สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 340
บทที่ 340 หูของคุณลุงไม่ค่อยดีเหรอ
ตอนที่เธอพูดความจริงกับเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้อีกต่อไป สติปัญญาที่เหลืออยู่ในสมองของเธอดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจและน้ำตาท่วมท้น
เสิ่นอีเวยไม่รู้ว่าทำไม อารมณ์ความรู้สึกที่เธอซ่อนและควบคุมอยู่นาน เมื่อมาอยู่ต่อหน้าผู้ชายคนนี้ถึงได้พังทลายลงอย่างง่ายดาย
ตอนนี้เธอหลั่งน้ำตาต่อหน้าชายคนนี้ แต่เสิ่นอีเวยไม่รู้สึกอายเลยสักนิด เพราะสิ่งที่เธอเป็นห่วงมากที่สุดในตอนนี้คือลูกสาวของเธอเองและสิ่งที่ผู้ชายคนนี้เป็นห่วงก็คือลูกสาวของเธอ ความรู้สึกนี้เธอสามารถเข้าใจได้
และวินาทีที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเห็นน้ำตาของเสิ่นอีเวย ก็เชื่อว่าสิ่งที่เสิ่นอีเวยพูดนั้นเป็นความจริง พอได้ยินว่าลูกสาวถูกลักพาตัวไป เซิ่งเจ๋อเฉิงหัวใจสั่นไหวอย่างไม่สามารถควบคุมได้
ที่แท้ เขาก็ทั้งกลัวและเป็นห่วง
แต่เขาแยกแยะออกเสมอ ห่วงก็ส่วนห่วง แต่ถึงกระนั้นเขาก็เป็นถึงประธานใหญ่ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม ก็ต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองไว้ให้ได้
เซิ่งเจ๋อเฉิงจ้องอย่างโมโหไปที่ดวงตาแดงก่ำที่ยังคงมีน้ำตาไหลรินของเสิ่นอีเวย ฝ่ามือใหญ่ทรงพลังจับไหล่ที่มีแต่กระดูกของเธอไว้แน่น พูดอย่างโมโหว่า: “เสิ่นอีเวย เธอทำลูกสาวของฉันเซิ่งเจ๋อเฉิงหายไป รอให้ฉันหาเหมียนเหมียนเจอก่อนแล้วค่อยมาคิดบัญชีกับเธอ! ”
น้ำเสียงและการพูดจาของชายหนุ่มเหมือนเสียงที่ดังมาจากนรก ทำให้ผู้ฟังรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด เสิ่นอีเวยรู้สึกกลัวขึ้นมาจริง ๆ ตั้งแต่ที่เธอเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ครั้งแรกที่เธอพบกับเซิ่งเจ๋อเฉิงในห้องทำงานของเขา ผู้ชายคนนี้พูดถูกเหมียนเหมียนไม่ได้เป็นลูกสาวของเธอคนเดียว
เสิ่นอีเวยรู้ว่าตอนนี้เหมียนเหมียนอายุสี่ขวบแล้ว ในช่วงสี่ปีที่ผ่านมาเธอใช้ชีวิตในลอนดอนประเทศอังกฤษกับลูกสาวสองคนมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะเป็นพ่อของลูก แต่เขาก็ไม่ได้มีส่วนร่วมใด ๆ ในการดูแลเหมียนเหมียนเลยสักนิด
ในช่วงแรก ๆ ตอนที่เธออยู่ที่อังกฤษ ชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยความพยายามและความตั้งใจของเธอค่อยๆปรับตัวและต่อสู้ทีละก้าวจนประสบความสำเร็จในทุกวันนี้ เสิ่นอีเวยเชื่อเสมอว่า
เหมียนเหมียน เป็นลูกสาวของเธอเพียงคนเดียว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอเลยสักนิด
แต่ตอนนี้เธอพึ่งจะเข้าใจสำนวนที่ว่า เลือดข้นกว่าน้ำ? ความรู้สึกนี้จะตัดอย่างไรก็ตัดไม่ขาด และเพราะแบบนี้เอง เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงรู้สึกเป็นห่วงเหมียนเหมียนขนาดนี้
