สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 381
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 381 ถูกสเปรย์พริกไทยพ่นใส่หน้า
เสิ่นอีเวยจอดรถสนิทแล้วก็หยิบกุญแจออกจากกระเป๋าที่เธอวางไว้ติดตัว ตัวล็อกค่อยๆขยับออกเบาๆตามการหมุนของเธอ ทว่าประตูกลับเปิดเอง
เธอดูบานประตูที่ค่อยๆเปิดกว้างเรื่อยๆ เสิ่นอีเวยตกใจจนแทบจะกรี๊ดออกมา หัวใจของเธอเต้นไม่หยุด ความเหนื่อยล้าจากการทำงานบนร่างกายของเธอแทบมลายหายไปสิ้น
เธอจำได้ดีว่าในช่วงเช้าของวันนี้ เธอล็อคประตูไว้แล้ว แต่ว่าทำไม…ทำไมตอนนี้ประตูถึงได้เปิดออกได้ล่ะ?
ในสมองของเสิ่นอีเวยก็ปรากฏภาพต่างๆออกมาเป็นฉากๆในเวลานั้นว่า คนร้ายคงพกมีดเพื่อเข้าไปในห้องเพื่อก่อเรื่องราวฆาตกรรมขึ้นกลับปรากฏว่าเจ้าของบ้านกลับมาพอดี เลยกำลังหาที่หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านรอจนเจ้าของบ้านเข้ามาข้างในอย่างไม่ทันตั้งตัวก็จัดฆาตกรรมให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไปซะ
พอคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เสิ่นอีเวยคิดว่าหัวใจของเธอเต้นจนเกือบจะทะลุออกมาอยู่แล้ว ตอนนี้เธอจะทำยังไงดี? รีบหันกลับแล้วออกไปจากที่นี่งั้นหรอ? เหมือนจะช่วยให้ตัวเองรอดได้นะ แต่เธอจอดรถไปแล้วนะสิ หากคนร้ายรู้ว่าเธออยู่ที่นี่แล้วเขาวิ่งจับเธอขึ้นมาล่ะ จะทำยังไง?
เมื่อครู่นี้เวลาที่เธอเปิดประตูกลับมีเสียงดังออกมาเพราะช่วงกลางคืนมันเงียบสนิท
เสิ่นอีเวยกำลังยืนขาแข็งพลางกำลังคิดว่าจะแจ้งตำรวจดีไหม ประตูที่อยู่ด้านเธออยู่ๆก็เปิดออก
“ว้าย!” เสิ่นอีเวยกรี๊ดเสียงดังลั่นพร้อมทั้งกระโดดก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว
มนุษย์เวลาเผชิญหน้ากับความอันตราย ในช่วงแรกมักไม่ยอมเผชิญหน้า รวมทั้งเสิ่นอีเวยที่ความกล้าน้อยอยู่แล้วด้วย ปฏิกิริยาแรกที่เธอทำก็คือควานหาอะไรบางอย่างในกระเป๋าของตัวเอง
“สเปรย์อยู่ไหน? สเปรย์พริกไทยฉันอยู่ไหนล่ะ?” เธอทั้งควานหาแถมยังพูดไม่หยุดเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
ประตูถูกเปิดมาจากด้านในกลับมีผู้ชายตัวสูงใหญ่สวมใส่เสื้อผ้าสีดำยืนอยู่ แถมด้านหลังยังมีไฟส่องมาอีก ทำให้เสิ่นอีเวยมองใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่ชัดเจนแต่กลับรู้สึกคุ้นหูคุ้นตามากๆ
เขายืนอยู่ตรงนั้นแต่ไม่ได้พูดอะไรขึ้นมา เมื่อครู่ที่เสิ่นอีเวยพูดอะไรออกมาเขาก็ฟังไม่รู้เรื่องเพราะเธอพูดเร็วมาก พอเวลาที่เขาจะเขยิบเข้าใกล้หล่อนอีกนิด
โสตประสาทกลับได้ยินเสียงลอยมา “ฟู่” เขาถึงพบว่ามีเสียงอู้อี้ดังมา ดวงตาของเขามันแสบจนต้องยืนพิงขอบประตูเอาไว้
“ไอ้เลว! ไอ้สารเลว!แกกล้ามาปล้นฉัน!” เสิ่นอีเวยเขวี้ยงกระป๋องสเปรย์ไปอีกด้านหนึ่งแล้วเริ่มจัดการต่อยผู้ชายที่ยืนตัวงอในเงามืดคนนั้นที่กำลังแสบตาอยู่
ส่วนผสมของสเปรย์พริกไทยนั้นค่อนข้างรุนแรงมาก เขาเหมือนสูญเสียการทรงตัวไป ทำได้ด้แค่พิงขอบประตูเอาไว้แต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ ทำราวกับว่าตัวเองกำลังสู้ต่อความเจ็บปวดอยู่
เสิ่นอีเวยที่กลัวอย่างสุดหัวใจเลยจัดการทุบผู้ชายคนนั้นด้วยแรงทั้งหมดที่มี ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเหมือนกันเธอกลับรู้สึกแปลกๆ ทำไมขโมยไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยแถมไม่ตอบโต้เธอกลับด้วย?
มือที่เสิ่นอีเวยใช้ทุบคนร้ายในความมืดอยู่ตลอดเวลาแทบไม่ได้หยุดพักเลย อยู่ดีๆเธอก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนนั้นพูดออกมา: “เสิ่นอีเวยเธออยากตายใช่ไหม?”
โลกรอบๆตัวเธอถึงกับหยุดนิ่งเงียบไปทันที เสิ่นอีเวยถึงกับตกใจจนตาเบิกโต มือของเธอที่กำลังทุบเขาอยู่ค้างอยู่กับที่
“เซิ่ง เซิ่งเจ๋อเฉิงหรอ?” เธอเปิดปากถามไถ่ น้ำเสียงที่พูดออกมาอย่างแบบไม่อยากจะเชื่อ
“อืม ไม่ผิดหรอก ฉันเอง” น้ำเสียงของเขาพูดออกมาปกติดี แต่เสิ่นอีเวยก็สามารถจับความรู้สึกของเขาที่โมโหอยู่ของเขาได้อย่างชัดเจน
เสิ่นอีเวยที่ถึงกลับรีบเก็บขวดสเปรย์ที่ตัวเองขว้างทิ้งไปหยิบขึ้นมาใส่กระเป๋าโดยอย่างไม่รู้ตัวแล้วรีบไปดูตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงว่าเป็นยังไงบ้าง แต่ไม่ทันเขยิบเข้าหาเขา เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยื่นมือผลักเธอออกไปแถมอยากจะจัดการเธอสักที
“คุณมาอยู่บ้านฉันได้ยังไง? แล้วตาคุณไม่เป็นไรใช่ไหม? จะให้ฉันพาคุณไปหาหมอไหม?” น้ำเสียงเสิ่นอีเวยสั่นเครือขณะเอ่ยถามเขา ทำไมนะตัวเองถึงไม่รู้ได้ยังไงนะ
พอเธอรู้ว่าคนที่อยู่ข้างหน้ากลับเป็นเซิ่งเจ๋อเฉิงไม่รู้ว่าเพราะอะไรเธอถึงได้รู้สึกเสียใจขึ้นมาที่ใช้สเปรย์พริกไทยนั่น
เซิ่งเจ๋อเฉิงเงียบอยู่นาน เสิ่นอีเวยคิดว่าเขายังไม่หายดีเลยไม่พูดอะไรต่อ
นานสักพัก เซิ่งเจ๋อเฉิงค่อยอาการดีขึ้นมาแล้วเอ่ยขึ้นมาในมุมมืดๆนั่น: “คงไม่ต้องไปโรงพยาบาลแล้ว ที่บ้านมีน้ำเกลือสะอาดๆไหม ให้ฉันล้างทำความสะอาดหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น อันที่จริงทำไมเธอถึงซื้อสเปรย์พริกไทยปลอมมาใช้ล่ะ หรือว่าหมดอายุแล้ว ประสิทธิภาพมันเหมือนไม่ค่อยเต็มที่ซักเท่าไหร่”
เสิ่นอีเวย: “???”
“จะเป็นไปได้ยังไง สเปรย์พริกไทยฉันเอาใส่กระเป๋าตลอด คราวที่แล้วที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินฉันเจอกับโรคจิตฉันก็หยิบมันขึ้นมาใช้อยู่ แล้วจะบอกว่าหมดอายุได้ยังไงกัน? เซิ่งเจ๋อเฉิงคุณโดนสเปรย์พ่นใส่จนประสาทเสียไปแล้วป่ะเนี่ย?”
เสิ่นอีเวยโมโหจนอดไม่ได้เอามือไปวางบนหน้าผากของเขาเพื่อตรวจวัดว่าเขาตัวร้อนหรือเปล่า
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้สนใจคำถามของเธอเลยสักนิด เขาแค่เขยิบเข้าหาเสิ่นอีเวยให้ใกล้ขึ้น ทั้งคู่ในตอนนี้กลับเห็นใบหน้าอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
“เมื่อครู่คุณพูดว่าเคยเจอโรคจิตที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินงั้นหรอ?” น้ำเสียงอันอบอุ่นของเซิ่งเจ๋อเฉิงปะปนไปด้วยความเย็นชานิดๆ
เสิ่นอีเวยไม่รู้เลยว่าทำไมเขาอยู่ๆถึงได้สนใจกับเรื่องนี้ขึ้นมาได้ แต่ก็บอกความจริงกลับเขาไปตรงๆ: “ใช่ เขานั่งยองๆอยู่ตรงนั้นตลอดตามนิสัยของเขา แต่ฉันแจ้งความกับตำรวจแล้วเขาก็ถูกตำรวจจับได้”
เสิ่นอีเวยที่พูดเรื่องนี้ด้วยการแสดงสีหน้าอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พูดอย่างกับเรื่องนี้ไม่เคยเกี่ยวข้องกับตัวเองมาก่อน
ทว่าเสิ่นอีเวยกลับไม่ได้รู้สึกเลยว่าเวลาที่เธอพร่ำพูดออกมานั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากัน
เผลอแปบเดียวเขาก็ดันตัวเองในแนบชิดกับเธอด้วยความโมโห ส่วนเสิ่นอีเวยได้แต่ถอยหลังจนบริเวณด้านหลังของเธอชิดติดกับผนังแข็งๆ
“คุณ นี่คุณจะทำอะไร?” น้ำเสียงของเสิ่นอีเวยตะกุกตะกักขึ้นอย่างรีบร้อนเพราะเขาเขยิบเข้าใกล้เธอขึ้นเรื่อยๆ
สักพักหนึ่งเสิ่นอีเวยถึงได้ยินเสียงที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเอ่ยถามขึ้นมา : “หลายปีที่ไม่ได้อยู่ข้างกายฉัน แท้จริงแล้วเกิดเรื่องที่เธอไม่สบายใจแบบนี้มากี่ครั้งแล้ว?”
หัวใจของเสิ่นอีเวยเต้น “โครมคราม” อยู่พักหนึ่ง เต้นจนเหมือนจะหลุดออกมา ผู้ชายคนนี้…ทำไมถึงได้พูดถามได้อบอุ่นขนาดนี้กันนะ? เธอรู้สึกไม่คุ้นชินจริงๆ
เสิ่นอีเวยได้แต่ยักไหล่ตอบเขาไปงั้นแล้วก็ยิ้มมุมปากแล้วตอบกลับเขา: “ไม่เป็นไร คนเรามันต้องโตขึ้นสิ หลังจากคุณไปแล้วฉันถึงได้รู้ว่า ความจริงฉันอยู่คนเดียว——”
พอพูดถึงตรงนี้เธอก็หยุดพูดไปสักพักในที่สุดก็ยอมพูดออกมา: “ก็ใช้ชีวิตได้ปกติดีนี่”