สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 30
ตอนที่ 30 การซักถามของคุณปู่ตระกูลเซิ่ง
คนทั้งครอบครัวมานั่งเบื้องหน้าโต๊ะอาหารที่มีขนาดใหญ่อย่างเป็นระเบียบ อันที่จริงคนในครอบครัวมีแค่สี่คนเท่านั้นคือ เซิ่งเจิ้นอวึ่น พ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ปรากฏตัวน้อยมากตอนที่เสิ่นอีเวยอยู่ โดยเฉพาะงานเลี้ยงแบบนี้ และตอนที่เสิ่นอีเวยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงแต่งกันก็ไม่เจอ มาเจออีกทีหลังจากผ่านไปหนึ่งปี
เสิ่นอีเวยเคยคิดไตร่ตรองสาเหตุมาก่อน แต่ต่อมาก็คิดว่าบางทีอาจจะเป็นเพราะพ่อของเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ชอบสะใภ้อย่างตัวเองก็เท่านั้น
ความคิดของเสิ่นอีเวยถูกหยุดลงเพราะเสียงของคุณปู่ “เจ๋อเสิ่น ช่วงนี้บริษัทเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพยักหน้าต่อคุณปู่ และตอบอย่างเคารพว่า “ช่วงนี้บริษัทราบรื่นดีครับ แต่เพราะเรื่องของบริษัทว่านเฟิงเมื่อครั้งก่อน จากความคิดเห็นของคนงานบอกว่าภายในบริษัทเหมือนจะถูกตบตา แต่ช่วงเวลานี้ผมกำลังรวบรวมกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่ครับ”
เซิ่งฉงหลินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ และพูดว่า “นับตั้งแต่แกรับตำแหน่งบริษัทของตระกูลเซิ่งมาก็สามปีแล้ว อีกอย่างบริษัทก็พัฒนาได้อย่างมั่นคง แต่ปู่ขอพูดเหมือนกับเมื่อก่อนว่า เมื่อบริษัทมั่นคงแล้ว ก็ควรพิจารณาเรื่องลูกกับเสิ่นอีเวยด้วย หากพูดตามหลักการ คำพูดเหล่านี้ไม่ควรให้ปู่พูดขึ้น––”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เซิ่งฉงหลินก็หันหน้ามองลูกสะใภ้ของตัวเอง แม่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็พยักหน้าตอบรับอย่างเห็นด้วย
“พวกเธอสองคนแต่งงานกันมาสองปีแล้ว เรื่องลูกควรพิจารณาอย่างจริงจังได้แล้ว”
เมื่อก่อนเซิ่งฉงหลินพูดคุยเรื่องนี้กับพวกเขาสองคนด้วยท่าทางเอ็นดูมีเมตตา แต่ครั้งนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นได้ชัดว่าท่าทางของคุณปู่ดูแข็งกร้าว ขณะที่กำลังคิดจะตอบว่ายังไงดีนั้น เสิ่นอีเวยก็เอ่ยปากพูดขึ้น
“คุณปู่ เรื่องเป็นแบบนี้ค่ะ นับตั้งแต่ฉันแต่งงานมา ฉันคิดอยากมีลูกกับเซิ่งเจ๋อเฉิงมาก แต่ไม่รู้ว่าภรรยาคนนี้ปฏิบัติดีหรือเปล่า เซิ่งเจ๋อเฉิงเอาแต่บอกว่างานยุ่งมาก แค่จำนวนครั้งกลับบ้านยังน้อยเลยค่ะ ดังนั้นเรื่องมีลูก เขาเลยไม่ได้ถูกเห็นความสำคัญจากพวกเรา
คำพูดทั้งหมดล้วนชี้ตรงไปยังคนข้างกาย เซิ่งเจ๋อเฉิงเหลือบตามองเสิ่นอีเวย ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความหมายของการตักเตือน
แต่เสิ่นอีเวยไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเธอตั้งใจไม่สนใจความคิดของเขาอยู่แล้ว
ถึงแม้ความสัมพันธ์สามีภรรยาของเสิ่นอีเวยกับเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่นับตั้งแต่แต่งงานกับตระกูลเซิ่งมา เสิ่นอีเวยก็พยายามรับผิดชอบหน้าที่ของลูกสะใภ้ที่ดีอย่างจริงจังมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ เธอสามารถหยอกล้อคุณปู่ให้มีความสุขได้ ดังนั้นคุณปู่เลยชื่นชอบลูกสะใภ้คนนี้มาก แต่พอได้ยินเสิ่นอีเวยพูดจาอย่างนี้ แน่นอนว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงหนีไม่พ้นความผิดนี้
