สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 387
บทที่ 387 ทำกับข้าวหรือให้ฉันกินเธอแทนข้าว
ในเวลานี้เสิ่นอีเวยโมโหจนด่าบุพการีของเขาขึ้นมาแทน ผู้ชายคนนี้เป็นคนยังไงกันนะ? ทำไมเวลาที่เธออยู่ต่อหน้าเขา เขากลับไม่ต่อสู้กับเธอเลย?
แขนของเสิ่นอีเวยถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงกดทับจนปวดไปหมด เธอดึงแขนออกมาไม่ได้จึงคิดหาวิธีทำตัวน่าสงสารเข้าไว้: “คุณเป็นผู้ชายนะ จะไม่ยอมอ่อนข้อให้ผู้หญิงตาดำๆที่กำลังหิวข้าวอยู่เลยหรอ? ฉันยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลย!”
ที่จริงแล้วเธอทานอาหารเย็นเรียบร้อยแล้วแถมอิ่มจนแน่นท้องไปหมด เธอก็แค่โกหกเขานิดหน่อยหน่ะ
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ฟังที่เธอพูดว่ายังไม่ได้ทานข้าวเย็น เขาถึงกับขมวดคิ้วถาม: “เธอยังไม่ได้กินข้าวเย็นหรอ?”
เสิ่นอีเวยได้แต่พยักหน้าหงึกหงักแทน เธออยู่ในมุมด้านล่างเพราะฉะนั้นเธอจึงเงยหน้ามองเขาด้วยน้ำตาเอ่อคลอเบ้าอย่างน่าสงสารทำให้คนสงสารขึ้นมาจริงๆ
เซิ่งเจ๋อเฉิงเม้มริมฝีปากแน่นและครุ่นคิดพยายามชั่งใจอยู่สักพัก ในที่สุดก็ยอมปล่อยเธอไป แต่น้ำเสียงในตอนท้ายนั้นยังเคร่งขรึมขึ้น : “นี่เธอ ฉันออกตัวแรงๆไว้ก่อนเลยนะ ที่ฉันตกลงที่จะยอมปล่อยเธอไม่ใช่ว่าฉันไม่สามารถที่จะจัดการกับเธอได้ สาเหตุนั้นมาจากเธอหิวแล้ว เข้าใจไว้ซะ?”
เสิ่นอีเวยเข้าใจแล้วรีบเก็บอาการทันทีพร้อมสวนกลับอย่างแนวแน่และทันควัน : “ฉันเข้าใจ ฉันเข้าใจแล้ว!”
ทันทีที่เซิ่งเจ๋อเฉิงผ่อนมือลงนั้น เสิ่นอีเวยก็รีบลุกขึ้นทันทีแล้วรีบหนีพรวดพราดเข้าห้องน้ำอย่างกับลูกธนูยิงเป้าแบบนั้น ที่เธอต้องรีบขนาดนั้นก็เพราะเมื่อครู่เซิ่งเจ๋อเฉิงจูบที่จนร่างกายเธอร้อนผ่าวไปทั่วตัว
ทว่าในสถานการณ์ในตอนนี้ เธอไม่สามารถที่จะถอดเสื้อผ้าอาบน้ำต่อหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ในห้องได้ เสิ่นอีเวยเลือกที่จะล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็วเพื่อให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ลงได้ เธอวักน้ำเข้าใบหน้าตัวเอง
ใบหน้าที่ร้อนผ่าวของเสิ่นอีเวยยามเมื่อถูกน้ำเย็นราดลงใบหน้าอุณหภูมิร้อนรุ่มค่อยๆลดลงบ้าง หลังจากปิดก๊อกน้ำแล้วเธอก็ตั้งใจฟังความเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านนอกอย่างตั้งใจ เพื่อจะได้เข้าใจชัดเจนในเรื่องหนึ่งคือผู้ชายคนนั้นเขายังไม่ได้ไปไหน ในใจของเสิ่นอีเวยรู้ดีอย่างชัดเจนเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้นั้นเธอสามารถแจ้งความได้อยู่แล้ว