ทันใดนั้นเสิ่นอีเวยก็รู้สึกขื่นขมในจิตใจ แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย นั่นคือท่าทีเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มีต่อเธอ เขาไม่เคยมีความอดทนต่อเธอเลยสักนิด ดังนั้นเมื่อครู่เขาถึงพูดกับเธอแบบนั้น
โชคดีที่ตอนนี้ เสิ่นอีเวยไม่สนใจใยดีเรื่องนี้อีกต่อไป
ทันใดนั้น ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านสู่ร่างกายเธอ เสิ่นอีเวยยืนงงอยู่กับที่ เพราะ… เซิ่งเจ๋อเฉิงโน้มตัวเธอเข้าไปกอดไว้แน่น
เสิ่นอีเวยไม่ทันได้รู้สึกตัว ปลายจมูกของเธอสัมผัสกับหน้าอกของเขา ได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเขา ช่างเป็นกลิ่นหอมเหลือเกิน
แต่คราวนี้ เสิ่นอีเวยร้องไห้หนักกว่าเดิม
มือซ้ายของเซิ่งเจ๋อเฉิงโอบหลังของเสิ่นอีเวยไว้ มือขวาก็ลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน พูดเบาๆออกมาประโยคหนึ่ง: “ไม่ต้องกลัว เธอยังมีฉันอยู่ทั้งคน”
ทันทีที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดประโยคนี้ออกมา เสิ่นอีเวยรู้สึกเหมือนมีพลุระเบิดในหัวใจ จากนั้นมีดอกไม้นานาพันธุ์โปรดปรานจากฝากฟ้า…
ตอนนั้นเอง เสิ่นอีเวยยอมรับว่าเธอรู้สึกอยากพึ่งพาเขา เธอไม่ได้ผลักเซิ่งเจ๋อเฉิงออกไป เพราะเธออยากสัมผัสกับความอบอุ่นนี้แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาเพียงแวบเดียวเท่านั้น เพราะเธอรู้ว่าต่อไปอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกก็เป็นได้
ตอนนี้เธอไม่ใช่คนโลภมากเหมือนเมื่อก่อน
ทางทิศใต้ของเมืองในโกดังขนาดเล็กแห่งหนึ่ง มีคนอยู่ที่นั้นสามคน ผู้ชายร่างกำยำสองคนและ … หนูน้อยอายุสี่ขวบ
ใช่แล้ว หนูน้อยคนนั้นก็คือ เสิ่นเหมียน
แม้ว่าที่นี่จะเป็นโกดังร้าง แต่โดยรวมก็สะอาดสะอ้าน ไม่มีร่องรอยของฝุ่นสักนิด มุมผนังมุมหนึ่งปูเบาะไว้ ดูเหมือนว่าเบาะนั้นจะฉีกออกมาจากโซฟาเก่าๆ ผิวของเบาะมีรอยแตกเล็กน้อย แต่โดยรวมแล้วสภาพยังพอใช้ได้
เหมียนเหมียนนั่งอยู่บนเบาะโซฟานุ่ม ๆ นั้น จ้องมองชายกำยำสองคนด้วยดวงตากลมโตใสแจ๋ว ชายทั้งสองไม่ได้ยืนอยู่ใกล้กัน คนหนึ่งยืนอยู่ข้างหนูน้อย ส่วนอีกคนยืนคุมอยู่ที่ประตูทางเข้า
ตอนนี้เป็นฤดูร้อน อีกอย่างคือความจำเป็นเรื่องถ่ายโฆษณา เสิ่นอีเวยจึงตัดผมสั้นให้หนูน้อย แล้วก็ดัดปลายผมออกเล็กน้อย ผมหน้าม้าที่คลุมอยู่ที่หน้าผากของหนูน้อยถูกลมพลัดปลิวนิดๆ ใบหน้าเล็ก ๆ พวงแก้มแดง ๆ ดูนุ่มนิ่ม ทำให้หนูน้อยดูน่ารักน่าชังเข้าไปใหญ่
“คุณลุงตัวใหญ่ หนูหิว!” ทันใดนั้นเหมียนเหมียนก็พูดขึ้นมา เสียงของหนูน้อยดังลั่นโกดังร้าง
เธอพูดกับชายร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ใกล้กับตัวเอง ฝ่ายนั้นทำทีเป็นไม่ได้ยิน แต่เด็กฉลาดอย่างเหมียน
เหมียนจะยอมแพ้ได้อย่างไร?
