สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 462
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 462 เรื่องราวของหานฉีเฟิง
หานฉีเฟิงเห็นเขายอมช่วยเหลืออย่างง่ายดาย กลับรู้สึกแปลกใจจึงถามว่า : “คุณเซิ่งจะไม่ถามผมก่อนเหรอว่าจะให้ช่วยอะไร ก็ตอบตกลงแล้ว”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหัวเราเยาะออกมา : “จะมีเรื่องอะไรนอกจากกำจัดท่านฉิน ไม่ยากหรอก”
หานฉีเฟิงมองเขาเงียบๆ ในแววตาลุกเป็นไฟ ท่านฉินวันแห่งความสุขของแกใกล้หมดลงแล้ว
การพบหน้ากันครั้งแรกของทั้งสองคน คงต้องเริ่มเล่าจากอดีตที่เนิ่นนานมาแล้ว เซิ่งเจ๋อเฉิงเรียนจบจากอเมริกากลับมาได้หนึ่งปี ก็ถูกพ่อของเขาเอาไปฝึกที่กองปฏิบัติการพิเศษหนึ่งปี จึงได้ออกมารับช่วงต่อที่บริษัทเซิ่งซื่อ
คำพูดของผู้เฒ่าเซิ่งที่ว่า ลูกผู้ชายตระกูลเซิ่งนอกจากมีร่างกายที่แข็งแรงแล้ว ยังต้องมีจิตใจที่อดทน แบบนี้ถึงจะสามารถดูแลบ้านและบริษัทได้เป็นอย่างดี
ในปีนั้นที่เซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ในกองปฏิบัติการพิเศษ นอกจากจะทำตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว ทุกวันเมื่อมีเวลาเหลือยังต้องฝึกประจำวัน แต่การฝึกประจำวันไม่ใช่ฝึกต่อสู้เล็กๆน้อยๆ มีการฝึกในป่า และการฝึกดำรงชีวิตในป่าทั้งสองอย่างสลับกันไป
ในช่วงเวลาหนึ่งปี เซิ่งเจ๋อเฉิงได้รับความลำบากมากที่สุดในชีวิต และได้รับบทเรียนทางจิตใจที่หนักหนาที่สุด แต่หลังจากที่ออกจากกองปฏิบัติการพิเศษแล้ว เขากลับเติบโตขึ้นจริงๆ
การต่อสู้และความขยันตั้งใจของเขาขณะอยู่ในกองปฏิบัติการพิเศษทำให้เซิ่งเจ๋อเฉิงได้เลื่อนขั้น สุดท้ายก็ได้เป็นหัวหน้า
ด้านหานฉีเฟิงนั้น ก็คือลูกน้องที่เขาฝึกอยู่หนึ่งเดือนก่อนที่จะออกจากกองปฏิบัติการพิเศษ หนึ่งเดือนต่อมา เขาก็ลาออก ก็มาเริ่มต้นชีวิตของเขาใหม่อีกครั้ง
เสิ่นอีเวยเหลือบมองเวลาบนโทรศัพท์ มองตาปริบๆให้เวลาสามสิบนาทีค่อยๆผ่านไป เมื่อถึงเวลานาทีที่ 29ประตูก็เปิดออก คนที่เข้ามาคือเซิ่งเจ๋อเฉิง
เสิ่นอีเวยวางโทรศัพท์ในมือลง วินาทีที่เห็นเซิ่งเจ๋อเฉิงนั้น หัวใจดวงที่กำลังกระวนกระวายของหล่อนก็ค่อยๆสงบลง
“หานฉีเฟิงพูดอะไรกับคุณ” เสิ่นอีเวยลองถามเขาดู หล่อนรู้สึกแปลกใจกับความสัมพันธ์ของพวกเขาสองคน
เซิ่งเจ๋อเฉิงนั่งลงที่ข้างเตียง ฟูกข้างๆเสิ่นอีเวยยุบลงไป