“เจ๋อเสิ่น เป็นแบบนั้นจริงหรอ?” บนใบหน้าของคุณปู่เผยแววตาซักถามขึ้น
ไม่รอให้เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบ คุณปู่ก็พูดต่อว่า “ถ้าหากแกยุ่งอยู่กับการงานของบริษัท จนไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเสิ่นอีเวย ปู่สามารถให้แกลาหยุดได้ และให้แกเบี่ยงเบนความสนใจไปที่ครอบครัวให้มาก”
เมื่อเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของคุณปู่ และสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยแข็งแรงของเขา เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ใคร่ครวญว่าจะปลอบโยนเขายังไงดี
เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้อยู่แก่ใจว่า เขาไม่สามารถให้เสิ่นอีเวยตั้งท้องลูกของตัวเองได้ แต่พอมาถึงตอนนี้ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็พบว่าคุณปู่เริ่มพิจารณาจากพฤติกรรมของตัวเอง อีกทั้งเอ่ยปากพูดว่าถ้าหากเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่มีลูก คงจะไม่ยอมยกหุ้นส่วนของบริษัทจำนวนมากของตระกูลเซิ่งให้เขา
ถึงแม้ว่าตอนนี้บริษัทเซิ่งซื่อได้มอบให้เซิ่งเจ๋อซื่อบริหารจัดการแล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่หุ้นส่วน ถ้าหากอยากครอบครองเป็นผู้ถือหุ้นคงต้องให้คุณปู่เป็นคนออกหน้าให้ ส่วนเรื่องสับสนเหล่านั้น ในใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงยังไม่ค่อยชัดเจน
ดังนั้นเรื่องมีลูก เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่เคยโต้แย้งเรื่องนี้กับคุณปู่มาก่อน
แม่ของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “สิ่งที่คุณปู่พูดมาถูกต้องแล้ว พวกเธอยังหนุ่มสาวอยู่ เลยไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องนี้ ต้องให้ผู้ใหญ่อย่างพวกเรามาตักเตือน”
เมื่อเสิ่นอีเวยที่นั่งข้างขวาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นสถานการณ์เบื้องหน้า ความคิดอยากปั่นป่วนก็ยิ่งทวีความดุเดือดมากขึ้น
เธอวางส้อมลง และหันหน้ามองเซิ่งเจ๋อเฉิงพร้อมเผยรอยยิ้มอันอ่อนโยน แล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ นับตั้งแต่วันนี้ไปพวกเราสองคนจะเอาเรื่องนี้เป็นหนึ่งในรายการที่ต้องปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อไม่ให้คุณแม่และคุณปู่เป็นห่วง อ๋อ จริงสิ ต่อไปคุณอย่าทำตัวเหมือนเมื่อก่อนอีกนะ อย่าคิดใช้วิธีการที่ไม่ดีให้ฉัน…”
คำพูดของเสิ่นอีเวยยังไม่ทันจบ แขนก็ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงจับไว้ เมื่อหันหน้ามองกลับไปก็เห็นอย่างที่คาดการณ์ไว้คือ บนใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงเผยสีหน้าขุนเคืองอย่างปกปิดไม่ได้ออกมา ทันใดนั้นในใจของเสิ่นอีเวยก็สัมผัสถึงความรู้สึกสะใจอย่างที่สุดขึ้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงนำอุปกรณ์ทานอาหารค่อยๆวางลงบนโต๊ะ “ผมกับเสิ่นอีเวยมีเรื่องต้องคุยกัน พวกท่านทานก่อนเลย ไม่ต้องสนใจพวกเรา”
