สามีเก่าอ้อนรัก - ตอนที่ 86
บทที่ 86 ถูกช่วยไว้กลางทาง
เสิ่นอีเวยเงยหน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ
หล่อนเห็นใบหน้าที่เย็นชาของเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังมองมาที่หล่อน นัยน์ตาไม่มีเยื่อใยใดๆ วินาทีต่อมาเขาพยักหน้า ก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว เหมือนจะหลีกทางให้เสิ่นอีเวย
ความหวังภายในใจหล่อนดับวูบลงนี่เขาเห็นด้วยกับสองคนนั้นยอมให้หล่อนเชิญพวกเขาดื่มจริงๆเหรอ ที่แท้เมื่อคืนที่เขาพูดว่าให้หล่อนเตรียมตัวรับมือกับสิ่งที่แตกต่างออกไปหมายถึงเรื่องนี้เองเหรอ เขาใช้วิธีสกปรกแบบนี้เพื่อทำให้หล่อนอับอายอย่างนั้นเหรอ
ผู้ชายสองคนนั้นเห็นได้ชัดว่าท่าทีของเซิ่งเจ๋อเฉิงยอมตามที่พวกเขาต้องการดังนั้นจึงได้ใจรีบยิงคำถามมาที่หล่อนทันที “มาดามไม่เข้าใจความหมายของท่านประธานเซิ่งเหรอครับ รีบมารินไวน์ให้พวกเราสิครับ ”
เสิ่นอีเวยมองพวกเขาอย่างโกรธแค้นแต่ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ ตอนนั้นเองเสียงของเซิ่งเจ๋อเฉิงก็ดังขึ้นที่ข้างหูหล่อน “ไปสิ ไปรินไวน์”
หล่อนคิดว่าหล่อนคงหูฝาดไปเสียแล้ว หล่อนมองไปที่เซิ่งเจ๋อเฉิงอีกฝ่ายกลับไม่มีท่าทีที่จะช่วยหล่อนแต่อย่างใด
แก้วและขวดไวน์จึงถูกยัดเยียดใส่มือหล่อน ประธานหวางที่นั่งอยู่ข้างๆจึงใส่ไฟเข้าไปอีกว่า “ดูเหมือนว่ามาดามจะไม่ค่อยเชื่อฟังคำพูดคุณเท่าไหร่นะ”
อีกด้านสวี่อันฉิงก็เริ่มพูดขึ้นมาเช่นกัน “มาดามถึงแม้ว่าคุณจะมีอะไรที่ไม่พอใจ แต่ตอนนี้เรากำลังพูดคุยธุรกิจกันอยู่ คุณก็ควรจะเห็นแก่ส่วนรวมนะคะ”
เสิ่นอีเวยบีบขวดไวน์ในมือแน่น แน่นจนเหมือนจะให้มันแตกคามือของหล่อน หล่อนเดินไปทางเซิ่งเจ๋อเฉิงสองก้าวช้าๆตอนนั้นหล่อนอยากจะฟาดขวดเหล้าในมือไปที่ผู้ชายสองคนนั้นจริงๆ
มือเรียวเล็กของหล่อนสั่นเทา ในใจเหมือนมีกองเพลิงใหญ่กำลังปะทุอยู่ หล่อนรู้สึกเจ็บปวดเหมือนสมองกำลังจะระเบิดออกมา หล่อนจะต้องแก้แค้น ต้องทำแน่นอน
“เพล้ง”
ขวดไวน์ในมืออยู่ๆก็ตกลงพื้น ส่งเสียงดังเพล้ง สีแดงของไวน์ที่ไหลนองบนพื้นสีขาวสะอาดนั้นเหมือนดอกไม้ที่กำลังเบ่งบาน เสิ่นอีเวยมองหน้าเซิ่งเจ๋อเฉิงอย่างตกใจพร้อมถามเขาว่า “คุณทำบ้าอะไรของคุณ”
เมื่อครู่เซิ่งเจ๋อเฉิงตั้งใจทำให้ขวดไวน์ในมือหล่อนตกลงพื้น
ดวงตาของเซิ่งเจ๋อเฉิงเย็นเยือกประหนึ่งบ้านน้ำแข็ง เสิ่นอีเวยรู้สึกเหมือนหล่อนจะถูกขังให้หนาวตายอยู่ในนั้น ริมฝีปากบางขยับขึ้นเล็กน้อย ในน้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นซ่อนความขุ่นเคืองไว้ไม่มิด “ให้คุณรินไวน์ก็รินไวน์สิ ทำไมคุณถึงร้ายกาจแบบนี้
ร้ายกาจเป็นคำที่เขาใช้กับหล่อนหลังจากที่หล่อนวางยาเขาในคืนวันนั้น นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาใช้คำนี้กับหล่อน ดูท่าทางแล้วคงจะเกลียดหล่อนมากจริงๆ
เสิ่นอีเวยพยายามสะกดกลั้นความปวดร้าวในใจ ฝืนยิ้มออกมา “ใช่ คุณพูดถูก ฉันมันร้ายกาจ ท่านประธานเซิ่งไม่ได้สั่งให้ฉันไปรินไวน์เหรอคะ ฉันจะไปกล้าขัดความต้องการของคุณได้อย่างไร”
สามคนที่นั่งอยู่ข้างๆเห็นสถานการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้นไม่มีใครกล้าพูดอะไร เพราะทุกคนล้วนดูออกว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงโกรธแล้วจริงๆ
สวี่อันฉิงมองสองคนตรงหน้าด้วยสีหน้าสับสน คืนนี้เซิ่งเจ๋อเฉิงให้หล่อนมาที่นี่กับเขา หล่อนเองก็คิดว่าเขาอยากพาหล่อนมาคุยธุรกิจ อุตส่าห์ดีอกดีใจ
พอถึงตอนนี้หล่อนเข้าใจแล้วว่าสาเหตุที่พาหล่อนมาคือต้องการให้เสิ่นอีเวยหึงหวง แต่เมื่อสักครู่หล่อนเห็นเสิ่นอีเวยถูกกลั่นแกล้งให้อับอายแบบนั้น เขาก็ยังคงนิ่งไม่นํ้าสึกรู้สาอะไร เขาคงจะเกลียดแม่นั่นมากจริงๆ หล่อนแอบหัวเราะเยาะอยู่ในใจ
มองทั้งสองคนที่ต่างไม่ยอมลดราวาศอกให้กัน คนเจ้าเล่ห์อย่างประธานหวางก็กลัวว่าวันนี้จะเสียเรื่องจริงรีบเข้ามาปรามทั้งสองไว้ “ประธานเซิ่งอย่าโมโหไปเลย เอาอย่างนี้ดีมั้ย ความเข้าใจผิดมันเกิดจากพวกเรา งั้นให้พวกเราเป็นคนแก้ปัญหาจะดีกว่า คุณไปจัดการธุระคุณเถอะ ผมจะคุยกับมาดามเป็นการส่วนตัวเอง เชื่อผมเถอะว่าผมจัดการเรื่องนี้ได้”
เสิ่นอีเวยเริ่มกังวลขึ้นมา คำพูดของคนๆนี้จุดประสงค์เดียวก็คือต้องการให้เซิ่งเจ๋อเฉิงออกไปจากตรงนี้ เหลือหล่อนไว้คนเดียวลำพัง แน่นอนว่าเป็นแบบนั้นไม่ได้ สองคนนี้ต้องมีแผนอะไรอีกแน่ หล่อนจะต้องออกไปจากที่นี่ตอนนี้
หล่อนพยายามควบคุมสติให้สงบ สะกดกลั้นความเจ็บปวดไว้ “เซิ่งเจ๋อเฉิง เรื่องคืนนี้เป็นเพราะฉันไม่มีความสามารถพอ ดังนั้นจึงไม่อาจทำหน้าที่แทนคุณได้ ฉันว่าคุณควรจะเปลี่ยนคนมาคุยแทนฉัน ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบาย ฉันขอตัวก่อนนะ”
หลังจากพูดจบหล่อนไม่รอให้เขาตอบรับใดๆทั้งสิ้น รีบพุ่งตัวเดินไปยังประตูทันที ไม่ได้สนใจว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงกำลังโกรธมากขนาดไหน
เซิ่งเจ๋อเฉิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ผู้ชายสองคนนั้นก็พุ่งตรงไปคว้าแขนของหล่อนไว้ พร้อมทั้งขู่ว่า “มาดาม คุณจะไปดื้อๆแบบนี้ได้ยังไงกันมีอย่างที่ไหนที่อยู่ๆมาจะมาเปลี่ยนคนกลางคันแบบนี้ ใช่มั้ยประธานเซิ่ง”
เสิ่นอีเวยขัดขืนสุดแรง”พวกคุณปล่อยฉันนะ”
เซิ่งเจ๋อเฉิงเดินมา ใบหน้าเขาถูกเงามืดทาบลงพอดี ทำให้หล่อนมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ได้ยินแต่เพียงคำพูดที่ว่า “เรื่องนี้พวกคุณจัดการกันเองแล้วกัน” น้ำเสียงไร้ซึ่งเยื่อใยใดๆ
