สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 382
บทที่ 382 คุณแอบเข้าบ้านคนอื่น
หลังจากเซิ่งเจ๋อเฉิงฟังหล่อนพูดจบ ในใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มก่อกองไฟความโกรธขึ้นมา แต่ในใจของเขาต่างรู้ดีว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะจัดการกับผู้หญิงคนนี้
ที่จริง เขาเพิ่งโกหกหล่อนไปเองว่าสเปรย์พริกไทยมันใช้ได้แต่ความจริงมันใช้ได้ดีเชียว หากเขาไม่ใช้วิธีการล้างทำความสะอาดละก็ เขากลัวว่าตาของเขาคงบอดจริงๆแล้ว
เมื่อเซิ่งเจ๋อเฉิงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เขารีบหันตัวกลับเข้าบ้านทันทีอย่างไม่ลังเล แล้วใช้น้ำเย็นจัดล้างหน้าแล้วเอ่ยถามเธอ: “น้ำเกลืออยู่ไหน หาให้ฉันหน่อย”
เสิ่นอีเวย สักวันหนึ่งฉันจะทำให้เธอรู้ให้ได้ว่าหากทิ้งฉันอีก เธอไม่สามารถมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข
เสิ่นอีเวยที่ยืนนิ่งตาเบิกโตอยู่ด้านหลังของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วเห็นเขาก้าวพรวดเข้าบ้านของตัวเองถึงกับตะโกนลั่น: “เฮ้ย คุณทำอะไรผิดไปหรือเปล่า นี่บ้านฉันนะ! ฉันยังไม่อนุญาตให้คุณเข้าบ้านฉันเลย!”
คำพูดสุดท้ายของเสิ่นอีเวยกลืนหายไปในลำคอ ในใจเสิ่นอีเวยรู้ดีว่าคงไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว เพราะว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านั้นไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด ทำเหมือนไม่ได้ยินที่หล่อนพูดเมื่อครู่เลย ขนาดศีรษะยังไม่หันกลับมาเลยด้วยซ้ำ
หลังจากเดินเข้ามาในตัวบ้าน เสิ่นอีเวยก็รีบเปิดไฟในบ้านทั้งหมดแล้วรีบหาน้ำเกลือมาช่วยล้างตาให้เขา รอจนเขาล้างเสร็จเงยหน้าขึ้นมาเสิ่นอีเวยถึงกับตกใจ
ดวงตาเขาแดงก่ำอาการเหมือนคนไม่ได้นอนมาหลายวัน แดงก่ำจนทำให้คนตกใจกลัว
“ขอโทษ” เสิ่นอีเวยเอ่ยคำพูดขึ้นมาอ้อแอ้บริเวณมุมปากแต่ว่าเธอก็ไม่ได้พูดหลุดออกมาจากปาก
หลังจากล้างตาเสร็จ พวกเขาก็เดินลงไปนั่งที่โซฟาในห้องรับแขกชั้นล่าง
“งั้น ฉันมีเรื่องประหลาดใจอยากจะถามคุณ ทำไมคุณถึงเข้ามาในบ้านฉันได้ล่ะ?”
หลังจากความเห็นอกเห็นใจหายไปหมด ความรู้สึกรังเกียจเข้ามาแทนที่ น้ำเสียงที่เธอถามเขากลับนั้นดูไม่เป็นมิตรสักนิด เพราะที่นี่คือบ้านของเธอจะอยู่ดีๆก็เข้ามาง่ายๆได้ยังไงกัน ไม่ว่าจะใครก็รับไม่ได้กับเรื่องนี้ป่ะ?
ชายหนุ่มร่างสูงตระหง่านได้แต่นั่งเงียบๆอยู่ที่โซฟา ใบหน้าที่หล่อเหลาเอาการกลับเปลี่ยนสีหน้าเป็นถือตัวเย็นชาแบบเดิมเช่นทุกวัน
เซิ่งเจ๋อเฉิงเริ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ทำเหมือนไม่เคยเกิดเรื่องเมื่อครู่ขึ้นมาเลย : “ความสามารถของลูกน้องฉัน เธอก็น่ารู้ดีอยู่แก่ใจ ก็แค่ประตูบ้านธรรมดาจะทำให้พวกเขาเปิดไม่ได้เลยหรอ?”
เสิ่นอีเวยตกใจจนดวงตาเหมือนจะหลุดออกมา เธอตอบเขากลับ: “คุณอยากจะบอกฉันว่า ประตูที่ฉันล็อคเอาไว้นั่น เป็นลูกน้องคุณจัดการพังประตูบ้านหรอ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้แต่ยักไหล่ตอบหล่อนแบบขอไปทีแล้วพูดขึ้นมา: “ไม่งั้นแล้วไงล่ะ?”
เสิ่นอีเวย : “……..”
“คุณพี่คะ ประตูบ้านของฉันเนี่ยมันมีประตูกันขโมยสองชั้น แค่มือเดียวก็พังประตูได้เลยหรอ? นี่คุณเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบหรือยังไงกัน?” เธอรู้สึกว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเหมือนกำลังแกล้งเธออยู่
เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือลูบหน้าผากไปมา สีหน้าของเขาแทบไร้ซึ่งอารมณ์: “เสิ่นอีเวย สมองเธอนี่โตขึ้นมาบ้างไหม? ตอนไหนกันที่ฉันบอกกับเธอว่าใช้มือพังกลอนประตู?”
“’งั้นเรื่องมันเป็นมายังไงกันล่ะ?”
“ฉันมีบอดี้การ์ดคนหนึ่งที่เคยทำงานด้านการสะเดาะกลอนประตู” เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดอธิบายออกมาอย่างสบายอกสบายใจจนเขาแทบไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าสีหน้าของเสิ่นอีเวยเปลี่ยนไปมากจนแทบดูไม่ได้
เสิ่นอีเวยเห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย เธอถึงกับโมโหจนปรี๊ดแตก: “คุณแอบเข้าบ้านคนอื่น! ฉันสามารถแจ้งความพวกคุณได้เลยนะ!”
ภายใต้แสงไฟอันสว่างไสว สันกรามของเขาช่างดูอ่อนไหวและแข็งขัน พอเวลามองแล้วให้ความรู้สึกช่างดูลักษณะพิเศษเฉพาะตัวและหรูหรา
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้แต่ยิ้มอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้นมา: “เธอก็ไปสิ ฉันล่ะอยากเห็นจริงๆว่าคืนนี้เธอสามารถที่จะใช้แรงของตัวเองเอาตัวเองออกไปจากประตูนี่ได้หรือเปล่า”
น้ำเสียงที่ออกมาจากอกของเซิ่งเจ๋อเฉิงมันทำให้เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าเขาพูดไม่หยุด ผู้ชายคนนี้ทุกเวลาทุกนาทีทำไมถึงได้เชื่อมั่นในตัวเองได้ตลอดเวลา
ที่เซิ่งเจ๋อเฉิงพูดออกมาทั้งหมดนั้นเขาไม่เพียงแค่พูดหลักการอย่างเดียว ในเวลานี้เสิ่นอีเวยคิดว่าต้องหาเรื่องอะไรมาเบี่ยงประเด็น เพราะว่าในสถานการณ์นี้ไม่มีคนที่เธอรู้จัก หากคืนนี้ถูกเขาจัดการขึ้นมาละก็จะไปหาใครมาช่วยเธอได้
เมื่อคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เสิ่นอีเวยพยายามบังคับให้ต้องเองยิ้มตอบแต่ก็ฝืนกัดฟันเอาไว้อยู่ : “งั้นได้ แต่ก็ต้องขอบคุณพวกคุณนะที่สอนให้รู้ว่าประตูกันขโมยสองชั้นทำอะไรไม่ได้กับคนหน้าไม่อาย ประตูกันขโมยสองชั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา งั้นคราวหน้าฉันจะจำไว้ว่าต้องติดสามชั้นไปเลย”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเอาแต่ยิ้ม: “ตามสบายเลย ถึงยังไงฉันก็มีวิธีของฉันอยู่ดี”
ในเวลานั้นเอง เขาดับก้นบุหรี่ที่อยู่ในมือของเขาจี้ไปที่เขี่ยบุหรี่ จากนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ
เสิ่นอีเวยเห็นเขาทำแบบนั้นเลยก้าวเล็กๆถอยหลังไปอย่างระมัดระวังและถามเขา: “คุณจะทำอะไร?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมามองทางเธอ ทว่าสายตาของเขากลับทอประกายความอบอุ่นมาด้วย แต่การถามของเขาเหมือนเป็นการตอบแบบโยนหิน : “ไม่ได้ทำไรนี่ แค่ชื่นชมตัวบ้าน”
ฉันอนุญาตให้คุณมาชมบ้านฉันแล้วหรือ? หน้าด้าน เสิ่นอีเวยอดไม่ได้ที่จะด่าทอเขาอยู่ในใจ
ชายหนุ่มสวมสูทสีดำยืนขึ้นพลางเดินช้าๆในห้องรับแขกขนาดใหญ่ เริ่มจากด้านข้างโต๊ะชงชาแล้วเดิมอ้อมมาเรื่อยๆจนมาถึงทางเข้าก็พบว่าที่หน้าประตูมีตู้วางรองเท้าสีขาวเนื้อไม้ทำมาจากต้นbirch ปรากฏลวดลายสวยงาม
ด้านข้างประตูมีพรมนุ่มๆอยู่ ใกล้กันมีรองเท้าผู้หญิงวางอยู่หลายคู่ แต่ละคู่เป็นสไตล์ของเสิ่นอีเวย
เวลานั้นเอง หางตาเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับพบบางอย่าง มันคือรองเท้าหนังสีดำของผู้ชายที่เห็นได้อย่างชัดเจนแถมวางไว้ตรงกลางระหว่างรองเท้าผู้หญิงหลายคู่ล้อมรอบอีกด้วย
ในเวลานั้น สีหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงขรึมลงไปมาก เขายื่นเท้าตัวเองออกมาแล้วขยับตำแหน่งของรองเท้านั้น แถมหันมาหาเสิ่นอีเวยด้วยสายตาที่โมโหเอามาก แถมทำท่าทางไม่ถูกใจ: “รองเท้าคู่นี้ของใคร?”
เสิ่นอีเวยมองไปยังรองเท้าคู่นั้นถึงกับตกตะลึงไปสักพัก พลางคิดว่าจะอธิบายอย่างไรออกไปดี? พูดกันตรงๆเลย เธอไม่อยากบอกความจริงกับผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเธอ ใช่แล้ว เธอต้องสร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อจะได้กำจัดความบ้าบนตัวของเขาออกไป
หากเป็นไปตามนั้นจริง ไม่แน่จากนี้เขาก็ไม่มีข้องแวะกับเธออีกเลย? เสิ่นอีเวยคิดถึงหลักการอยู่ในใจ
หลังจากครุ่นคิดอยู่หลายตลบ เสิ่นอีเวยก็ใช้เวลาสิบวินาทีในการคิดเรื่องราวต่างๆเพื่อเบี่ยงประเด็นเขา
มุมปากสิ่นอีเวยิ้มอย่างหวานหยดย้อยแล้วเดินเข้าไปใกล้เซิ่งเจ๋อเฉิงอีกนิดแล้วเอ่ยขึ้น: “อ้อ เรื่องนี้หรอ ไหนๆคุณก็เห็นกับตาตัวเองแล้ว งั้นฉันก็จะบอกคุณเลยแล้วกัน! ฉันมีแฟนใหม่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาย้ายมาอยู่กับฉันที่นี่ รองเท้าคู่นี้ก็เป็นของเขานั่นแหละ”
ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่แสดงอารมณ์ใดออกมา เลยถามกลับ : “ หรอ? งั้นคนล่ะ? ทำไมไม่อยู่ด้วยล่ะ?”
เสิ่นอีเวยพูดโม้ต่อไปเรื่อยๆโดยที่สีหน้าไม่ได้กระโตกกระตากอะไรออกมา: “เขาเป็นเจ้าของธุรกิจหน่ะ วันสองวันนี้เขาคุยธุรกิจที่ต่างประเทศ!”
เธอไม่รู้ว่าตัวเองฟังอะไรผิดไปหรือเปล่า เพราะว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเอาแต่ยิ้มออกมา แล้วเขาพูดจนเธอได้ยินเต็มสองรูหู: “เจ้าของธุรกิจขนาดใหญ่หรอ นักธุรกิจในเมืองนี้ไม่มีคนที่ฉันไม่รู้จัก พูดมาเถอะ เขาชื่ออะไร?”