สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 283
บทที่ 283 การจากไปอย่างไม่มีการลังเล
ครั้งนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้รั้งไว้
เสิ่นอีเวยเหมือนเป็นเด็กน้อยตัวร้ายคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการหลอกลวง มุมปากปรากฏรอยยิ้มที่สดใส หลังจากลุกขึ้นจากเตียงแล้ว เธอหยิบเสื้อผ้าของตนเองแล้วเดินออกไป
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองแผ่นหลังที่เคลื่อนไหวไปมา ในดวงตาปรากฏความสดใสอย่างชัดเจน
เพียงแต่สิ่งที่เขาไม่รู้คือ บนโลกใบนี้ บางครั้งเรื่องราวยิ่งเงียบสงบและสวยงาม ก็ยิ่งบ่งบอกถึงคลื่นใต้น้ำที่กำลังจะก่อตัวขึ้น
วันที่25เดือนตุลาคม ซึ่งในสัปดาห์นี้ตรงกับวันพุธ เที่ยวบินของเสิ่นอีเวยคือเวลาสามทุ่ม ที่เลือกเป็นวันนี้ เพราะหล่อนรู้อย่างละเอียดแล้วว่า วันนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่อยู่บ้าน และก็ไม่ได้อยู่ที่บริษัทเซิ่งซื่อ เขาพาหลินอวี้ไปทำงานที่สำนักงานในเมืองอื่น
โอกาสแบบนี้หายากจริงๆ ดังนั้นเมื่อเสิ่นอีเวยรู้ข่าวจากที่ฉินจื่อเฟิงที่ส่งข่าวมาแล้วว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไปธุระในวันพุธนี้ก็เลยทำใจไว้แล้ว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการฝันลมๆแล้งๆยามค่ำคืน หล่อนก็ไม่เต็มใจที่จะรอคอยอีกต่อไป
วิลล่าขนาดใหญ่ของตระกูลเซิ่ง วันนี้กลับหนาวเหน็บ คนรับใช้ก็ไม่อยู่บ้าน เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ไม่อยู่ มีหล่อนอยู่บ้านเพียงคนเดียว
เสิ่นอีเวยทำความสะอาดห้องนอนสะอาดเรียบร้อย เสื้อผ้าที่ควรเอาติดตัวไปด้วยก็เก็บใส่กระเป๋าเรียบร้อย ตอนเก็บของนั้นในใจเสิ่นอีเวยมักจะมีความรู้สึกผิดหวังอยู่เนืองๆ จนถึงเวลาล็อคกระเป๋าเดินทางแล้ว หล่อนยกแขนขึ้นดูนาฬิกาที่บอกเวลาว่าตอนนี้หนึ่งทุ่มแล้ว
เสิ่นอีเวยนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ แก้วน้ำที่วางอยู่บริเวณด้านข้างมือในนั้นมีน้ำอยู่ครึ่งหนึ่ง หล่อนดื่มลงไปอึกหนึ่ง น้ำในนั้นค่อนข้างเย็น มันให้ความรู้สึกเย็นตั้งแต่ลำคอตลอดไปจนถึงกระเพาะ
เธอเข้าอีเมลแล้วกดเข้าไปในคอลัมน์กล่องจดหมายเพื่อเพิ่มชื่อของหลินโม่เยน นิ้วมือของหล่อนพิมพ์ลงบนแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องที่เธอต้องการจากที่นี่เพื่อไปยังประเทศอังกฤษ ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้คนที่ควรบอกก็ทยอยบอกไปหมดแล้ว ยกเว้นหลินโม่เยน
ช่วงเวลาที่ผ่านมา เสิ่นอีเวยค้นพบว่าการติดต่อระหว่างตนเองและเพื่อนรัก หลินโม่เยนลดน้อยลงแทบจะในทันที อีกฝ่ายก็ไม่ได้โทรศัพท์มาชวนตนเองออกไปดื่มที่ไนต์คลับบ่อยๆ ทีแรกหล่อนยังนึกว่า อาจเป็นความห่างเหิน ดังนั้นจึงคิดที่จะเตรียมติดต่อหลินโม่เยนไป โดยการบอกหล่อนเรื่องที่ตนเองกำลังจะไปประเทศอังกฤษ
