สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 346
บทที่ 346 รสนิยมของคุณนี่นับวันยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆนะ
เซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ใกล้กับหล่อนมาก เสิ่นอีเวยหลุบสายตาลงต่ำ ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีดำ เพราะด้วยท่าทางที่เขาโน้มตัวลงมา ใบหน้าหมดจดจึงแนบติดอยู่ที่หน้าอกของเขา นั้นคือกล้ามอกของเขา ไม่ต้องพินิจพิจารณาขนาดนั้น เสิ่นอีเวยสามารถมองเห็นเค้าโครงกล้ามเนื้อบริเวณอกที่กำยำนั้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงสายตาเคร่งขรึม น้ำเสียงผ่อนคลาย ลมหายใจร้อนผ่าวปะทะใบหน้าเสิ่นอีเวย ทำให้หล่อนเหมือนถูกมนต์สะกด
“ผู้ชายคนใส่แว่นที่ถูกกลุ่มคนหัวล้านพวกนั้นจับไป ก็คือแฟนเก่าคุณหรอ ” เขาถามอย่างนุ่มนวล
เสิ่นอีเวยไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ไม่ได้ ปฏิเสธใดๆ หล่อนได้แต่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
“คุณไม่ปฏิเสธผมก็จะถือว่าคุณยอมรับแล้ว”เซิ่งเจ๋อเฉิงพูด
ชายหนุ่มพูดต่อไปอีกว่า:”ครั้งก่อนที่ผมเจอคุณที่ตึกจิ่งเทียน ผู้ชายที่ยืนข้างคุณตอนนั้นก็คือเขาใช่มั้ย สวี่เส้าเหิง”
ท่าทีของเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นเต็มไปด้วยการบดขยี้ซ้ำเติม เสิ่นอีเวยรู้สึกหายใจติดๆขัดๆ ตอนที่ได้ยินคำถามของเขา คิ้วของหล่อนก็ขมวดเข้าหากันโดยไม่สามารถควบคุมได้
หล่อนค่อยๆเงยหน้าขึ้น มองดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิง อาจจะเป็นเพราะแสงที่ส่องมาจากด้านหลัง นัยน์ตาของเขาไม่ใช่สีชาเข้มแบบเมื่อครู่แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทแทน
ดวงตาคู่นี้ก็เสมือนถ้ำมืด เมื่อจ้องตาเขานานเข้าเสิ่นอีเวยรู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะถูกดวงตาคู่นั้นดูดเข้าไปในนั้น
ผ่านไปสักพักใหญ่ หล่อนจึงเริ่มเอ่ยปากออกมาหนึ่งคำแทนคำตอบว่า:”ใช่”
วินาทีที่เซิ่งเจ๋อเฉิงได้รับคำตอบนั้น สีหน้าก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงเต็มเปี่ยมไปด้วยการเยาะเย้ยถากถาง: “คิดไม่ถึงจริงๆ ว่ารสนิยมคุณตอนนี้เนี่ยนับวันจะยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ”
เสิ่นอีเวยเมื่อได้ยินประโยคนี้ ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา: “คุณหมายความว่ายังไง”
มุมปากเซิ่งเจ๋อเฉิงกระดกขึ้นเล็กน้อย :”ก็หมายความตามที่พูด”
เสิ่นอีเวย”…..”
อยู่ๆสมองฉุกคิดขึ้นมาได้ หล่อนคิดคำตอบที่ตนเองคิดว่าเหมาะสมดีที่สุด เสิ่นอีเวยตั้งใจยื่นหน้าออกไปให้ใกล้กับเซิ่งเจ๋อเฉิงมากยิ่งขึ้น ปลายจมูกของพวกเขาแทบจะชนกันอยู่แล้ว
มุมปากของเสิ่นอีเวยยกขึ้นเป็นรอยยิ้มน้อยๆก่อนพูดว่า:”ไม่นะ ฉันว่ารสนิยมของฉันตอนนี้ไม่ได้แย่นะ แต่มันแย่มาตั้งแต่แรกแล้วต่างหาก”
เมื่อพูดจบประโยค ในใจหล่อนก็รู้สึกมีความสุขมากเพราะหล่อนเห็นความโกรธพลุ่งพล่านในตาเขา ใช่ ไม่ผิดหรอก ผู้ชายคนนี้ไม่ให้เกียรติหล่อนก่อน หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องพูดดีกับเขา
“เซิ่งเจ๋อเฉิง”
อยู่ๆเสิ่นอีเวยก็พูดขึ้นมา น้ำเสียงเคร่งขรึม: “พวกเราสองคนไม่ได้เจอกันมาสี่ปีแล้ว แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าคุณก็ยังมีนิสัยแย่ๆแบบนั้นเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน ก็คือนิสัยไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง”
เซิ่งเจ๋อเฉิงฟังผู้หญิงตรงหน้าวิจารณ์เขาอย่างไม่ไว้หน้า ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันแน่น เส้นที่อยู่บนใบหน้าแข็งเกร็งอย่างควบคุมไม่ได้
เสิ่นอีเวยรู้ว่า ปฏิกิริยาแบบนี้ของเขานั้นแสดงว่าหล่อนยั่วโมโหเขาสำเร็จ
ในใจหล่อนยังคิดจะพยายามขัดใจเขาอยู่: “ทำไม สองคำนี้คุณฟังไม่เข้าใจเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันจะอธิบายให้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อย คุณคิดเข้าข้างตัวเองมากไป”