พูดจบก็พาสวี่อันฉิงที่อยู่ข้างๆเดินจากไป ไม่ได้หันมาเหลียวแลหล่อนแม้แต่น้อย ก่อนจะไปสวี่อันฉิงยังหันหน้ามาแสดงท่าทีเยาะเย้ยหล่อนอีกด้วย
ตอนนี้เสิ่นอีเวยรู้สึกกระวนกระวายใจมาก หล่อนคิดไม่ถึงว่าเซิ่งเจ๋อเฉิงจะโหดร้ายใจดำขนาดนี้ เมื่อกี้เขาก็เห็นว่าผู้ชายสองคนนี้ทำเลวร้ายกับหล่อนยังไงบ้าง แต่เขาก็ยังทิ้งหล่อนไว้กับพวกเขา
ในช่วงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวนั้นเอง หล่อนก็ถูกกรอกให้ดื่มไปหนึ่งแก้ว หล่อนคิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขาอยู่ๆก็กล้าทำกับหล่อนขนาดนี้จึงไม่ได้เตรียมตัวป้องกันตัวไว้เลย
ของเหลวนั้นไหลลงไปในปากและจมูกของหล่อน เสิ่นอีเวยหันไปมองเซิ่งเจ๋อเฉิงและสวี่อันฉิงที่เดินลับหายไปความเจ็บปวดโกรธแค้นในใจทวีมากยิ่งขึ้น
เพราะสุราที่ดื่มนั้นค่อนข้างแรง ทำให้ในกระเพาะของหล่อนรู้สึกได้ถึงความร้อนวูบวาบ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีความผิดปกติอะไรถึงทำให้ภายในร่างหล่อนเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มไปหมด
หล่อนเป็นคนคออ่อน อยู่ในระดับที่สามแก้วก็สลบ ดังนั้นเวลาไปไหนไม่ว่าใครจะโน้มน้าวชักชวนให้หล่อนดื่มยังไงก็ไม่เป็นผล วันนี้ปริมาณแอลกอฮอล์ที่หล่อนดื่มเข้าไปรวมๆกันแล้วก็ไม่น้อย
หล่อนเองก็รู้ตัวดีว่าแทบจะไม่ได้สติแล้ว
ผู้ชายสองคนประคองร่างของหล่อนไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดิน ระหว่างทางหล่อนก็พยายามขัดขืนแต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ
“แทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวอีกสักครู่พวกเราจะทำให้คุณรู้สึกสบายจนบอกไม่ถูกเลย”
“พลัก”
เสิ่นอีเวยถูกโยนลงไปที่เบาะด้านหลัง ด้านหลังถูกกระแทกจนเจ็บปวดแต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจเพราะสมองหล่อนนั้นไม่มีสติที่จะสั่งการเรื่องอะไรได้อีกแล้ว
ในขณะที่กำลังชุลมุนอยู่นั้น ก็เกิดเสียงชนปะทะดังขึ้น
“แม่งเอ๊ย ใครมันตาบอดวะ” ประธานหวางที่กำลังขับรถอยู่สบถออกมา ประธานเฝิงที่นั่งอยู่ข้างๆส่งสีหน้าบ่งบอกว่าให้เขาหยุดด่าได้แล้ว
ทั้งสองลงจากรถมาดู รถยนต์เบนท์ลีย์สีดำจอดขวางอยู่ที่หน้ารถของพวกเขา
ยิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมาดู ชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเบาะคนขับสีหน้าเย็นชากำลังมองพวกเขาลอดกระจกใสออกมา
แววตานั้นเองที่ทำให้ทั้งสองหวาดกลัวตกใจจนแทบพูดไม่ออก “ประธานเซิ่ง พวกเรามีตาหามีแววไม่ รถของคุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ยครับ