เสิ่นอีเวยมองเห็นใบหน้าเรียบเฉยของเขา ตอนแรกคิดว่าเขาจะตอบคำถามหล่อน แต่คิดไม่ถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับเป็นฝ่ายถามคำถามที่ทำให้หล่อนตกใจ
“ถูกคนข่มเหงรังแกทำไมไม่บอกผม”น้ำเสียงชายหนุ่มเย็นชาเล็กน้อย
เสิ่นอีเวยตกตะลึง นิ่งเงียบไปสองวินาทีก่อนจะตั้งสติกลับว่าได้ว่าเขากำลังพูดเรื่องอะไร น่าจะเป็นหานฉีเพิงเล่าให้เขาฟัง
ตอนแรกที่ยังไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็ยังดีอยู่ อารมณ์ของหล่อนก็ยังสงบนิ่งอยู่ แต่เมื่อถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงถามขึ้น ก็นึกถึงเหตุการณ์ที่ตนไร้ความช่วยเหลือใดๆ แล้วหันมามองสายตาที่แสนอ่อนโยนนุ่มนวลของชายหนุ่ม ไม่รู้ทำไม ดวงตาของเสิ่นอีเวยอยู่ๆก็แดงเรื่อขึ้นมา
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองเห็นท่าทางผิดปกติของหล่อน จึงยื่นนิ้วหัวแม่มือแตะที่ใบหน้าหล่อนอย่างแผ่วเบาเช็ดน้ำตาร้อนผ่าวแทนหล่อน
“เด็กดี อย่าร้องนะ” ชายหนุ่มปลอบประโลม
“ที่ฉันไม่บอกคุณเพราะว่าตอนนั้นคุณไม่ได้อยู่ข้างกายฉัน หานฉีเฟิงเป็นคนบอกคุณใช่ไหม เสียงของหล่อนแหบพร่า ดวงตาคู่สวยนั้นมีหยาดน้ำตาใสคลออยู่ มองไปแล้วท่าทางน่าเห็นใจยิ่งนัก
จุดสนใจของเซิ่งเจ๋อเฉิงอยู่ที่ท้ายประโยคที่หล่อนพูด เมื่อถูกหล่อนกล่าวหาเช่นนั้น เขาจึงนึกขึ้นได้ว่า เขายังไม่ได้อธิบายเรื่องนั้นให้หล่อนฟังเลย
เซิ่งเจ๋อเฉิงเข้าไปนั่งใกล้ๆหล่อนมากขึ้น มือซ้ายของเขากุมที่หัวไหล่หล่อนเบาๆ มือขวาประคองด้านหลังศีรษะหล่อนเอาไว้ แล้วค่อยๆแนบหน้าผากตนเองเข้ากับหน้าผากของหล่อน
เขาพูดอย่างอ่อนโยนว่า “อีเวย คืนนั้นผมเห็นคุณอย่างชัดเจนแต่ว่าผมก็ต้องจากไป เพราะผมไม่อยากให้ท่านฉินรู้ว่าคุณคือผู้หญิงของผม ไม่เช่นนั้นแล้วต่อไปหากต้องการจะช่วยคุณออกมาก็ยิ่งยากขึ้นอีก ผมจึงแกล้งทำเป็นไม่สนใจคุณ พวกเขาจะได้ไม่ต้องเพ่งเล็งคุณมาก”
เสิ่นอีเวยนึกถึงภาพแผ่นหลังของเขาที่เดินจากไป แม้ว่าจะรู้สึกน้อยใจ แต่ก็เชื่อในสิ่งที่เขาอธิบาย ก้มศีรษะอย่างว่าง่าย
หลังจากผงกศีรษะรับรู้แล้ว หญิงสาวรู้สึกเอะใจ น้ำเสียงแสดงความกระจ่างในข้อสงสัย: “งั้นไฟไหม้ที่ช่วยให้ฉันหนีออกมานั้นคือฝีมือคุณงั้นสิ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบคำถามหล่อน : “ผมไม่ได้เป็นคนจุดไฟเผา แต่เป็นความคิดของผมเอง ก่อนที่จะจุดไฟเผานั้น หานฉีเฟิงมาหาผม ปรึกษาผมเรื่องที่จะช่วยคุณออกมา ไฟนั้นผมบอกให้เขาจุดเอง แต่ตอนที่เขามาหาผมนั้น ผมไม่รู้จุดประสงค์ที่เขาจะทำ”
