สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 332
บทที่ 332 ช่างโลกกลมจริงๆ เจอคู่แค้นเข้าอย่างจัง
ลูกสมุนคนขับรถถึงกับทำหน้าเสีย แต่พอมองสายตาที่ดุดันของหัวหน้าที่ตอบกลับมา เขากลับไม่กล้าที่จะปริปากพูดอะไร
เสิ่นอีเวยแทบไม่ใส่ใจกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเลย หล่อนแทบไม่รู้เลยว่าไอ้หัวล้านนี้พามาที่ไหนกันแน่ แถมตอนนี้มีรถหรูมาจอดสกัดกั้นเอาไว้ตรงด้านหน้าอีก ไม่แน่นะนี่อาจเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่ให้ตัวเองหนีรอดพ้นไปได้
แต่เดี๋ยวนะ… วินาทีนี้เอง หล่อนเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง!?
รถ Bugatti Veyronที่อยู่ด้านหน้านั้น อยู่ดีๆประตูรถก็ค่อยเปิดออกมา ผู้ชายชุดสูทสีดำก็เดินลงมาจากด้านในรถ รูปร่างของเขาหล่อนดูแล้วช่างคุ้นๆอยู่เหมือนกันแต่นานแล้วที่ไม่ได้เจอหน้าเจอตากันเลย
หลินอวี้
เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจอย่างสุดขีด สมองของเสิ่นอีเวยคาดเดาอย่างรวดเร็ว เพราะหลินอวี้เป็นผู้ช่วยคนสนิทของผู้ชายคนนั้น ถ้าเช่นนั้นผู้ชายคนนั้นอาจจะอยู่ในรถคนนั้นก็ได้มั้ง….
เธอไม่อยากจะเจอหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิง แต่ก็อยากจะใช้โอกาสที่ดีที่สุดนี้หนีไปด้วย ในเวลานี้เหมือนเธอเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากทั้งสองอย่างเลย
ตอนที่เธอกำลังครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี ตาหัวโจกหัวล้านเหม่งนั่นก็ใช้มือเปิดประตูลงไป เสิ่นอีเวยเห็นเหตุการณ์นั่นกับตาตัวเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ในใจหล่อนรู้สึกจะเกิดเรื่องไม่ค่อยดี แถมคิดต่อไปว่าวันนี้คงเกิดไม่ดีขึ้นแน่
ไอ้หัวโจกหัวล้านเหม่งนั่นกระโดดลงรถไปทำท่าทางกร่างไปทั่ว ทั้งที่หน้าตาก็ค่อนข้างน่ากลัวอยู่แล้ว สภาพในตอนนี้ยิ่งทำให้คนอื่นกลัวมากกว่าเดิม
เขายืนอยู่ริมถนนพร้อมใช้สองมือเท้าเอวพร้อมทั้งจ้องตาแล้วตะโกนหาเรื่องหลินอวี้ที่หน้าตายังคงสุขุมเช่นเดิม : “พวกแกเป็นใคร! กล้าขวางทางกู รีบหลีกไปให้ไว! อย่าให้เสียเวลากูทำธุระ พวกแกรับผิดชอบไหมหรอวะ!?”
เสิ่นอีเวยเห็นการแสดงท่าทางของหัวโจกหัวล้านเหม่งที่แสดงออกมา เธอถึงกับปาดเหงื่อที่มือออกแทนเขา หากหลินอวี้จะเสียเปรียบก็จะเสียตรงนี้แหละเพราะเขาอยู่กับเซิ่งเจ๋อเฉิงมานาน เพราะฉะนั้นเสิ่นอีเวยรู้จักนิสัยของหลินอวี้เป็นอย่างดี
เขาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เวลาทำงานก็สามารถจัดการเรื่องเล็กๆน้อยๆแทนเซิ่งเจ๋อเฉิงได้อย่างไม่กระโตกกระตากแถมลักษณะนิสัยดีอีกด้วย ส่วนนิสัยเขาจัดอยู่ในหมวดหมู่สุภาพอบอุ่นแบบนั้น ทว่ากลับไม่เหมือนเซิ่งเจ๋อเฉิงเลยที่แพร่รังสีกดดันก่อกวนอย่างชัดเจน
จากเหตุผลดังกล่างทำให้หลินอวี้ในเวลานี้ไม่สามารถที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกใจกลัวได้ แต่กลับเป็นหัวล้านเหม่งนั่นแสดงให้อีกฝ่ายตกใจกลัวมากกว่า
ทว่าจะให้เธอมารับประกันเรื่องพวกนี้ก็คงไม่ทันเวลา แถมไม่สนใจด้วยที่จะออกหน้าให้กับหัวล้านเหม่งคนนี้ด้วย
เสิ่นอีเวยรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหัวล้านเหม่งคนนี้เขาไม่ได้เป็นคนร้ายอะไร เพราะตอนที่อยู่ในโรงงานร้างนั้น เขารู้ว่าหล่อนไม่มีทางช่วยชายหญิงหิวเงินสองคนนี้ที่จะคืนเงินให้เขาได้ เขาจึงไม่ได้ทำอะไรให้เธอลำบากแต่อย่างใด
ทางด้านหลินอวี้นั่นได้แต่ตอบกลับอย่างนิ่งๆและราบเรียบเช่นเดิม : “พวกคุณนี่แหละมาขวางทางผมไว้ ผมให้เวลาคุณหนึ่งนาที รีบเอารถออกให้พ้นทาง”
เสิ่นอีเวยที่กำลังดูเหตุการณ์ผ่านทางกระจกรถอยู่ถึงกับถอนหายใจ: หลายปีที่ผ่านมานี้เซิ่งเจ๋อเฉิงเสน่ห์ของเขายิ่งแกร่งกล้าขึ้นเรื่อย ขนาดหลินอวี้ที่อยู่ข้างกายเขาการพูดการจาช่างเหมือนกับหัวหน้าของเขาเลย
แต่ทว่า ตัวหัวโจกหัวล้านเหม่งจะคุ้นชินกับทางนี้อยู่แล้ว ปกติการจัดการเรื่องพวกนี้จะใช้วิธีการรุนแรงในการจัดการ แต่ว่าวันนี้เจอคนที่มาพูดคุยด้วยหลักการอย่างหลินอวี้แถมไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมา แถมยังให้เขาเป็นคนมาแก้ปัญหาอีก เขาแทบไม่รู้เลยว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไงดี
หัวโจกหัวล้านเหม่งถึงกับยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ในใจคิดว่าเอาคำพูดของหลินอวี้ที่พูดมาเหมือนพูดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไปก็สิ้นเรื่อง เสิ่นอีเวยถึงกับเหงือตก เฮ้อ หลินอวี้เอ้ย ทำไมคุณไม่เข้าใจคำว่าเจอคนปกติก็สามารถพูดด้วยหลักการได้ หากเจอพวกเปรตก็ต้องพูดเหมือนกับพวกมันสิ!
ยิ่งเจอคนพวกหัวโจกแบบนี้ด้วย คุณต้องเอาอารมณ์ออกมาสู้สิ!
ในที่สุด หัวโจกหัวล้านเหม่งก็ทำตาโตใส่แถมพูดเสียงดังดูถูกหลินอวี้ : “มึงให้กุขยับรถแล้วกุต้องขยับด้วยหรอ? มึงกล้าดีหรอ? รีบไปให้พ้น อย่ามาปากหมาแถวนี้–”
ขณะที่คำพูดที่ยังไม่ทันพูดจบของไอ้หัวล้านเหม่ง หลินอวี้กลับใช้มือของเขาทำท่าทางออกมาแทนในขณะนั้นเองเหล่าบอดีการ์ดชุดสีดำก็เดินลงรถลีมูซีนที่จอดอยู่ด้านหลังBugatti Veyronนั่นก็ค่อยๆทยอยมายืนด้านข้างหลินอวี้เป็นแถบ
ไอ้หัวล้านเหม่งถึงกับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พวกเขาก็เป็นคนจำพวกหากินไปวันๆ สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านี้แทบไม่เคยพบเจอกับเรื่องที่มีอำนาจมากมายขนาดนี้มาก่อนเลย เขาแทบทำตัวไม่ถูก
“ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!”
เสียงดังนั่นทะลุเข้าหูทุกคน มันเป็นเสียงสิ่งของที่ฟาดเข้ากับอากาศ เสิ่นอีเวยจ้องมองอย่างละเอียดแล้วว่า พวกคนชุดดำนั่นหยิบกระบองนั่นขึ้นมาจากร่างกายที่พวกเขาเอาติดตัวมาด้วย มันไม่ใช่แค่กระบอง
ธรรมดา ถ้าฝ่ายตรงข้ามถูกฟาดกระบอกเหล็กเข้าให้อย่างจังแค่ฟาดครั้งเดียวก็เหมือนจะเอาชีวิตไปได้เลย
หัวโจกหัวล้านเหม่ง: “……”
ลูกสมุนหัวโจกหัวล้านเหม่ง: “……”
ระดับพวกเขาก็ใช่ว่าจะอยู่แถวหน้าซะเมื่อไหร่กันถึงจะได้เคยพบเจอการต่อสู้ที่อยู่ตรงหน้าแบบนี้ได้หน่ะ แปบเดียว ร่างกายก็คิดไวก็สมองเอาเสียอีก
“ปึก!”
หัวโจกหัวล้านเหม่งนั่นลงไปนั่งคุกเข่าที่พื้นก่อน จากนั้นลูกน้องค่อยๆคุกเข่าตามกัน
“นายครับ ปล่อยพวกผมไปเถอะ! ตาพวกผมมองเห็นความยิ่งใหญ่ของนายเลยไปล่วงเกินท่าน กระผมหวังว่านายท่านจะลืมๆมันไป ปล่อยพวกผมไปสักครั้งเถอะครับ!”
คนที่พูดออกมาคือหัวโจกหัวล้านเหม่งนั่น เขาทั้งพูดไปก็โค้งคำนับไป ส่วนลูกน้องก็โค้งคำนับตามไปด้วย รถบุโรทั่งคันนี้มันไม่สามารถกั้นเสียงข้างนอกรถได้เลย เพราะฉะนั้นเสิ่นอีเวยก็ได้ยินเสียงการพร่ำร้องรอชีวิตของพวกเขาโดยตลอด
ไม่มีความกล้าเอาซะเลย เสิ่นอีเวยถึงกับกรอกตาอยู่ในใจ
หากจะพูดให้ถูกอีกว่า หากหัวหน้าคนนี้เกิดกล้าดีเดือดขึ้นมา วันนี้ตัวเองก็คงจะหนีไม่รอดแน่ๆ
คิดได้อย่างนั้น เสิ่นอีเวยแทบไม่ลังเลยอีกต่อไป หล่อนใช้มือขวาจับบริเวณประตูรถ หล่อนคิดอยู่ในใจว่าให้ตัวเองนับหนึ่งถึงสามแล้วจากนั้นค่อยเปิดประตูแล้วหนีลงรถ ทว่าตอนที่กำลังคิดวางแผนอยู่นั้นกลับได้ยินเสียงหลินอวี้ดังแทรกขึ้นมา
“ทุกคนที่อยู่บนรถ ลงมาจากรถให้หมด”
เสิ่นอีเวยมองเห็นเต็มสองลูกตาว่าตอนที่หลินอวี้พูดออกมานั้น เขาเพ่งเล็งมาทางหล่อนแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับไปมองคนที่อยู่ในรถแล้วพึมพำอะไรกับคนในรถนั้นแทน จากนั้นเขาก็เริ่มดำเนินการให้ทุกคนที่อยู่ในรถลงจากรถแทน
เสิ่นอีเวยได้แต่ด่าอยู่ในใจสาเหตุเพราะหล่อนไม่แน่ใจ ไม่แน่ใจว่าพวกเขานั้นเห็นตัวเธอแล้วใช่หรือไม่ใช่กันแน่
ส่วนคนที่อยู่ในรถคันเดียวกับเธอนั้นต่างฟังคำสั่งของหลินอวี้ค่อยๆทยอยลงรถเพราะถูกพวกเขากดดันให้ลง รวมทั้งเสิ่นอีเวยด้วย
ระหว่างที่ลงรถนั้นในใจของเสิ่นอีเวยค่อยๆเกิดความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น ด้านในรถBugatti Veyronที่จอดอยู่ด้านหน้านั้น ราวกับมีสายตาที่เคร่งขรึมคมชัดของผู้ชายคนหนึ่งมองตัวเองและเพ่งเล็งมายังใบหน้าหล่อนอย่างไม่คาดสายตา…
เมื่อคิดได้อย่างนั้น เสิ่นอีเวยกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองกลับร้อนแดงระเรื่อขึ้นมา …
โลกช่างกลมจริงๆ มาเจอกับคู่แค้นที่นี่ในเวลานี้ได้ยังไงกัน!