สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 38
ตอนที่ 38 วินิจฉัยโรคมะเร็งในตับ
“คุณหมอลู่ เป็นอะไรหรือเปล่าค่ะ?” เสิ่นอีเวยสอบถาขึ้น แต่ภายในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม้ดีผุดโผล่ขึ้นมา
คุณหมอลู่ยิ้มแย้ม”เปล่าครับ ไม่มีอะไร ถ้าแช่นนั้นคุณก็พักผ่อนไปก่อนนะครับ หากมีเรื่องอะไรสามารถกดกริ๊งได้ตลอดเวลาเลย”
จู่ๆเสิ่นอีเวยก็นึกอะไรบางอย่างออก เธอรีบร้อนอย่างแน่ใจ เลยถามว่า”อย่าเพิ่งรีบร้อนไปค่ะ ฉันเดาว่า…เป็นเรื่องอาการของฉันใช่ไหมค่ะ?”
คุณหมอลู่โบกมือเล็กน้อย”ไม่ใช่หรอก คุณอย่าคิดมาก พักผ่อนให้มากๆนะครับ”
“ถ้าเช่นนั้น ไม่ทราบว่าฉันสามารถดูของในมือคุณไหม?” น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยแฝงด้วยความเด็ดเดี่ยว
หลังจากคุณหมอเพิ่งเข้ามาเมื่อสักครู่ เสิ่นอีเวยก็เห็นเหมือนใบรายงานใบหนึ่งในมือของเขา และด้วยอาการผิดปกติของคุณหมอลู่ ลางสังหรณ์ของเสิ่นอีเวยก็บอกมาว่าเกิดเรื่องแล้ว
คุณหมอลู่คิดหนักชั่วครู่ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และยื่นใบรายงานใบนั้นให้กับเสิ่นอีเวย
กระดาษสีขาวใบนั้นกลับหลัง เสิ่นอีเวยสูบลมหายใจลึกๆพร้อมพลิกกลับมา
ดวงตาของเสิ่นอีเวยกวาดตาอ่านใบรายงาน ทันใดนั้นในความว่างเปล่าเหมือนมีมือข้างหนึ่งมาบีบคอของเสิ่นอีเวยไว้ ทำให้เธอหายใจไม่ออก
เพราะใบรายงานผลการวินิจฉัยปรากฏคำว่า ‘มะเร็งในตับ’ ทำให้หัวใจของเสิ่นอีเวยเหมือนกับมีมีดแหลมคมหลายด้ามพุ่งเข้ามาทิ่มแทง…
กระดาษที่เบาพริ้วบนมือในตอนนี้กลับเหมือนมีน้ำหนักเป็นพันกรัม และในหัวสมองของเสิ่นอีเวยก็ว่างเปล่า
เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ ในที่สุดอาการป่วยก็ยิ่งทวีความรุนแรง…
“คุณเสิ่น ถ้าหากผมเดาไม่ผิด ช่วงเวลาที่ผ่านมาสภาพจิตใจและจิตวิญญาณของคุณต้องประสบกับเรื่องแย่มากเลยใช่ไหมครับ?”