เสิ่นอีเวยจ้องมองผู้ชายตรงหน้านิ่ง สีหน้านิ่งสงบ ดูไปแล้วเหมือนไร้อารมณ์ความรู้สึกใดๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในใจหล่อนนั้นเหมือนคลื่นลูกใหญ่พัดถาโถมอยู่
ไม่ใช่ด้วยสาเหตุอื่นใด แต่เพราะหล่อนกำลังสบตาอยู่กับผู้ชายคนนี้นี่เอง
เสิ่นอีเวยมองผู้ชายตรงหน้านิ่งอยู่อย่างนั้น
หล่อนรู้จักเซิ่งเจ๋อเฉิงมายี่สิบกว่าปีแล้ว แทบไม่ได้มีความรักที่ซาบซึ้งผูกพันธ์กันตั้งแต่วัยเด็กแบบนั้น หลังจากแต่งงานก็ไม่ได้มีการพึ่งพาอาศัยกันกันเยี่ยงสามีภรรยาใดๆ แต่เวลาในอดีตนั้นช่างยาวนาน หล่อนอยู่เคียงข้างผู้ชายคนนี้มานานขนาดนั้น ยังฝืนทนต่อไป อาจจะเป็นเพราะในใจหล่อนมีความหวังอันเลือนราง
จนกระทั่งสี่ปีก่อนที่หล่อนตัดสินใจจากเขาไปอยู่ที่ประเทศอังกฤษ หล่อนเพิ่งจะเข้าใจในวินาทีนั้นเอง ความหวังที่เลือนรางริบหรี่ในใจหล่อนนั้นที่แท้แล้ว เป็นเพียงเรื่องของหล่อนเพียงคนเดียวตั้งแต่แรก ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเซิ่งเจ๋อเฉิงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อก่อนการที่พวกเขาทำร้ายซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างหลอกลวงไม่เชื่อใจกัน ทำให้หล่อนเจ็บปวดใจสลายตั้งแต่แรก และยังมีอีกหลายชีวิตที่กั้นกลางระหว่างพวกเขาสองคน
ลูกคนแรกที่แท้งไปและยังพ่อ แม่ที่เสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุอีก
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่เมื่อหล่อนคิดถึงเรื่องราวเหล่านี้เมื่อไหร่หัวใจก็ยังคงเจ็บปวดอย่างที่ไม่สามารถควบคุมได้เลย
สี่ปี่ก่อนหล่อนแบกความผิดหวังและอับอายจากไป หล่อนไม่สนใจความเจ็บปวดที่ผู้ชายคนนี้นำมาให้หล่อนอีกแล้ว แต่ทำไมตอนนี้เขาก็ยังมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายหล่อน
หล่อนยอมรับว่า เพื่อการทำงานในบริษัทหัวยู่นหล่อนจึงยอมกลับมาที่นี่ แต่หลังจากกลับมาแล้วหล่อนก็พยายามหลบเลี่ยงที่จะไม่พบหน้าผู้ชายคนนี้ แต่วันนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงกลับเป็นฝ่ายมาหาหล่อนเอง
“คุณ พูดอีกรอบสิ “ลมหายใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงรดบนใบหน้าของเสิ่นอีเวย มีแววข่มขู่อยู่ในน้ำเสียงนั้น
น้ำเสียงข่มขู่ของผู้ชายคนนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน หล่อนทนไม่ไหวค่อยๆถอยไป แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงก็รุกตามมา เสิ่นอีเวยมองไปที่ดวงตาของเขา ดวงตาคู่นั้น เสมือนวังน้ำวนที่จะดูดหล่อนเข้าไป
เป็นแรงดึงดูดที่แสนอันตราย และก็อันตรายถึงชีวิต วินาทีนั้นเสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตนเองหมดหนทางหนีแล้ว
“พลั่ก”
สุดท้าย เสิ่นอีเวยก็ล้มลงไปทั้งตัวอย่างแรง ท้ายทอยกระแทกเข้ากับที่วางแขนของโซฟาที่ค่อนข้างแข็งอย่างแรง รู้สึกเวียนหัวอย่างรุนแรง เสิ่นอีเวยทนไม่ไหวจนต้องหลับตา
แต่วินาทีที่หล่อนหลับตานั้นเอง เสิ่นอีเวยกลับรับรู้ได้ถึงสัมผัสอุ่นๆที่ช่วงเอว คือมือข้างหนึ่ง มือของเซิ่งเจ๋อเฉิง ช่วงจังหวะที่หล่อนกำลังจะล้มลง เขาก็ช้อนมือเข้ามารับที่เอวหล่อน
ในใจเสิ่นอีเวยเหมือนจะส่งเสียงร้องคำราม พอได้สติหล่อนก็พยายามจะเอามือไปดึงมือเขาออกจากเอว แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร ริมฝีปากบางที่หอมนุ่มนั้นก็ถูกประกบแน่นไปเสียแล้ว
เสิ่นอีเวยเบิกตาโต ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ใกล้แค่นิดเดียว เหมือนกับแกล้งคนได้สำเร็จ แม้ว่าระยะห่างแค่เพียงนิดเดียว แต่เสิ่นอีเวยก็มองจนแน่ใจแล้วว่า มุมปากเขามีรอยยิ้มที่บ่งบอกว่าหล่อนจะไม่มีทางได้ในสิ่งที่หล่อนคิด
“อื้อ”
สองมือของเสิ่นอีเวยพยายามดันที่หน้าอกเขา สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่ง เรี่ยวแรงมหาศาลของชายหนุ่ม สมาธิก็ดีมาก เสิ่นอีเวยใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อผลักเขา แต่กลับรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังผลักกำแพงอยู่ เซิ่งเจ๋อเฉิงนั้นไม่ได้ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อย