ชายร่างใหญ่สวมเสื้อยืดสีดำฟิตเปี๊ยะ ทำให้เห็นกล้ามอก กล้ามแขนขึ้นมาเป็นมัดๆ แลดูแข็งแกร่งและแน่นอนว่าแรงอันน้อยนิดของเธอไม่สามารถทำให้ชายร่างใหญ่รู้สึกสะทกสะท้านได้ ดังนั้นเธอจึงยื่นมือเล็ก ๆนุ่มนิ่มของเธอไปดึงเสื้อยืดของชายคนนั้น
ชายในชุดดำหลบไม่ทัน จึงเหลือบมองหนูน้อยอย่างรู้สึกรำคาญ พูดอย่างน่ากลัวว่า: “หิวก็ต้องทน!”
ลูกตาใสแจ๋วของเหมียนเหมียนน้อยกรอกไปมา: “คุณลุงตัวใหญ่ หูของคุณลุงไม่ค่อยดีเหรอ?”
เมื่อชายร่างใหญ่ได้ยิน รู้สึกไม่ค่อยสบอารมณ์ เจ้าเด็กตัวกระเปี๊ยกนี่กล้าพูดแบบนี้กับฉันได้ยังไง?
ชายร่างใหญ่ถลึงตาใส่หนูน้อย แล้วพูดว่า: “เมื่อกี้พูดอะไร แน่จริงพูดใหม่อีกรอบสิ”
เสิ่นเหมียนเหมียนอยู่กับแม่ของเธอเสิ่นอีเวยเป็นเวลาหลายปี จึงไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องแบบนี้สักเท่าไร และตอนนี้หนูน้อยก็ไม่อยากพูดซ้ำอีกรอบ
เด็กน้อยเกลือกตาไปมา แล้วพูดว่า: “เอ้า เมื่อกี้หนูพูดอะไรไปนะคุณลุงตัวใหญ่? หนูจำไม่ได้แล้ว”
ชายร่างใหญ่: “… ”
หนูน้อยคนนี้กล้าพูดจายอกย้อน น่าสนุกดีนี่หน่า ชายร่างใหญ่คิดในใจ อดไม่ได้ที่จะจ้องตากับหนูน้อยอย่างรู้สึกน่าสนใจ
“คุณลุงตัวใหญ่ หนูหิวแล้ว หิวจนท้องกิ่วแล้วนี่ คุณแม่ของหนูอยู่ไหน…หนูจะหาคุณแม่…ฮือ ๆ ๆ…”
ตอนแรกเพิ่งคุยกันอยู่ดี ๆ ร้องไห้สะอย่างนั้น ประจวบเหมาะที่เร็ว ๆ นี้หนูน้อยเพิ่งจะรับงานแสดงเป็นลูกของนางเอกในละครเรื่องหนึ่ง ดังนั้นสำหรับเธอเรื่องแสดงบทร้องไห้ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปาก
ยังไม่ทันพูดจบ ตาโตใส่แจ๋วของเหมียนเหมียนก็มีน้ำตาไหลออกมาเป็นเม็ดๆ ซี๊ดจมูกกระซิก ๆ ดูน่าสงสารยิ่งนัก