เสิ่นอีเวยรู้สึกแสบจมูก และพยักหน้าอย่างเงียบๆ
คุณหมอลู่ถอนหายใจ”เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้น อาการป่วยของคุณไม่น่าจะทรุดแย่ลงมากขนาดนี้ได้”
เมื่อเห็นท่าทางของเสิ่นอีเวย ในใจของคุณหมอลู่ก็เกิดความประหลาดใจ เดิมทีคิดว่าผู้หญิงร่างบอกบางที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ หากรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งในตับจะยอมรับไม่ได้ ด้วยเหตุนี้เขาเลยคิดอยากจะค่อยๆบอกความจริงต่อเธอ
แต่เขากลับไม่เห็นสีหน้าหวาดกลัวบนใบหน้าของเสิ่นอีเวยเลย ในทางกลับกันเห็นแต่ความสงบนิ่งที่ผิดปกติ
“ในเมื่อวินิจฉัยแล้ว คุณก็อย่าเป็นกังวลมากไปนะครับ ค่อยๆรับการรักษานับตั้งแต่วันนี้ไป ขอเพียงสามารถหาตับที่เหมาะสมได้ แล้วดำเนินการเปลี่ยนถ่าย…”
เปลี่ยนถ่ายตับหรอ? ง่ายซะที่ไหนล่ะ
เมื่อได้ยินคำพูดปลอบโยนของคุณหมอลู่ ในใจของเสิ่นอีเวยก็ไม่มีความรู้สึกกังวลแม้แต่น้อย เธอส่ายหน้าเล็กน้อย และพูดว่า”ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณหมอไม่ต้องปลอบฉันก็ได้ ฉันทราบดีค่ะว่าสภาพจิตใจของฉันมีผลต่ออาการป่วย แต่ฉันขอร้องคุณหมอ…เกี่ยวกับเรื่องของการวินิจฉัยโรคมะเร็งในตับหน่อยได้ไหมว่า ช่วยเก็บเรื่องนี้เป็นความลับให้หน่อย อย่าบอกใครเด็ดขาด รวมถึงสามีของฉันด้วย”
ดวงตาของเสิ่นอีเวยเผยแววตาความเด็ดเดี่ยว ทำให้คุณหมอลู่สะดุ้งตกใจ เมื่อเห็นบนหน้าขาวซีดใบนั้น สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อคุณหมอลู่จากไปไกล เสิ่นอีเวยถึงจะรู้สึกได้ว่าร่างกายของตัวเองหนาวเย็น ตอนนี้เธอเหมือนคนไร้วิญญาณ เพราะวิญญาณในร่างกายถูกสลัดออกไปแล้ว และวินาทีที่ดวงตาเคลื่อนมามองบนใบรายงาน เขื่อนน้ำตาก็พังถลายออกมา
ทำไมโชคชะตาต้องกลั่นแกล้งตัวเองแบบนี้ด้วย? ต้องสูญเสียพ่อแม่อันเป็นที่รัก สูญเสียพี่สาว และไม่ได้รับความรักจากผู้ชายที่รัก ตอนนี้แม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังจะรักษาไม่ได้อีกหรอ?
เสิ่นอีเวยเงยหน้าขึ้น แสงอาทิตย์ที่สาดส่องเข้ามาจากหน้าต่างได้พร่ามัวทำให้เธอเจ็บดวงตา แต่ร่างกายอันหนาวเย็นของเธอกลับไม่ได้รับความอบอุ่นเลย
เสิ่นอีเวยเดิบบนถนนใหญ่ และมองดูคนสัญจรไปมา เหมือนเห็นคู่รักแก่เฒ่าคู่หนึ่งหยอกเล่นกัน และดูพวกเขามีความสุขกับคนที่อยู่เบื้องหน้าเหมือนกับไม่รู้จักความรู้สึกโศกเศร้ามาก่อน เสิ่นอีเวยก็มาเปรียบเทียบกับตัวเอง”ชีวิตคนเราก็แค่นี้เอง ไม่มีอะไรน่าสนใจ เพราะชีวิตคนเราช่างสั้นและอาภัพทุกคนล้วนต้องตาย แต่เวลายังเดินต่อไป สุดท้ายทุกอย่างก็ต้องกลับสู่สภาพเดิม
เสิ่นอีเวยเร่งฝีเท้าเดินตรงเส้นทางกลับบ้าน จู่ๆก็เปลี่ยนทิศทาง ไม่รู้ทำไม ในตอนนี้เธออยากไปพบเสิ่นหุ้ยมาก ดูเหมือนชั่วพริบตาเธอจะเข้าใจประโยคว่าเห็นอกเห็นใจคนป่วยด้วยกัน
ไม่ว่าจะอย่างไรเธอก็เป็นพี่สาวของตัวเอง พี่สาวที่นอนบนเตียงผู้ป่วยโดยไม่ขยับ ส่วนตัวเองในตอนนี้ก็ได้รับข่าวความตาย ไม่ว่าอย่างไรก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