แต่ว่าก่อนเดินทางประมาณหนึ่งวัน หล่อนเห็นข่าวการล้มละลายของตระกูลหลินบนโทรทัศน์ ตอนนั้นเสิ่นอีเวยเพิ่งรู้ว่าแท้จริงแล้วเพื่อนสนิทของตนเองหลินโม่เยนที่บ้านมีเรื่องใหญ่ขนาดนี้เกิดขึ้น
เดิมทีเสิ่นอีเวยต้องการไปหาหลินโม่เยนเพื่อบอกเรื่องนี้กับหล่อนโดยตรง จึงได้แต่รีบตัดความคิดในใจทิ้งทันที ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์บริษัทหนึ่งต้องล้มละลายน่าจะเสียหายมากมายขนาดไหน ดังนั้นหล่อนจึงไม่อยากไปรบกวนหลินโม่เยนทำให้อีกฝ่ายลำบากใจไปด้วย
ตั้งแต่วันที่ต้องการเดินทางจนมาถึงวันนี้ที่ต้องเดินทาง หล่อนส่งอีเมลย้อนหลังให้หลินโม่เยนฉบับหนึ่ง เพื่อบอกหล่อนว่าตนเองกำลังจะไปประเทศอังกฤษแล้ว รอเวลาที่ทั้งคู่ฟันฝ่าอุปสรรคผ่านไปสักพัก ถึงเวลาค่อยมารวมตัวกันอีก
เสิ่นอีเวยพิมพ์ตัวสุดท้ายเสร็จแล้ว ตั้งค่าเวลาส่งเป็นห้าชั่วโมงนับหลังจากนี้ จากนั้นจึงปิดคอมพิวเตอร์
รอจนหลินโม่เยนได้รับอีเมล์ฉบับนี้ของตนเอง หล่อนก็อยู่บนเครื่องบินแล้ว
เสิ่นอีเวยลากกระเป๋าเดินทางหนักๆ เธอยกกระเป๋าลงบันได ตอนที่เดินไปถึงห้องรับแขก หล่อนเงยหน้าขึ้นมองไปรอบๆสถานที่ที่ตนเองใช้ชีวิตอยู่มาเกือบสามปี ในใจเกิดอารณ์ซับซ้อนที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้
ที่แห่งนี้ ไม่เคยเป็นบ้านของหล่อนมาก่อนเลย ไม่อย่างนั้นทำไมตอนนี้ถึงอยากจะจากไปอย่างชัดเจน จะให้ไม่มีความรู้สึกเสียใจเลยได้อย่างไร เสิ่นอีเวยยิ้มอย่างขมขื่น
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เสิ่นอีเวยก็ถึงสนามบิน
ล็อบบี้ที่สนามบินกว้างขวางและสว่างไสว ทุกตารางนิ้วมีคนเดินขวักไขว่ไปมา เสิ่นอีเวยเลือกอันที่อยู่ใกล้ตำแหน่งของหน้าต่างกระจก คนที่นั่งด้านซ้าย เป็นคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังนั่งอยู่ มือของหญิงสาวดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บแถมถูกผันด้วยผ้าพันแผล ชายหนุ่มกำลังคอยป้อนน้ำให้อีกฝ่ายอย่างระมัดระวังและอ่อนโยน
สายตาของเสิ่นอีเวยกำลังหยุดอยู่บนใบหน้าของหญิงสาวคนนั้นครู่หนึ่งจนถูกอีกฝ่ายจับได้ หญิงสาวรีบยิ้มผูกมิตร เสิ่นอีเวยยิ้มตอบเป็นรอยยิ้มที่น่ารักและสดใส
เสิ่นอีเวยก็ยิ้มตอบกลับไป ในใจก็รู้สึกอิจฉาและเศร้าโศกท่วมท้นขึ้นมา
หากจะพูดว่าหล่อนจำไม่ผิด หล่อนและเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ ไม่เคยมีอะไรแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน
เสิ่นอีเวยดึงสายตากลับมา หันศีรษะไปรอบๆ มองลอดหน้าต่างกระจกออกไปด้านนอก เป็นลานจอดที่ใหญ่มหึมา ถึงแม้จะเป็นยามค่ำคืน แต่ก็ยังมีเสียงเครื่องบินลอยมา ทั้งเครื่องขึ้นและเครื่องลงจอด
