สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 64
บทที่ 64 หมี่ย่าปรากฏกายขึ้น
หมี่ย่าหัวเราะสีหน้าดูขาวซีดสภาพดูไม่เหมือนพฤติกรรมที่แสดงออกการเป็นหัวหน้าของคนที่บริษัทเลย : “สัปดาห์ที่แล้วฉันเลิกกับสามีแล้วยังไม่มีสิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูก แถมวันนี้ยังตกงานอีก ฉันไม่มีอะไรอีกต่อไปแล้วจะกลัวว่าแกจะฟ้องฉันหรอ?”
เสิ่นอีเวยอึ้งไปชั่วขณะ หล่อนคาดไม่ถึงเลยว่าสถานการณ์ของหมี่ย่าจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ งั้นพูดให้ถูกคือหล่อนหมดอาลัยตายอยากทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน ถึงว่าทำไมเดินมาถึงจุดๆนี้ได้
ในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ทำลงไป หล่อนกำลังคิดว่าหล่อนทำผิดอะไรไปหรือเปล่า หากไม่ใช่หล่อน หมี่ย่าคงไม่ถูกไล่ออก หล่อนเป็นผู้หญิงอายุสามสิบกว่าที่สูญเสียทั้งครอบครัวและงานไปทั้งคู่ อีกทั้งผลกระทบเรื่องนี้ค่อนข้างใหญ่หลวงเหมือนกัน หรือว่าตัวฉันเองควรคุยกับหล่อนดีๆก่อนอาจทำให้ดีขึ้น
หมี่ย่าชี้หน้าด่าเสิ่นอีเวย : “ก็เพราะแก! เสิ่นอีเวย!ฉันทำงานไม่เรียบร้อยแต่ฉันแก้มันได้ แกแค่พูดประโยคเดียวก็ไล่ฉันออก แกมีสิทธิ์อะไร มีสิทธิ์อะไรวะ!”
เสิ่นอีเวยกำลังอ้าปากเพื่ออธิบายบ้าง เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ด้านข้างดึงมือหล่อนไว้ด้านหลังตัวเองเพื่อเป็นการปกป้องหล่อน ตัวหล่อนถูกดึงจนเซ อีกนิดก็จะยืนไม่อยู่แล้ว ขณะนั้นเอง หล่อนรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นนั้นที่แผ่ออกมาจากตัวเซิ๋งเจ๋อเฉิงในใจเสิ่นอีเวยรู้สึกถึงความปลอดภัยในตอนนั้น
ถือว่านี่เป็นครั้งแรกที่เซิ่งเจ๋อเฉิงสัมผัสหล่อนในคืนนี้
น้ำเสียงเซิ่งเจ๋อเฉิงเย็นชาเยือกเย็นไม่ไว้หน้าใคร : “เรื่องเมื่อตอนกลางวัน ผู้อำนวยการเสิ่นเป็นหัวหน้าของเธอโดยตรง การที่จะบอกว่ามีปัญหาตรงไหนนั้นเป็นเรื่องปกติที่ควรทำ เธอไม่มีอำนาจหรือคุณสมบัติใดที่จะโยนความผิดให้หล่อน ส่วนเรื่องที่มีคำสั่งไล่เธอออกนั้น แน่นอนเลยว่าต้องเป็นฉัน ประธานบริษัทเซิ่งซื่อเป็นคนพิจารณา ในใจเธอรู้สึกไม่ยุติธรรมหรือว่าโมโหควรมาลงที่ฉัน แต่ว่า –”
ตอนนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงหันกลับมามองหน้าเสิ่นอีเวยในสายตาของเขาเต็มไปด้วยความต้องการปกป้องหล่อนอย่างแรงกล้า
“ถ้าเธอต้องการที่จะทำร้ายหล่อนอีกหนึ่งเซนติเมตร ถึงเธอเป็นผู้หญิงก็ตามฉันก็จะไม่ออมแรง”
เสิ่นอีเวยเงยหน้ามองเซิ่งเจ๋อเฉิงในใจคิดมากมายหลายหมื่นตลบ เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ทันได้มองความหมายที่อยู่ในดวงตาของเสิ่นอีเวย
หมี่ย่าขย้ำผมตนเองไปมา นิ้วมือที่สั่นระริกชี้ไปที่เสิ่นอีเวยอย่างบ้าคลั่ง : “ท่านประธาน ไม่ใช่ว่ารังเกียจผู้หญิงคนนี้มาตลอดไม่ใช่หรอ? หล่อนมีอะไรดีนัหนาถึงทำให้คุณหลงใหลเข้าไปอยู่ในใจคุณได้? อ้อ ใช่สิ ได้ข่าวว่าหล่อนใช้วิธีการจ้างคนมารุมโทรมพี่สาวของตัวเองใช่ไหม? หือ เธอช่างเป็นคนโหดร้ายจริงๆ!”
มือเสิ่นอีเวยเริ่มออกอาการสั่นเล็กน้อย สีหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงก็เปลี่ยนสี เดิมทีเสิ่นอีเวยคิดว่าเขาคงลงมือกับหมี่ย่าเองแบบนั้นถึงได้จับแขนของเขาไว้แน่น
เซิ่งเจ๋อเฉิงก้มหัวมองเสิ่นอีเวยครั้งเดียว สายตานั้นปกติธรรมดา ดูไม่ออกว่าอารมณ์แบบไหนกัน สักครู่ เขาสั่งหลินอวี้ : “จับพวกมันทั้งหมดไว้ แล้วไปเจอกันที่ศาล”
หลินอวี้พยักหน้าและสั่งให้พวกบอร์ดี้การ์ดเริ่มจัดการ เสียงด่าทอของหมี่ย่าดังอยู่ด้านหลัง
เซิ่งเจ๋อเฉิงพาตัวเสิ่นอีเวยเดินออกมาไปยังด้านหน้าเพราะว่าเขาไม่อยากให้เสิ่นอีเวยได้ยินเสียงนั้นเลยเอามือทั้งสองข้างปิดหูหล่อนไว้อย่างเบามือ เสิ่นอีเวยอึ้งสักพักแต่จมูกเริ่มแสบขึ้นมานิดๆ
ก่อนขึ้นรถเซิ่งเจ๋อเฉิงตรวจดูตัวเสิ่นอีเวยอย่างละเอียดรอบคอบอีกครั้งจนมั่นใจว่าไม่มีบาดแผลที่ใหญ่จนเห็นชัดมากนักจึงได้เปิดประตูรถ
เสิ่นอีเวยคิดมาตลอดว่าตัวเองใจเย็นลงแต่ว่าตั้งแต่ที่ปิดประตูรถในตอนนั้น หล่อนรู้สึกได้ถึงการสั่นไปหมดทั้งตัว
โดยปกติเซิ่งเจ๋อเฉิงเป็นคนที่ขับรถเร็วมาก แต่วันนี้กลับผิดปกติกว่าวันอื่น รถค่อยๆขับไปเรื่อยๆ ไฟข้างทางค่อยๆหายแวบไปแล้วต่ออย่างเสมอกัน ตลอดการเดินทางเสิ่นอีเวยมักเงียบตลอด
เซิ่งเจ๋อฉิงหันกลับไปมองหล่อนสักครู่ สีหน้าของเสิ่นอีเวยขาวซีดไปทั้งหน้า สายตาล่องลอย เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ทำให้หล่อนตกใจอย่างมาก น้ำเสียงเขามีการเยาะเย้ยแบบปกติของเขาแต่มุมปากกลับมีรอยยิ้มที่คาดเดาความรู้สึกนั้นไม่ได้ : “กลัวแล้วหรอ? ปกติเธอก็ทำถึงพริกถึงขิงแบบนั้นกับฉันไม่ใช่หรอ?”
ความคิดวุ่นวายต่างๆนานาของเสิ่นอีเวยก็ถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงดึงมันกลับมา หล่อนหัวมองไปยังเขาแล้วกรอกตาหยิ่งๆ ไม่นานนักหล่อนถามเขา : “ฉันหิวน้ำ มีน้ำหรือเปล่า?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกับสำลัก จ้องหล่อนสักพักแล้วมองไปยังที่เท้าตรงนั้นมีกล่องที่กำลังกลิ้งไปกลิ้งมา เสิ่นอีเวยงอตัวลงแล้วหยิบน้ำขึ้นมาหนึ่งขวด ดื่มเข้าไปหลายอึกอยู่เหมือนกันถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“พูดมาได้ ผู้ชายพวกนั้นเป็นคนเลวถ้าเป็นคุณ คุณไม่กลัวหรือไง!” ความกว้างในรถไม่ได้มากนัก อยู่ดีๆก็มีเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เซิ่งเจ๋อเฉิงรู้สึกว่าแก้วหูของเขาเหมือนจะถูกเธอทำลายจนแตกยับไม่มีชิ้นดี
เซิ่งเจ๋อเฉิงขมวดคิ้ว : “เธอเบาเสียงหน่อย!”
เสิ่นอีเวยแลบลิ้นให้ไม่รู้ว่าเพราะอะไร หล่อนไม่อยากบังคับตัวเองแค่อยากจะแสดงวิธีที่เป็นธรรมชาติของตัวหล่อนเองในการสื่อสารกับเขา และไม่ได้คำนึงถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะเกลียดเธอเพราะเรื่องแบบนี้หรือเปล่า
ผู้ชายที่กำลังขับรถอยู่ถึงกับหัวเราะขึ้นมาอย่างไม่แยแสสักนิด: “ฉัน? ฉันจะไม่ยุ่งกับคนพวกนี้อยู่แล้ว”
เสิ่นอีเวยเบ้ปากแล้วเงียบไปสักพักจนกลับมาถามได้ตามปกติ : “คุณลองพูดมาหน่อยสิว่าที่ฉันทำกับหมี่ย่าที่บริษัทฉันทำพลาดไปแล้วใช่ไหม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองเธอด้วยหางตา : “ทำไม มาเสียใจในตอนนี้แล้วหรอ?”
เสิ่นอีเวยไม่ได้ตอบอะไร
“เมื่อกี้ฉันก็พูดจนชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วนะว่า ฉันเป็นคนสั่งไล่ออกหล่อนเองไม่เกี่ยวกับเธอเลย เธอยังไม่แก้นิสัยขี้ใจอ่อนละก็มันจะเป็นจุดด้อยของเธอ ต่อไปเธอก็จะมีเดือดร้อนให้เสียเปรียบอยู่เรื่อยไป”
เสิ่นอีเวยไม่ได้พูดอะไร เซิ่งเจ๋อเฉิงที่อยู่ตรงหน้าหล่อนกำลังสอนหล่อนอยู่ เมื่อก่อนเขาไม่ได้ใจเย็นแบบนี้ เสิ่นอีเวยเคยชินกับการที่เขาจะระเบิดอารมณ์หรือการไม่มีความอดทนใดๆแล้วยิ่งมาเจอสถานการณ์แบบนี้หล่อนเลยไม่รู้ว่าจะแสดงออกยังไงดี
เซิ่งเจ๋อเฉิงขับรถมาจนจอดสนิท ทั้งคู่หนึ่งหนึ่งเดินนำหน้าอีกคนเดินตามหลังไปยังห้องรับแขก เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือเปิดไฟในห้องรับแขกตามปกติทว่าตอนที่เขากันหลังกลับไปหาเสิ่นอีเวย ดวงตาเขาแสดงออกถึงความตกใจ ใบหน้าเสิ่นอีเวยไม่มีสี
ตลอดการเดินทางการมองเห็นในรถค่อนข้างสลัวเลยไม่ได้เอะใจถึงเรื่องใบหน้าและแผลที่แขน ตอนนี้ไฟส่องสว่างแล้วถึงได้พบว่าบริเวณลำคอและใบหน้าของเสิ่นอีเวยมีรอยแผลขีดข่วนเล็กบ้างใหญ่บ้างเต็มไปหมดเป็นรอยแผลจากการที่ผู้ชายคนนั้นทุบกระจกแล้วเศษกระจกเหล่านั้นหล่นใส่จนเป็นรอย
เอาเข้าจริงรอยแผลก็ไม่ได้ลึกอะไรมากนักแต่ด้วยผิวที่ขาวเนียนของเสิ่นอีเวยเลยทำให้เลือดที่หยุดแล้วที่ปากแผลนั้นมันยิ่งทำให้ตกใจ
เซิ่งเจ๋อเฉิงมองใบหน้าของเสิ่นอีเวยในใจเริ่มก่อนตัวความรู้สึกที่แตกต่างออกไป เขามองหล่อนที่เฉยชาแล้วพูดออกไป : “เธอนี่ไม่รู้จักเจ็บบ้างหรอ? ดูไม่ออกเลยว่าเธอจะใจกล้ามาก”
เสิ่นอีเวยเบะปากอย่างเยาะๆหล่อนหยิบกระจกที่พกติดตัวตลอดขึ้นมาส่อง : “ก็แค่แผลเล็กๆ ฉันทายาแปบเดียวเดี๋ยวก็ดีขึ้น” พูดจบหล่อนก็มองไปยังห้องด้านบน
กำลังก้าวออกไปได้ก้าวเดียว เสียงเย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงที่มาจากด้านหลังดังขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น”
เสิ่นอีเวยหยุดชะงักหันหัวกลับมองอย่างสงสัยในตัวเขา : “อะไรอีกล่ะ?”
“แผลที่อยู่บนหน้านี่ไม่คิดจะจัดการสักหน่อยหรอ? เธอไม่กลัวว่าจะติดเชื้อหรอ? ” พอเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบประโยคนี้ก็เตรียมเรียกคนให้หยิบกล่องยามาให้ที