เสิ่นอีเวยถอนลมหายใจหนึ่งเฮือก และผลักประตูห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ยออก
สิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ หลังจากตัวเองถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงเข้าใจผิดเรื่องที่คิดว่าเธอจัดการกับถ้วยยาของเสิ่นหุ้ย เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยิ่งเพิ่มความปลอดภัยแก่ห้องผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ยมากขึ้น ทั้งกล้องวงจรปิด บอดี้การ์ด อันที่จริงคงป้องกันจากเธอมากกว่า
เป็นดังที่คาดการณ์ไว้ เมื่อบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างผนังเห็นเสิ่นอีเวยเข้ามา ก็รีบคว้าโทรศัพท์มือถืออกมาพร้อมเตรียมโทรศัพท์อย่างไม่ลังเล
เสิ่นอีเวยไม่ได้โง่ แน่นอนเธอรู้ว่าเขาจะโทรศัพท์ไปหาใคร
เธอยื่นมือจับโทรศัพท์ และพูดอย่างสงบนิ่งว่า”คุณช่วยให้เวลาฉันห้านาทีได้ไหม แค่ห้านาที โปรดอย่าโทรศัพท์ไปบอกท่านประธานเซิ่งของพวกคุณ หลังจากผ่านห้านาทีฉันจะจากไปเอง”
บอดี้การ์ดไม่ตอบเสิ่นอีเวยกลับ แต่ดึงโทรศัพท์แล้วเดินออกไป เสิ่นอีเวยรู้ว่าการขอร้องเมื่อสักครู่ไม่ได้ผล
เสิ่นอีเวยนั่งลงข้างเตียงผู้ป่วยของเสิ่นหุ้ย เมื่อมองใบหน้าอันสงบนิ่งของเสิ่นหุ้ยก็พูดขึ้นว่า”พี่สาว ฉันขอเรียกเธอว่าพี่สาวสักครั้ง ตั้งแต่เด็กมาพวกเราสองคนต่างแย่งกัน แย่งความรักจากพ่อแม่ แย่งความรักจากเซิ่งเจ๋อเฉิง สุดท้ายพวกเราก็ชนะคนละครั้ง แต่ดูสถานการณ์ของพวกเราสองตอนนี้สิ ดูเหมือนทุกอย่างจะไม่ยุติธรรมเลย”
ความลำเอียงที่พ่อแม่มีต่อตัวเองตั้งแต่เด็ก ไม่เพียงแค่เรื่องการใช้ชีวิต แม้แต่เรื่องการสั่งสอนของตัวเขาที่มีต่อตัวเอง ในใจของเสิ่นอีเวยรู้ดี
เธอคิดมาตลอดว่า เป็นเพราะตัวเองได้รับความรักจากพ่อแม่มากจนเกินไปหรือเปล่า ความรักของเซิ่งเจ๋อเฉิงทั้งหมดโชคชะตาเลยมอบให้กับเสิ่นหุ้ย?
ในใจของเสิ่นอีเวยเผยควารู้สึกเจ็บปวดแสบหนึ่ง เธอลูบมืออันผอมติดกระดูกของเสิ่นหุ้ย ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือด้านข้างก็ดังขึ้น เมื่อหยิบขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิงโทรมา
เมื่อรับสาย หูของเสินอีเว่ยก็เต็มไปด้วยเสียงโมโหดังสั่นสะเทือนขึ้น”เสิ่นอีเวย ออกไปเดี๋ยวนี้!”
เสิ่นอีเวยที่อารมณ์โศกเศร้ากำลังวนเวียนหวนนึกถึงอดีตก็ถูกดึงสติมาอยู่กับปัจจุบันขึ้น เธอได้ยินเสียงร้อนใจของเซิ่งเจ๋อเฉิง เมื่อเห็นใบหน้าที่ไม่มีวันฟื้นขึ้นมาตลอดชีวิตของเสิ่นหุ่ย เสิ่นอีเวยก็ตั้งใจพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันขึ้น”ทำไมหรอ กลัวฉันจะทำร้ายเธอหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงโกรธเดือดดาลตามที่คาดการณ์ไว้”ผมขอเตือนคุณ ถ้าหากกล้าทำร้ายเสิ่นหุ่ยแม้แต่รูขุมขน เชื่อไหมว่าผมจะฆ่าคุณให้ตาย!”