เสิ่นอีเวยเงยศีรษะขึ้น มองเห็นไฟในตอนกลางคืนกระพริบท่ามกลางความมืด ช่างเหมือนเหมือนกับดวงดาวที่โดดเดี่ยวในขณะนี้
มือของเสิ่นอีเวยเย็นเล็กน้อย หล่อนเงยหน้ามองไปยังความมืดมิดที่ปกคลุมลงมา หล่อนยืนนขึ้นอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืนสักพัก เปิดกระเป๋าถือออก ในกระเป๋าถือนั้นมีหนังสือเดินทางกับBoarding Pass ของหล่อน
เสิ่นอีเวยหยิบของออกมาจากกระเป๋าถือ พบว่ามีของสิ่งหนึ่งหล่นออกมาจากหนังสือเดินทาง หล่อนก้มลงมอง มันเป็นรูปใบหนึ่งที่คว่ำหน้าอยู่ เสิ่นอีเวยนึกว่าเป็นรูปตนเอง
จนถึงตอนที่ก้มตัวหยิบขึ้นมาดู เสิ่นอีเวยถึงกับหยุดชะงัก
คนในรูปขนาดหนึ่งนิ้วนั่นคือเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ไม่ใช่เซิ่งเจ๋อเฉิงตอนนี้ เป็นเขาที่ตอนนั้นอายุยี่สิบ
สมองของเสิ่นอีเวยทำงานอย่างรวดเร็ว ความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับรูปหนึ่งนิ้วนี้ ราวกับเริ่มฉายหนังเรื่องหนึ่ง ในความคิดของหล่อนไม่หยุด
หล่อนคิดกลับไปเมื่อประมาณสามปีก่อน ตอนนั้นเป็นวันที่หล่อนและเซิ่งเจ๋อเฉิงเพิ่งแต่งงานกันไม่นาน ตอนนั้นเสิ่นอีเวยยังไม่ได้ไปทำงานที่บริษัทเซิ่งซื่อ ดังนั้นจึงอยู่ที่บ้านทั้งวัน ว่างจนน่าเบื่อ เลยอยากไปดูห้องสมุดของเซิ่งเจ๋อเฉิงซักหน่อย
เธอหาหนังสือแล้วพลิกไปมาโดยไม่ตั้งใจจนเจอซองกระดาษคราฟท์ซองเล็กๆแต่ปากซองมันถูกเปิดไว้ตั้งแต่แรก เสิ่นอีเวยเลยถือวิวาสะเปิดดูจึงพบว่าด้านหลังรูปขนาดหนึ่งนิ้วถูกเขียนไว้คำบรรยายเอาไว้ว่า :อายุยี่สิบ
หล่อนตระหนักดี นั่นเป็นตัวอักษรของเซิ่งเจ๋อเฉิง ชัดเจนและมีพลัง แต่ไม่ทรงพลังอะไร เป็นตัวอักษรที่งดงามมาก
ในตอนนั้ในใจเสิ่นอีเวยเริ่มหวั่นไหว ยิ่งเมื่อเห็นกองรูปถ่ายขนาดหนึ่งหนึ่งนิ้วแบบนี้ที่มีมากกว่าสิบกว่าใบที่กำลังกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทางแบบนี้ ในใจเลยคิดว่าตนเองแอบหยิบไปหนึ่งใบก็คงไม่ถูกจับได้หรอก ดังนั้นจึงตัดสินใจหยิบออกมาหนึ่งใบ
นานขนาดนี้แล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังจับไม่ได้อีก อีกทั้งรูปใบนั้นก็ถูกหล่อนวางไว้กับเอกสารสำคัญของตนเองตลอด ไม่เคยย้ายที่เลยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เวลาก็ผ่านมาสามปีเต็มแล้ว เวลาผ่านไปนานจนเสิ่นอีเวยเกือบลืมไปแล้วว่าในหนังสือเดินทางยังมีรูปคนๆ นั้นอยู่หนึ่งใบ
เธอก้มศีรษะลงไปดูอีกรอบ พื้นหลังเป็นสีฟ้า แม้ว่าจะเพิ่งอายุยี่สิบปีเต็มก็ตาม แต่ว่าตอนนั้นเพิ่งจบมัธยมปลายจากอเมริกามา ดังนั้นตอนถ่ายรูปจึงยังสวมชุดนักเรียนอยู่
แม้ว่าจะผ่านไปสิบปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าหน้าตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย