณ ตรงนี้ หากวันนั้นไม่ได้สงสัยว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงทำไมอยู่ตรงนี้ ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้น
ในใจเสิ่นอีเวยกลับมีความเจ็บปวด หากพูดถึงเมื่อก่อน เธอนั้นไม่เคยได้คิดเลยว่าจะมาไหว้พ่อแม่ของเธอ
เพราะเธอไม่เคยลืมว่า เธอเคยทิ้งไว้ชีวิตเด็กคนหนึ่งไว้
เสิ่นอีเวยได้นั่งย่อลงหน้าตาหลุมศพ แล้วก็ได้รูปไปยังรูปภาพ ณ ตรงนั้น เพราะว่าเวลาผ่านไปยาวนาน เลยทำให้รูปภาพนั้นออกสีเหลือง ตอนที่ได้สัมผัสใน ณ ตอนนั้น เธอก็มีความรู้สึกถึงความผิดปกติ เหมือนกับเธอและวิญญาณของพ่อแม่นั้นสื่อสารกันได้