บวกกับเป็นช่วงสถานการณ์คับขัน ผมคิดแต่จะช่วยคุณออกมา ดังนั้นจึงไม่ได้ถามอะไรเขามากมาย ตอนนี้คุณก็ปลอดภัยแล้ว ผมจึงต้องการรู้เรื่องราวความเป็นมาทั้งหมด ฉะนั้นวันนี้หากหานฉีเฟิงไม่มาหาผม ผมก็ต้องไปหาเขาอยู่ดี”
“ถ้าอย่างนั้น ความจริงทั้งหมดคืออะไร” เสิ่นอีเวยถามอย่างจริงจัง
“หานฉีเฟิงต้องการให้ผมช่วยเขา กวาดล้างท่านฉินให้สิ้นซากแล้วช่วยเหลือคนพวกนั้นออกมา”
ต่อจากนั้น เซิ่งเจ๋อเฉิงก็เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหานฉีเฟิง รวมถึงเรื่องที่ตนเองหลังจากกลับมาจากอเมริกาก็เข้าไปอยู่ในกองปฏิบัติการพิเศษทุกอย่างให้เสิ่นอีเวยฟัง
หลังจากฟังเขาเล่าแล้ว หล่อนได้แต่ตอบอย่างเรียบง่ายว่า: “ที่แท้เป็นอย่างนี้เอง คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นสายลับที่อยู่ข้างกายท่านฉิน มิน่าล่ะ เขาทำให้ฉันความรู้สึกแปลกๆตอนที่พบกันแรกๆ แม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนคอยช่วยเหลือท่านฉิน แต่เนื้อในแล้วเขากลับเดินกันคนละเส้นทางกับพวกนั้น”
“โอ้โห วิเคราะห์เขาซะละเอียดขนาดนี้” ท่านประธานเซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม ท่าทางไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด
เสิ่นอีเวยอึ้ง พอได้สติจึงรู้ว่าเขาหึงตนแล้ว ตอนแรกไม่รู้ว่าจะง้อเขาอย่างไร คิดอยู่นานจนได้วิธีที่คิดว่าดีแล้ว จึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นไปประทับรอยจูบที่ริมฝีปากอุ่นๆของเขา
เป็นเพราะการกระทำนี้ของตนเอง เสิ่นอีเวยเขินอายจนหน้าแดง ก้มหน้าหลบสายตาแล้วเขยิบนั่งห่างออกไป เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของหล่อน ไม่ยอมให้หล่อนขยับหนี มุมปากยกขึ้น สายตาที่ว่องไวและมือที่ยื่นออกไปคว้าเอวหล่อนเข้ามาในอ้อมกอดอย่างรวดเร็ว
เสิ่นอีเวยหนีไม่พ้น
ปลายจมูกของทั้งสองแทบจะชนกัน เซิ่งเจ๋อเฉิงหลุบตามองลงที่ริมฝีปากแดงเล็กๆของเสิ่นอีเวย แล้วกระซิบเบาๆ: “อีเวย ที่คุณทำแบบเมื่อกี้นั้น ผมชอบมาก”
หัวใจของเสิ่นอีเวยละลายเป็นน้ำในที่สุด วินาทีที่เซิ่งเจ๋อเฉิงจุมพิตหล่อนนั้น หล่อนก็รู้โดยทันทีว่า เรื่องในอดีตคือเรื่องที่ผ่านไปแล้ว ตั้งแต่คืนนี้ไป หล่อนพร้อมแล้วที่จะโอบกอดอนาคต
นอกหน้าต่างแสงจันทร์สาดส่องนวลผ่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศทาง