สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 456
บทที่ 456 นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“แต่ฉันคิดไม่ออกจริงๆว่าทำไมเธอถึงได้ไม่กลัวอะไรสักอย่างเลยหรือไงกัน?”
ช่วงที่เสิ่นอีเวยของกำลังชื่นใจกับความรู้สึกอบอุ่นที่อยู่ข้างหน้านั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ยังคงเหมือนเดิมคือเขาชอบสาดคำพูดราวกับสาดน้ำเย็นใส่หน้าเธอยังไงยังงั้น
“ใครบอกว่าฉันกลัวหรอ?” เสิ่นอีเวยพูดปฏิเสธทั้งๆที่บนใบหน้าของเธอยังมีรอยคราบน้ำตาอยู่
เสิ่นอีเวยรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ เขากำลังหัวเราะเธออยู่หรอ? ชีวิตเขาเนี่ยอยากจะหัวเราะเยาะเธอเพื่อความสนุกสนานแค่นี้หรอ?
เธอเอาแต่เงียบไม่สนใจเขา
“เธอนี่ช่างกล้าจริงๆ กล้ามากที่กล้ามาที่ภูเขาจิ่วเหมิงคนเดียวได้”
เสิ่นอีเวยหลุบตาต่ำเอาแต่มองนิ้วของตัวเองแทนแล้วทำเสียงเล็กเสียงน้อย: “ทำยังไงได้ล่ะ ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวเลยต้องมาจัดการที่นี่นะสิ”
“เรื่องส่วนตัว?”เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกลับต้องขมวดคิ้วและสนใจขึ้นมาทันทีกับสิ่งที่เธอพูดออกมา
รถก็ขับมานานขนาดนี้ เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าอารมณ์ของตัวเองสงบนิ่งลงไปเยอะ แต่ว่าการที่ต้องเผชิญหน้ากับผู้ชายที่สาดคำพูดเหมือนสาดน้ำเย็นใส่หน้าเธอตอนนั้น เธอรู้สึกไม่พอใจ
เธอก็ไม่อยากจะพูดให้เขาอึกอัก: “ก็บอกแล้วว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ถือซะว่าผมขอโทษละกัน”
เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
เสิ่นอีเวยหันศีรษะไปแล้วเอียงศีรษะพิงพนักเก้าอี้ การที่มองบรรยากาศข้างนอกรถของท้องฟ้าค่ำคืนมืดมิด อารมณ์ยิ่งวุ่นวายจนไม่อยากคิดเรื่องอะไรอีกแล้ว แต่การที่ต้องบังคับตัวเองไม่ให้คิดนั้นมันมีบางเรื่องที่พุ่งเข้ามากระทบสติสัมปชัญญะของเธอไม่หยุดหย่อน
ในวินาทีนั้น อยู่ดีๆเธอก็คิดถึงเวลาที่เธอกำลังซื้อของอยู่ในร้านชำและเธอก็เห็นข่าวจากโทรทัศน์
ช่วงนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ใช่ยุ่งอยู่กับเรื่องสำคัญในการซื้อกิจการหรอ? แล้วทำไมถึงได้มาสถานที่แห่งนี้ด้วยตนเองได้? หลังจากนึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ หัวใจของเสิ่นอีเวยเหมือนกับก้าวพลาดบนอากาศ เธอหันกลับไปหาผู้ชายที่นั่งข้างๆตัวเองทันที
เขานั่งหลังพิงกับเบาะเก้าอี้หลับตาลง ไม่รู้ว่าหลับจริงๆหรือว่าพักสายตากันแน่
ด้านนอกรถช่างดำมืดมันทำให้คนเรารู้สึกอยู่ไม่เป็นสุข ไฟในตัวรถเป็นไฟสีเหลืองอ่อน เสิ่นอีเวย
มองสันกรามนูนด้านข้างของเขาราวกับรูปประติมากรรมแกะสลักของท่านเทพองค์หนึ่ง
รูปลักษณ์บนใบหน้าช่างงดงามมาก อีกทั้งผิวพรรณก็ดีมากๆ แต่ไม่รู้ว่าภายใต้ผิวพรรณหมดจดนั่น หัวใจยังคงโหดร้ายเด็ดขาดเหมือนเมื่อก่อนหรือป่าว?
เสิ่นอีเวยช้อนสายตากลับ
เหนื่อย ช่างเหนื่อยเหลือเกิน
เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าสมองตัวเองหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้ชายคนนี้จะพาเธอไปที่ไหนกันแน่ แต่ใจของเธอกลับสงบอย่างบอกไม่ถูก สติค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ ท้ายสุดกลับถูกความง่วงเข้ามาครอบงำแทน
เธอพิงเบาะนั่งแล้วหลับไป
ยามเมื่อเธอตื่นขึ้นมานั้น เสิ่นอีเวยได้กลิ่นน้ำหอมกลิ่นไม้หอมละมุนขึ้นมาก่อน กลิ่นๆนี้เธอจำได้ขึ้นใจจนตาสว่างขึ้นมาทันที
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วสบตาเซิ่งเจ๋อเฉิง เธอนอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขา
เสิ่นอีเวยร้อนรนรีบทำตัวเว้นระยะห่างจากเขา แล้วรีบพูดออกมา: “ขอโทษ”
ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ทำได้แค่หดมือที่ประคองแขนของเธอเมื่อครู่ออก
เสิ่นอีเวยหันศีรษะออกไปมองนอกรถ ด้านนอกเป็นโรงแรมหนึ่งโรงแรม แต่ประเมินจากภายนอกแล้วดูเป็นปกติกว่าสถานที่ที่เธอเคยพักก่อนหน้านี้
ตอนนี้รถดับเครื่องแล้ว เสิ่นอีเวยถามเขากลับด้วยอาการมึนงง: “เราถึงที่นี่นานเท่าไหร่แล้ว?”
“ครึ่งชั่วโมงแล้ว”เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบ
เสิ่นอีเวย :“……”
ยิ่งเห็นหลินอวี้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าไม่ยอมลงจากรถ ใบหน้าของเธอยิ่งร้อนผ่าวทันที ที่แท้ตัวเอง…ก็นอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนนี้นานขนาดนี้เลยหรอ? ทำไมไม่มีใครปลุกเธอให้ตื่นเลย?
เขาคนนั้นก็เหมือนอ่านใจเธอออกซะงั้น แถมพูดออกมา: “เธอเหนื่อย ฉันเลยอยากให้เธอพักเยอะๆ”
น้ำเสียงของเขาช่างอ่อนโยนและมีเสน่ห์ดึงดูดราวกับมีเวทมนตร์ยังไงยังงั้น
เสิ่นอีเวยถึงกับตั้งตัวไม่ถูกกับคำพูดอ่อนโยนพวกนี้ คำพูดของผู้ชายที่ดูลึกล้ำพูดออกมาเหมือนพูดน่าเชื่อถือได้
แล้วไงล่ะ? อารมณ์ที่เขาพูดออกมาในตอนนี้นั้นมันเป็นยังไง? มันเหมือนเวลาที่เขาพยายามอธิบายเรื่องสวี่อันฉิงในเวลานั้นไหม มันเป็นแค่การเสแสร้งเล่นละครงั้นหรอ? เสิ่นอีเวยไม่กล้ามั่นใจเลย แม้กระทั่งการใช้เวลาในยามที่มีแรงที่น้อยนิดนี้เอาไปคิดให้เสียเปล่า
“ลงรถเถอะ” เขาเอ่ยเบาๆ
เสิ่นอีเวยลงรถเป็นคนสุดท้าย พอก้าวเท้าลงแตะพื้นปุ๊บ บนหัวกลับมีเงาดำๆเป็นเสื้อโค้ตชุดสูทของเซิ่งเจ๋อเฉิงคลุมทับศีรษะเธอทันที
“คลุมหัวเอาไว้” น้ำเสียงของเขาช่างเย็นเฉียบ แถมยังเป็นคำสั่งที่ทำให้คนเรารู้สึกว่ายากต่อการปฏิเสธ
เสิ่นอีเวยทำตัวไม่ถูกได้แค่ยื่นมือออกไปรับเสื้อโค้ตชุดสูทนั้นเอาไว้ เธอประมาณการได้ว่าสิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงให้ทำนั้นมีเหตุผล เพราะว่าไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่เกิดในค่ำคืนนั้น คนของพวกท่านฉินไม่รู้ว่าหนีไปอยู่ที่ไหน เธอหนีออกมาจากนั่นได้ เพราะฉะนั้นไม่สมควรที่จะโผล่หน้าแสดงตัวตนออกมาจากสถานที่ในละแวกนี้
ยามเมื่อเสื้อโค้ตชุดสูทนั่นคลุมหัวเธอ เสิ่นอีเวยก็ถูกคนประกองกอดขึ้นทันที เธอถึงกับตกใจแล้วหันไปมองเซิ่งเจ๋อเฉิง: “คุณทำอะไรเนี่ย?”
เส้นผมสีดำนัยน์ตาดำขลับของเขามันซ่อนเร้นอารมณ์ลึกล้ำไว้อยู่ภายใน: “เด็กดี อย่าพูดอะไรออกมานะ”
ทุกอณูประสาทในร่างกายต่างจุกรวมตัวกันอยู่ในโสตประสาท เสิ่นอีเวยรู้สึกว่าตัวเองขนลุก เพราะว่าน้ำเสียงของคำพูดที่เขาพูดว่า “เด็กดี” นั่นแหละ มันเหมือนเป็นความรู้สึกถูกตามใจเอาใจแบบนั้น มันเหมือนเทวดาดลใจ เสิ่นอีเวยพบว่าตัวเองกลับไม่ปฏิเสธที่เขาพูดแบบนี้กับเธอ ทว่าในใจ…ความรู้สึกนี้มันมีความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนอย่างบอกไม่ถูก
เสิ่นอีวยทำตัวเหมือนเด็กน้อยที่ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ เธอเอาแต่นอนนิ่งๆเออออห่อหมกในอ้อมกอดเซิ่งเจ๋อเฉิงตลอด ส่วนหลินอวี้เดินตามหลังมาจนเดินเข้าสู่โรงแรมขนาดเล็ก
ตลอดทางเสิ่นอีเวยทำได้แค่โผล่ตาออกมามองเท่านั้น ส่วนใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือกลับถูกปิดบังเอาไว้ เธออายม้วนต้วนแต่ ความรู้สึกที่แสดงออกมานั้นช่างน่าหลงใหลและอ่อนโยนเสียจริง
เซิ่งเจ๋อเฉิงกอดเสิ่นอีเวยไว้ด้านข้าง หลินอวี้กับเสิ่นซิ่นเหนียนรับผิดชอบสอบถามที่พักกับเถ้าแก่เนี๊ยะ
เถ้าแก่เนี๊ยะพลิกเปิดสมุดเล่มเล็กๆไปด้วยพร้อมทั้งพูดไปด้วย: “เหลือแค่สองห้อง”
พอพูดจบก็เงยหน้าขึ้นมองเซิ่งเจ๋อเฉิงและเสิ่นอีเวย ยิ่งเห็นสภาพเสิ่นอีเวยแล้วถึงกับตกตะลึงไปสักพัก ทำราวกับว่าประหลาดใจอะไรอยู่เลยพูดว่า: “พวกคุณสองคนผัวเมียกันใช่ไหม?งั้นเข้าพักสองคนห้องเดียวกัน งั้นก็พอดีคนแล้ว”
ที่ดีว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงเขาหน้าตาหล่อเหลามาก ยิ่งใส่ชุดสูทสีดำยิ่งมีเสน่ห์เหลือเกิน สายตาของเถ้าแก่เนี๊ยะต่างจดจ้องอยู่แต่ใบหน้าของเขาและก็ไม่เบนสายตาอีกเลย ช่างมีประโยชน์ในการช่วยเบี่ยงเบนความสนใจของเถ้าแก่เนี๊ยะไปจากเธอได้บ้าง
เมื่อเถ้าแก่เนี๊ยะพูดจบ เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกถึงหญิงสาวที่อยู่ในอ้อมกอดเขานั้นเริ่มขยับบ้างแล้ว แถมมือก็เตรียมยื่นออกมาทางที่เสื้อปิดอยู่ทำราวกับอย่างโผล่หน้าออกมาซะอย่างนั้น
เซิ่งเจ๋อเฉิงแค่เหล่ตามองแวบหนึ่งจากนั้นเขาก็พูดกับเถ้าแก่เนี๊ยะอย่างราบเรียบ: “ใช่ พอดีเลย”
คำพูดที่ออกมาจากปากเขานั้น ทำให้เสิ่นอีเวยตะลึงทันที บรรยากาศในเวลานั้นกลับเข้าสู่สภาวะเขินอายและนิ่งสงบแทน