สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 72
บทที่ 72 เสิ่นอีเวยถูกเรียกตัวกลับ
สีหน้าเสิ่นอีเวยเขินอายเป็นรอยแดงหม่น ที่เขาพูดก็ถูกอีก : “ตัวเองโกหกเขาแล้วหาข้ออ้างมาดูนิทรรศการจริงๆ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงละสายตาจากเสิ่นอีเวยไปมองฉินโม่แทน ทั้งสองที่เพิ่งจะเริ่มกลับมาดีขึ้นตั้งแต่เรื่องบ้าระห่ำที่เกิดขึ้นในวิลล่าของตระกูลโม่ ขนาดที่เขาทั้งคู่แทบไม่ได้พูดอะไรเลย แต่บรรยากาศชักเย็นยะเยือกขึ้นมาเรื่อยๆ
“คุณฉิน หากผมจำไม่ผิด คุณมีสำนักงานกฎหมายเป็นของตัวเองใช่ไหม? แล้วไงถึงมีเวลาว่างมากที่พาเมียผมมาดูนิทรรศการได้?”
คนที่อยู่ในสถานการณ์ตอนนั้นได้ยินสิ่งที่เซิ่งเจ๋อเฉิงถึงกับตะลึงพึงเพลิด ที่แท้สตรีที่สวยที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้คือภรรยาของเซิ่งเจ๋อเฉิง เรื่องที่เกิดขึ้นดูเหมือนไม่ค่อยถูกต้องเท่าที่ควร
หลังจากฟังเซิ่งเจ๋อเฉิงพูดจบ ใจเสิ่นอีเวยเกิดเครียดขึ้นมา หล่อนหันไปทางฉินโม่เพื่อจะพูดแทนเขา แต่ฉินโม่อ้าปากพูดก่อน : “ท่านประธานเซิ่งก็พูดติดตลกไปได้ ปกติแล้วผมไม่ได้ยุ่งอะไรมากมาย คุณเสิ่นเป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบชุดแต่งงานของบริษัทเซิ่งซื่อมาดูงานนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับสายงานก็ไม่เห็นผิดอะไรมากไปมั้ง?”
ใจของเสิ่นอีเวยเต้นตุ๊บตับอย่างบ้าคลั่ง ตอนนี้สิ่งที่เธอกลัวไม่ใช่ว่ากลัวตัวเองจะขายหน้าต่อหน้าคนอื่นเยอะแยะแบบนี้ แต่สิ่งที่เธอกลัวคือกลัวว่าฉินโม่จะพลอยรับกรรมต่อไปด้วย
เหล่านักธุรกิจที่มากับเซิ่งเจ๋อเฉิงดูสถานการณ์ออกเลยอยากจะหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงจากสถานการณ์ทนี้ แต่ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับอ้าปากพูดออกมาตรงๆในตอนนั้น : “ขออภัยด้วย ตอนนี้ผมมีเรื่องที่ต้องจัดการ รบกวนทุกท่านเดินดูงานได้ตามสะดวก”
พวกเขาเข้าใจและหลบออกไปด้านข้างๆ
เสิ่นอีเวยเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้ารู้ว่าตัวเองควรก้าวออกไปข้างหน้าเพื่อพูดอะไรบ้าง แต่ตอนนั้นเซิ่งเจ๋อเฉิงกลับดึงมืออย่างแรงทำให้หล่อนที่ตัวเล็กและอ่อนแอรับไม่ไหว
สายตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงช่างอึมครึมดั่งทะเลในยามค่ำคืน : “เสิ่นอีเวย เธอกล้าโกหกฉัน?”
