สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 465
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 465 ก็เพราะได้ยินคุณละเมอถึงได้ทำ
เสิ่นอีเวยชะงัก : “คือเมื่อไหร่”
นัยน์ตาที่ลึกล้ำของเซิ่งเจ๋อเฉิง ดวงตาคู่ที่ดำขลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน: “ก็ช่วงแรกๆที่คุณจากไปอังกฤษนั่นแหละ”
เสิ่นอีเวยอึ้ง เงียบไปสักพักก่อนจะถามว่า: ” ทำไมถึงทำแบบนั้น”
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มศีรษะ หัวเราะออกมาคนเดียวแล้วพูดว่า :”เพราะตอนนั้นผมคิดว่า ถ้าผมทำข้าวอบซี่โครงหมูเป็น รอจนวันที่คุณกลับมา ผมก็จะได้ทำให้คุณกินด้วยตัวเอง”
หัวใจของเสิ่นอีเวยเหมือนถูกมืออุ่นๆลูบคลำช้าๆ หล่อนคิดไม่ถึงเลยว่า จะมีวันนั้นวันที่เซิ่งเจ๋อเฉิงเข้าครัวทำอะไรให้หล่อนกิน
เขาที่ได้รับการประคบประหงมดูแลอย่างดีตั้งแต่เล็ก ตอนนี้กลับมาพะเน้าพะนอหล่อน นำของที่ดีที่สุดในโลกมาให้หล่อน
เสิ่นอีเวยสูดลมหายใจ คีบกุ้งผัดชาหลงจิ่วขึ้นมาหนึ่งชิ้นเข้าปาก แล้วพูดว่า: “แต่ฉันจำได้ว่าไม่เคยบอกคุณว่าอาหารที่ฉันชอบมากที่สุดคือ กุ้งผัดชาหลงจิ่วแล้วคุณรู้ได้อย่างไร”
“ผมโทรไปถามหยางอันหรานมา” เซิ่งเจ๋อเฉิงตอบเสียงเรียบ
เสิ่นอีเวยแปลกใจ :”หยางอันหรานหรอ คุณโทรไปหาเธอตอนไหน”
รู้จักกันมาหลายปี นิสัยของผู้ชายคนนี้นับว่าหล่อนนั้นรู้จักดีทีเดียว เขาจะไม่ชอบพูดคุยกับคนที่ไม่สนิทสนม แต่ครั้งนี้กลับโทรถามหยางอันหรานว่าหล่อนชอบกินอะไรมากที่สุด
เสิ่นอีเวยรู้สึกซาบซึ้งในใจ
“โทรไปเมื่อวาน”
เสิ่นอีเวยถอนใจ “มันช่างบังเอิญจริงๆ เมื่อคืนก่อนฉันจำได้ว่าฝันว่าฉันกำลังกินกุ้งผัดชามังกร คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้กินจริง”
เซิ่งเจ๋อเฉิงวางตะเกียบในมือลง แล้วเงยหน้ามองหล่อนอย่างเงียบๆแล้วพูดว่า: ” ผมก็ได้ยินคุณละเมอพูดว่าอยากกินกุ้ง วันต่อมาถึงให้หลินอวี้ไปซื้อ ที่นั่นหาซื้อกุ้งยากมาก วันนี้ถึงเพิ่งซื้อมาได้”
เสิ่นอีเวย “…….”
ละเมอพูดว่าตัวเองอยากกินกุ้งเหรอ เสิ่นอีเวยมันน่าขายหน้ามั้ยเนี่ย คนบางคนพึมพำในใจ
หลังจากทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จ เซิ่งเจ๋อเฉิงก็ออกจากโรงแรมไปทำธุระดังเช่นปกติ เสิ่นอีเวยเล่นคอมพิวเตอร์อยู่ลำพังในห้องอย่างเบื่อหน่าย
เดิมทีคิดจะเปิดดูอัลบั้มออกแบบสักหน่อย แต่ที่นี่ไม่มีไวไฟ ดังนั้นเสิ่นอีเวยจึงเปิดhotspotจากโทรศัพท์มือถือของตนเอง หลังจากเชื่อมต่อได้ไม่นาน ด้านล่างขวาของหน้าจอก็ปรากฏข่าวหนึ่งเด้งขึ้นมา
เป็นข่าวของในพื้นที่ภูเขาจิ่วเหมิงนี้
ในข่าวพูดถึงบ้านที่เป็นต้นเพลิง ซึ่งก็คือบ้านหลังที่เสิ่นอีเวยถูกหานฉีเฟิงพาตัวไป ภาพในข่าวชัดเจนมาก บ้านหลังนั้นถูกเผาไหม้จนไม่เหลือเค้าโครงเดิม เห็นเพียงแค่โครงสร้างของตัวบ้านเท่านั้น ผนังที่เคยขาวตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเขม่าควันดำ สภาพเละเทะดูไม่ได้
ตอนนั้นเอง ก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นมาตรงด้านขวาล่างของรูปบ้าน ดึงดูดความสนใจของเสิ่นอีเวยขึ้นมา
พูดถึงกลุ่มคนเพศหญิงที่เข้ามาทำงานกับนักศึกษาสาวอีกหลายสิบคนที่ตกอยู่ในมือของพวกค้ามนุษย์แห่งภูเขาจิ่วเหมิง บ้านที่ถูกไฟไหม้นี้เป็นจุดที่พวกเขาใช้เป็นแหล่งพักสินค้า คืนวันที่เกิดเหตุเดิมทีแก๊งค้ามนุษย์กลุ่มหนึ่งมาติดต่อกับหัวหน้าพวกเขาที่นี่เพื่อพาคนกลุ่มนี้ไปในที่ๆไกลกว่านี้
แต่คิดไม่ถึงว่าคืนนั้นจะเกิดไฟไหม้ขึ้นมาอย่างกะทันหัน ผู้หญิงเหล่านั้นจึงฉวยโอกาสนี้หลบหนีออกจากบ้านหลังนั้น แต่ละคนวิ่งไปคนละทิศคนละทาง คนที่พอจะมีสติหน่อยก็รีบวิ่งไปที่สถานีตำรวจก่อนเพื่อแจ้งความ
หลังจากผ่านการสืบสวนของตำรวจ จึงได้รู้ว่าพวกหล่อนคือเหยื่อค้ามนุษย์กลุ่มใหญ่ในมือของท่านฉินที่หลบหนีออกมา
ได้รับแจ้งเหตุทันทีตำรวจก็ไปล้อมที่นั่นเอาไว้ แต่ภูเขาจิ่วเหมิงนั้นเป็นภูมิประเทศที่พิเศษกว่าที่อื่น บวกกับอยู่ในพื้นที่ห่างไกลความเจริญ เจ้าหน้าที่ตำรวจเองก็ไม่ชำนาญพื้นที่ ปฏิบัติการจึงยังไม่ประสบความสำเร็จ
เสิ่นอีเวยอ่านมาถึงตรงนี้ ในใจก็คิดขึ้นได้ว่าคงเพราะเหตุนี้หานฉีเฟิงจึงได้ขอให้เซิ่งเจ๋อเฉิงมาช่วยจัดการกับท่านฉิน
เขาเป็นสายลับอยู่ข้างกายท่านฉินมานาน ในมือเขาคงจะมีข้อมูลเบาะแสเกี่ยวกับการกระทำผิดของอีกฝ่ายอยู่ไม่น้อย แต่เพราะด้วยความที่สถานการณ์ตึงเครียด จึงทำให้ข้อมูลเบาะแสต่างๆในมือของหานฉีเฟิงไม่สามารถส่งออกไปได้
พูดให้ถูกก็คือ เขาถูกขังอยู่ในเขาจิ่วเหมิงเสียแล้วนั่นเอง
ดังนั้นเขาจึงต้องการคนที่มีกำลังและอำนาจพอที่จะมาที่เขาจิ่วเหมิงด้วยตัวเองสักครั้ง เพื่อช่วยตัวเองจัดการกับแหล่งกบดานของท่านฉิน
ดังนั้นหานฉีเฟิงจึงใช้หล่อนเป็นตัวล่อให้เซิ่งเจ๋อเฉิงมาที่นี่ แต่ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงรู้ได้อย่างไรว่าหล่อนอยู่ที่เขาจิ่วเหมิง ปัญหานี้หล่อนยังไม่ได้ถามเขา
เมื่อก่อนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงเคยเป็นผู้นำเขาในกองกำลังพิเศษ บวกกับอำนาจบารมีมากล้นของตระกูลเซิ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะเขาทั้งสองคนต่างชื่นชมในความสามารถและตัวตนของแต่ละฝ่ายจึงทำให้ เซิ่งเจ๋อเฉิงยอมช่วยเขาในครั้งนี้
ช่วงบ่ายเกือบจะเย็นแล้ว เสิ่นอีเวยกำลังอาบน้ำในห้องอาบน้ำ หลังจากที่เช็ดผมแห้งแล้วเดินออกมา ก็พบว่าประตูถูกคนเปิดออก หลายวันมานี้หล่อนอยู่ที่นี่มีคนคอยคุ้มกันอย่างดี ไม่ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะอยู่หรือไม่ด้านนอกประตูก็จะมีบอดี้การ์ดเฝ้าอยู่สองคนตลอด คอยดูแลความปลอดภัยให้หล่อน
ดังนั้นอยู่ๆประตูถูกเปิดออก เสิ่นอีเวยจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะหล่อนรู้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับมาแล้วนั่นเอง
ปกติแล้วเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่มีอารมณ์เคร่งเครียดอยู่ตลอด แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเสิ่นอีเวยที่กำลังเช็ดผมอยู่นั้น คิ้วเริ่มขยับเล็กน้อย แม้แต่แววตาก็ค่อยๆอ่อนโยนลง สันกรามขากรรไกรก็ไม่เกร็งแบบนั้นแล้ว
“คุณกลับมาแล้วเหรอ “เสิ่นอีเวยเดินเขย่งเท้ามาทางเขา เมื่อครู่รองเท้าเปียก หล่อนจึงนำไปตากไว้ที่ขอบหน้าต่าง โรงแรมนี้สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่ครบครัน ไม่ได้เตรียมรองเท้าแตะไว้ให้
มองท่าทางเก้ๆกังๆเหมือนเด็กที่กำลังเดินมาทางตนเองของหญิงสาว ตอนแรกเขาคิดจะยื่นมือไปโอบกอดหล่อนไว้ แต่สายตาเหลือบไปเห็นเท้าที่เปลือยเปล่าเสียก่อน
ชายหนุ่มเริ่มไม่พอใจขึ้นมา คิ้วเริ่มขมวดเข้าหากัน: “ทำไมไม่ใส่รองเท้า ไม่หนาวเหรอ”
เสิ่นอีเวยเห็นสีหน้าเขาไม่ค่อยดี จึงรีบส่ายศีรษะยิ้มๆแล้วตอบว่า :”ไม่หนาว เมื่อกี้ฉันอาบน้ำแล้วเอารองเท้าวางไว้ข้างๆมันเลยเปียก ตอนนี้ยังใส่ไม่ได้ชั่วคราว ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงได้ยินดังนั้น จึงเอามือล้วงเข้าไปหยิบโทรศัพท์มาจากกระเป๋าเสื้อสูท: “ผมจะให้หลินอวี้เอารองเท้าคู่ใหม่มาให้คุณคู่หนึ่ง”
เสิ่นอีเวยตกตะลึง คิดถึงคนที่ทุกวันเหนื่อยจนสายตัวแทบขาดอย่างหลินอวี้ แม้ว่าเขาจะเป็นคนของเซิ่งเจ๋อเฉิง และก็ยอมช่วยเหลือตนเองอย่างนอบน้อมเต็มใจ แต่หล่อนก็ไม่อยากรบกวนอีกฝ่าย จึงรีบปฏิเสธขึ้นทันที:”ไม่ต้องๆ หลินอวี้เองก็ยุ่งมากๆอยู่แล้ว เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ไม่ต้องรบกวนเขาหรอก รองเท้าอีกแป๊บเดียวก็แห้งแล้ว ไม่เป็นไรหรอก”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมีท่าทีไม่ค่อยเห็นด้วย เสิ่นอีเวยจึงพูดต่อว่า: “ที่ฉันทำแบบนี้ ก็เพราะอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระให้คุณ ฉันจะได้ไม่ต้องห่วงคุณมากไง”