ถึงแม้เสิ่นอีเวยรู้ดีว่าคืนนี้ตัวเองตั้งใจอยากยั่วโมโหเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ในตอนนี้เธอรับรู้ถึงความเคืองโกรธของเขาแล้ว ดังนั้นเธอพยายามตะเกียกตะกายไม่จากไปกับเขา แต่พละกำลังของเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอไม่สามารถต้านทานได้เลย
ไม่นาน เสิ่นอีเวยก็ถูกลากขึ้นมาถึงในห้องนอน
ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงระหว่างทางล้วนมีสีหน้านิ่งสงบเหมือนดั่งสายน้ำ แต่เมื่อวินาทีที่ประตูถูกปิดลง ความคับแค้นของเขาก็ระเบิดออกมา
แขนของเสิ่นอีเวยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงบีบจับอย่างแรง และแผ่นหลังก็ถูกยันไว้กับผนังกำแพง ดวงตาดั่งเหยี่ยวของเซิ่งเจ๋อเฉิงเหมือนกับจะทะลักไฟออกมา
“เสิ่นอีเวย ผมเคยเตือนคุณแล้วนะว่าอย่าพูดจาเหลวไหลต่อหน้าคุณปู่”
เสิ่นเจ๋อเสิ่นยิ้มอย่างเยาะเย้ย “แล้วจะทำยังไงดี? ฉันยังคงชอบท่าทางที่เกลียดฉันแต่ทำอะไรฉันไม่ได้ของคุณอยู่”
แววตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเผยความเคียดแค้น จนอดใจไม่ไหวที่จะกลืนกินผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ตัวเป็นๆ แต่วินาทีต่อมา เขาก็ยิ้มเย็นชาขึ้น “กล้าต่อกรกับผมอย่างนี้ ดูเหมือนคุณไม่อยากได้บริษัทของแม่คุณกลับคืนแล้วล่ะ”
เมื่อเสิ่นอีเวยได้ยินก็ตกใจ “คุณหมายความว่าอย่างไร? ไม่ใช่คุณเคยพูดกับฉันที่โรงพยาบาลมาก่อนหรอว่าให้ฉันทำสงครามอย่างยุติธรรมกับคุณ ฉันยังไม่ทันเริ่มเลย แล้วคุณไม่รักษาคำพูดกับฉันได้ยังไงกัน!”
เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดประชดประชันขึ้นว่า “คำพูดจะเป็นจริงก็ต่อเมื่อคุณเชื่อฟังผม แต่คืนนี้คุณกล้ายั่วโมโหผม ดังนั้นแม้แต่โอกาสทำสงคราม ผมก็จะไม่ให้ บริษัทของแม่คุณถูกผมซื้อแล้ว และผมก็หาคนรับตำแหน่งแทนแล้วด้วย ขอเพียงแค่เซ็นสัญญาเท่านั้น ทางที่ดีคุณควรเตรียมใจรับมือไว้ซะ”
เมื่อพูดประโยคนี้จบลง เซิ่งเจ๋อเฉิงก็หันตัวไปตรงประตูเพื่อเดินออกไป
“ฉันขอโทษ”
ฝีเท้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงหยุดชะงัก และหันหน้ากลับมาอย่างสนใจ
เสิ่นเจ๋อเสิ่นจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง “เรื่องคืนนี้เป็นเพราะฉันวู่วามเอง ฉันไม่ควรพูดตามใจต่อหน้าคุณปู่ แต่บริษัทแห่งนั้นเป็นของชิ้นสุดท้ายที่แม่ฉันทิ้งไว้ เหตุผลที่ฉันทุ่มเทและพยายามเพื่อพัฒนาความสามารถมาหลายปีนี้ก็เพื่อหวังว่าสักวันฉันจะสามารถนำมันกลับมาอยู่ในมือได้
เสิ่นอีเวยลืมไปว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงมีอำนาจมากกว่าตัวเอง เธอมีเพียงฐานะของภรรยา แต่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย แต่ผู้ชายเบื้องหน้ากลับสามารถทำทุกอย่างในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้ได้
เมื่อหยุดชะงักชั่วครู่ เสิ่นอีเวยก็เผยรอยยิ้มขืนข่มขึ้น “ถือว่าเห็นแก่แม่ของฉันนะ”