ฉินโม่ที่อยู่ข้างๆมองตามมือเซิ่งเจ๋อเฉิงที่ใช้แรงดึงมือเสิ่นอีเวย สีหน้าเขาเปลี่ยนทันที เขาก้าวขึ้นมาด้านหน้าแล้วจับที่แขนของเซิ่งเจ๋อเฉิงไว้และส่งสายตาที่ทอประกายความเคร่งขรึมออกมา
ในขณะนั้นกลับเงียบสนิทหากมีเข็มตกลงมาก็คงได้ยินได้อย่างชัดเจน
เสิ่นอีเวยตกใจแล้วเรียกถาม: “เซิ่งเจ๋อเฉิงนี่คุณทำอะไร?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงไม่ได้สนใจเสิ่นอีเวยเลย เขาหันไปทางฉินโม่ : “ปล่อย”
แม้ว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงชอบสร้างบรรยากาศให้คนเขากดดัน แต่ฉินโม่ก็ไม่ใช่คนที่จะมีท่าทีเกรงกลัวใครเลย เขาตอบ : “ในงานแบบนี้ ท่านประธานเซิ่งคงไม่ควรลงมือกับภรรยาของตัวเองใช่ไหม?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงยิ้มอย่างเย็นยะเยือก : “คุณก็พูดเกินไป ฉันก็แค่ต้องการพาเธอกลับเท่านั้นไม่ได้คิดจะลงไม้ลงมือกับเธอเลย”
เสิ่นอีเวยไม่รู้จะทำยังไงดีกับผู้ชายสองคนที่กำลังถกเถียงกันอยู่ข้างหน้าหล่อน
สายตาฉินโม่เริ่มแข็งกร้าว : “แต่ว่าคุณเสิ่นยังดูนิทรรศการไม่เสร็จเลยไม่สามารถกลับไปได้”
เซิ่งเจ๋อเฉิงหัวเราะร่า เขามองเดินเข้าไปใกล้ฉินโม่อีกนิดแล้วจ้องมองตาของเขา : “คุณฉินควรน่ารู้ดีว่าผมเป็นสามีเสิ่นอีเวยที่ถูกต้องตามกฎหมาย ตอนนี้ผมมีธุระที่ต้องการคุยกับหล่อนสักหน่อย ทำไมหรือผมไม่มีมีสิทธิ์พาหล่อนไปหรอ?”
สายตาของฉินโม่กระตุกนิดๆ ขนาดเซิ่งเจ๋อเฉิงเอาสิทธิ์ของการเป็นสามีมากล่าวอ้าง เขาก็ไม่มีปัญญาแล้ว
“งั้น ก็เอาสิทธิ์ให้คุณเสิ่นแล้วกันดูว่าหล่อนจะยอมอยู่ที่นี่เพื่อดูนิทรรศการต่อหรือจะยอมกลับไปกับคุณ”
น้ำเสียงของฉินโม่ช่างเยือกเย็นแต่การพูดยั่วยุนั้นแสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจน
เสิ่นอีเวยถึงกับเครียดกับปัญหาที่มาตกอยู่ที่ตัวหล่อน แต่ไม่มีวิธีไหนแล้วเพราะตอนนี้ไฟลามทุ่งเข้ามาแล้ว ไม่ว่าจะเลือกอย่างใดมันก็ดีกว่าเขาสองคนมาทะเลาะกันที่นี่
ตอนที่เสิ่นอีเวยกำลังครุ่นคิดหล่อนกลับรู้สึกว่าร่างกายของตัวเองเอนไปด้านหน้าแล้วเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดที่มีกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆอันคุ้นเคยคละฟลุ้งไปทั่ว นั่นเป็นกลิ่นของเซิ่งเจ๋อเฉิง
เมื่อครู่เซิ่งเจ๋อเฉิงผลักมือฉินโม่ออกไปและตอนนั้นทำให้เสิ่นอีเวยถลาเข้ามาในอ้อมกอดของตัวเอง หัวของเสิ่นอีเวยไปชนเข้ากับหน้าอกอันแข็งแกร่งของเขาเข้าอย่างจัง ตอนนี้หล่อนรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา
ยังไม่ทันรอที่จะให้หล่อนตั้งตัวได้ทัน แขนของหล่อนก็ถูกเขาจับแน่นเหมือนว่าผู้ชายคนนี้ใช้พลังที่มีจับหล่อนไว้ทั้งหมด เจ็บจนทำให้หล่อนแยกเขี้ยวเคี้ยวฟัน : “คุณทำอะไร ปล่อยฉัน!”
มือข้างหนึงก็เลื่อนลงและอ้อยอิ่งอยู่ที่เอวคิดของเสิ่นอีเวย ส่วนมืออีกข้างก็จับไปที่ท้ายทอยเข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
การกระทำที่คุ้นเคยแบบนี้มันทำให้ในใจของเสิ่นอีเวยรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่
มุมปากเซิ่งเจ๋อเฉิงช่างยั่วยุและน้ำเสียงหัวเราะแล้วพูดอย่างเยือกเย็น: “ผู้หญิงของผมทำผิด ผมยังจะต้องให้สิทธิ์ในการให้เธอมีสิทธ์ในการเลือกอีกหรอ?”
พูดจบ เสิ่นอีเวยรู้สึกลมหายใจอันอบอุ่นบริเวณริมฝีปากตัวเองที่ถ่ายทอดออกมา หล่อนตกใจได้แต่ทำตาค้าง ใบหน้าของเซิ่งเจ๋อเฉิงใกล้เข้ามาทุกที
เสิ่นอีเวยโกรธจนอายแทบแทรกผิดดินหนีหล่อนไม่เคยอายแบบนี้มาก่อนเลย หล่อนหันหลังให้ฉินโม่เลยมองไม่เห็นใบหน้าของเขา!
จุมพิตดุเดือดของเซิ่งเจ๋อเฉิงทำให้หล่อนแทบหายใจไม่ได้ หล่อนอยากผลักเขาออก แต่เซิ่งเจ๋อเฉิงแทบไม่ขยับ ตอนที่หล่อนรู้สึกว่าลมหายใจในปอดถูกดูดจนหมดนั่นแหละ เขาถึงได้ปล่อยตัวหล่อน
ใบหน้าและหูกลายเป็นสีแดงระเรื่อ สิ่งที่คิดได้คือหันกลับมามองฉินโม่ สายตาเขาช่างเยือกเย็น เสิ่นอีเวยไม่เคยรับรู้มาก่อนว่าคนที่เรียบร้อยดั่งผ้าพับไว้อย่างเขาจะมีด้านที่ทำให้คนกลัวได้
เซิ่งเจ๋อเฉิงกอดประคองเสิ่นอีเวยไว้แน่นแถมส่งสายตายั่วยุไปหาฉินโม่ช่างเหมือนกับกษัตริย์ที่ประกำลังประกาศอำนาจของตัวเองอยู่
“ฉินโม่ ฉัน” เสิ่นอีเวยอ้าปากอย่างร้อนรน หล่อนต้องการอธิบายอะไรบางอย่าง
วินาที่ต่อมา เสิ่นอีเวยถูกพละกำลังมหาศาลดึงไปด้านหน้า เหมือนว่าหล่อนถูกเซิ่งเจ๋อเฉิงลากจูงให้เดินไปด้านหน้า
ที่นี่คือลานจอดรถ บรรยากาศโดยรอบเงียบสงบไม่มีคนสักคน
เซิ่งเจ๋อเฉิงลากหล่อนมาด้วยความเดือดดาลและเปิดประตูรถแถมผลักเธอเข้าไปยังที่นั่งข้างคนขับอย่างแรง: “นี่คุณจะทำอะไร!”
ร่างกายของเขาทั้งตัวเอนเข้ามา ตัวเสิ่นอีเวยถูกบีบบังคับให้นั่งตรงสุดเบาะ : “เธอไม่ใช่บอกว่าวันนี้จะไปเยี่ยมเพื่อนไม่ใช่หรอ? ไปเยี่ยมเพื่อนแบบนี้หรอ?”
ที่นี่เป็นชั้นใต้ดินชั้นที่สอง เมื่อประตูและหน้าต่างรถปิดลงทุกอย่างเงียบสนิท นอกจากอารมณ์โกรธของเซิ่งเจ๋อเฉิงแล้วเสิ่นอีเวยยังได้ยินเสียงเส้นเลือดในสมองตัวเองที่กำลังเต้นอยู่
ยิ่งคิดเรื่องแย่ๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ เสิ่นอีเวยเริ่มมีอารมณ์โมโหขึ้นมา : “ถ้าคุณอนุญาตให้ฉันลางานได้ตั้งแต่แรก ฉันคงไม่ต้องสร้างเรื่องแบบนี้หลอกคุณหรอก?”
เซิ่งเจ๋อเฉิงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางเสิ่นอีเวยขึ้นมา สายตาเปล่งแสงอันตรายอย่างชัดเจน : “แต่เธอก็ไม่ได้อยากพูดความจริงกับฉันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ใช่มั้ย? งั้นไม่ใช่ว่าเธอวางแผนอะไรที่ไม่ดีไว้ในใจแล้วหรอ?”
เสิ่นอีเวยจ้องตาเขาอย่างโกรธเคือง : “ไม่ คุณพูดผิดแล้วแหละ ใจฉันไม่ได้มีใคร! เป็นคุณนั่นแหละ ฉันอธิบายไปตั้งหลายรอบแล้วว่าฉันกับฉินโม่เป็นเพื่อนกันตอนเรียนมหาวิทยาลัย ทำไมคุณไม่เชื่อฉันเลย!”