ตามที่เธอพูดไปเมื่อครู่ เธอและผู้ชายที่อยู่ข้างนอกนั่นในทางกฎหมายแล้วไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอีกเพราะทั้งคู่ต่างหย่าร้างกันแล้ว แล้วยิ่งเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้นั้น หากเธอโทรแจ้งความกับสถานีตำรวจแล้วละก็ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็จะโดยข้อหาบุกรุกบ้านคนในยามวิกาล
ทว่า ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอไม่ยอมทำแบบนั้น
เสิ่นอีเวยหวังให้เขารีบออกไปจากที่นี่จริงๆ แต่ก็ไม่อยากใช้วิธีหนักๆบังคับเขาจริงๆ เธอได้แต่ภาวนาอยู่ในใจแค่หวังว่าหากยื้อเวลาให้นานเข้าไว้ ผู้ชายคนนี้คงเบื่อหน่ายไปเองแล้วก็จะยอมไปในที่สุด
แต่ว่ามีอยู่เรื่องหนึ่งเรื่องนั้นมันอยู่ในใจไม่เคยแปรเปลี่ยนมาก่อนเลย เรื่องที่เธอไม่สามารถกลับไปอยู่ที่บ้านตระกูลเซิ่งในฐานะภรรยาของเซิ่งเจ๋อเฉิงได้อีก
ใช่แล้ว มันไม่ผิดไปหรอก ตั้งแต่ที่เธอตัดสินใจจะกลับมานั้น ในใจของเธอก็ปล่อยวางความแค้นต่างๆหมดสิ้นแล้ว แต่ว่าการปล่อยวางอย่างนั้นไม่ใช่ว่าเธอสามารถที่จะกลับไปหาเซิ่งเจ๋อเฉิงได้อีก มันเป็นไปไม่ได้
ในตอนนี้เธอก็ได้แต่หวังว่า ขอให้เธอแยกจากเซิ่งเจ๋อเฉิงได้สักที
เสิ่นอีเวยเงยหน้าขึ้นมองกระจกในห้องน้ำแล้วพบว่าใบหน้าของตัวเองขาวซีด ผมยุ่งเหยิง เธอถอนหายใจเข้าออกเพื่อเรียกกำลังใจกลับมา
ทั้งคู่เดินลงจากชั้นบน เสิ่นอีเวยได้แต่เดินเข้าห้องครัวเพื่อเตรียมทำอาหารตามที่เธอโกหกเขาไว้เมื่อครู่ให้เสมือนจริง
เธอยื่นมือออกมาเปิดตู้เย็น ในตอนนั้นเองเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงดังขึ้นมาจากด้านหลัง : “พอดีเลย ฉันก็หิว งั้นทำให้ฉันด้วยอีกหนึ่งที่”
เสิ่นอีเวยอึ้งอยู่สักพัก แล้วหยิบผักผักกวางตุ้งพันธ์ฮ่องเต้ออกมาจากตู้เย็นหนึ่งต้นแล้วหันกลับมาจ้องมองเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างไม่อยากจะเชื่อเลย ใบหน้าของเธอแสดงออกอย่างชัดเจน: “ทำไมคุณถึงหน้าด้านได้ขนาดนี้เนี่ย?”
คืนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงบุกรุกบ้านเธอ เธอไม่พอใจเอามาก เริ่มแรกก็แสดงท่าทีแกล้งเธอ แถมตอนนี้ก็ยังมาขอข้าวกินอีก? ที่ไหนมีคนเข้าทำกันแบบนี้บ้าง?
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นอีเวยถึงกับโมโหควันออกหูเลยพูดปฏิเสธเขาไปแทน : “คุณชายท่านนี้รู้หรือเปล่าว่าฉันไม่ได้มีหน้าที่ทำกับข้าวให้คุณกินนะ!”
เธอเพิ่งพูดจบ สีหน้าของเขาก็ขรึมขึ้นกว่าเดิม: “เธอพูดอีกรอบสิ?”
การที่ต้องมาเผชิญหน้ากับการขู่ของผู้ชายคนนั้น เสิ่นอีเวยไม่จำเป็นที่ตอบเขา
ยามเมื่อหล่อนรู้สึกไม่พอใจแล้วหันหลังขวับตามนิสัยแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกลับเรียกชื่อเต็มๆของเธอแทน: “เสิ่นอีเวย——”
เธอรีบหันกลับมาทั้งๆที่ในมือยังถือผักกวางตุ้งพันธ์ฮ่องเต้อยู่: “เรียกทำไม?”
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงแปรเปลี่ยนเป็นสายตาที่เฉียบคม หากเสิ่นอีเวยมองไม่ผิดไป มุมปากของเขาก็ยิ้มซ่อนความอันตรายเอาไว้
แถมเธอก็ยังได้ยินที่เขาพูดเพิ่มขึ้นมา : “จะทำกับข้าว หรือจะเป็นข้าวแทน”
หา? เสิ่นอีเวยไม่เข้าใจความหมายของเขา สีหน้างงๆ : “คุณพูดว่าอะไรนะ?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงอธิบายอย่างละเอียดให้เธอเข้าใจ: “ความหมายก็คือ——- เลือกเอาว่าจะทำกับข้าวให้ฉันกินหรือเธอจะเปลี่ยนเป็นกับข้าวให้ฉัน…กินแทน”
ในที่สุดเสิ่นอีเวยก็เข้าใจความหมายของเขา ใบหน้าเธอแดงแจ๋ขึ้นมาทันที คำพูดสองแง่สองง่ามซะขนาดนี้ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงพูดออกจากปากได้ไม่กระดากปากเลยนะ?
เสิ่นอีเวยไม่อยากจะสนใจเขาอีกแล้ว เธอตั้งใจทำอาหารต่อ ทว่าสิ่งที่เธอคิดไม่ถึงก็คือ เซิ่งเจ๋อเฉิงยังขอร้องขึ้นมาอีก
เขาเขยิบเข้าใกล้ด้านหลังของเสิ่นอีเวยที่ยืนอยู่ข้างๆอ่างล้างจาน แถมยังมองด้านหลังของเธอที่ตั้งอกตั้งใจล้างผักอย่างจริงจัง: “ฉันสามารถสั่งกับข้าวที่ฉันอยากกินได้ไหม?”
นี่ยังไม่จบอีหรอ? เสิ่นอีเวยถึงกับพึมพำอยู่ในลำคอ: “ไม่ได้!”
“ฉันจะกินข้าวอบซี่โครงหมู” การพูดร้องขอของเขาดูพูดออกมาจากใจอย่างปกติ
เสิ่นอีเวยทำกำลังล้างผักอยู่ถึงกับหยุดชะงักแล้วหันไปถามเซิ่งเจ๋อเฉิงอีกรอบ: “ข้าวอบอะไรนะ?”
“ข้าวอบซี่โครงหมู”
“ซี่โครงหมูอะไรนะ?” เสิ่นอีเวยถึงกับหนักใจเพราะเธอไม่อยากทำอาหารชนิดนี้
ทว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่ปล่อยเธอให้รอดไปได้ เพราะเขารับรู้ได้ว่าเสิ่นอีเวยตั้งใจหูทวนลมใส่เขา เขาเลยเปลี่ยนสีหน้าทันที: “เธอแน่ใจนะจะเล่นแง่กับฉัน? ความอดทนของฉันมีขีดจำกัด”
เสิ่นอีเวยรู้ว่าเขาพูดความจริงทั้งหมดเพราะว่าเธอไม่เคยหวังเลยว่าผู้ชายคนนี่จะมีคำว่า”อดทน” สำหรับเธอด้วย
เธอเม้มปากแต่ตอบรับอย่างขอไปที “ได้”แล้วหันหลังกลับไป
เซิ่งเจ๋อเฉิงดูพออกพอใจที่เสิ่นอีเวยยอมเชื่อฟังเขาแต่โดยดี เขาหันหลังกลับไปนั่งที่เก้าอี้ที่โต๊ะกินข้าว ตำแหน่งที่เขานั่งช่างพอเหมาะพอดีเธอเห็นด้านหลังของเธอกำลังหมกมุ่นกับการทำอาหาร
ผ้าม่านและหน้าต่างของห้องรับแขกเปิดเอาไว้ ในยามนี้มีลมพัดเข้าออกพอดี
พระจันทร์สุกสกาว สายลมโชยมา สาวงามเบื้องหน้า อื้อ ท่านประธานเซิ่งรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ช่างวิจิตรงดงามเสียจริง
ส่วนเสิ่นอีเวยที่กำลังทำกับข้าวอยู่นั้นในใจของเธอไม่ได้เป็นแบบเขาเลยสักนิด เธอรู้สึกว่าซวยจริงๆ จะกินอะไรก็ไม่กิน จะกินข้าวอบซี่โครงหมูอยู่นั่นแหละ ที่สำคัญต้องรู้ว่ามันเป็นกับข้าวอย่างหนึ่งที่เธอไม่ยอมทำมานานมากแล้ว
เพราะว่าอาหารชนิดนี้ เธอเคยทำให้ผู้ชายคนหนึ่งกินคนเดียวเท่านั้น