สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 159
บทที่ 159 เริ่มเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที!!
ท่ามกลางการรอคอยของหลายคนนั้น เฉินเป่ยบ่นงึมงำ เสียงยิ่งเบาลงเรื่อยๆ ขนาดพวกหลีชิงเยียนตั้งใจป้องหูฟังแล้ว ก็ไม่ได้ยินว่าเขาพูดอะไรออกมาอีก
“อะไรนะ?” หลีชิงเยียนหน้านิ่ง ดวงตาทอประกาย เวลาสำคัญ แต่เธอกลับฟังไม่ชัด!
เวลานั้นเอง ไอรีนดึงตัวเธอเอาไว้ พร้อมทั้งพูดอธิบาย “ตัวยาเวอริตาเซรัมมันทำให้คนที่สติเลือนรางพูดความจริงออกมาจากสิ่งที่อยู่ก้นบึ้งหัวใจ โดยไม่คำนึงถึงคำตอบ”
ซูเหลยคิดแล้วคิดอีก จนต้องเอ่ยปากถาม “คุณเป็นคนหัวเซี่ยหรือเปล่า?”
“ใช่”
ไอรีนสีหน้าเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปจนเหมือนความสงสัย เลยหลุดปากพูดไป “เป็นไปไม่ได้ เทคโนโลยีการรู้จำม่านตา (Iris recognition) ก็บอกว่าเขาไม่ใช่คนหัวเซี่ย นี่ มันจะเป็นไปได้ยังไง!”
“งั้นที่คุณมาที่เมืองหู้ไห่มีจุดประสงค์อะไร?” ซูเหลยถามต่อ
“คุ้มครองบ้านหลี คุ้มครองชิงเยียน” คำพูดของเฉินเป่ยทำให้สีหน้าหลีชิงเยียนสับสน คุ้มครอง…บ้านหลีกับเธอ เขาจะคุ้มครองยังไง?
เขาก็แค่ลูกเขยที่แต่งเข้าบ้าน คนไม่น้อยก็เรียกเขาว่าไอ้เศษสวะ พูดเรื่องคุ้มครองเหรอ? ไม่สร้างเรื่องให้เธอก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ซูเหลยขมวดคิ้ว หลังจากที่ใช้ตัวยาเวอริตาเซรัมแล้ว พวกเธอก็ไม่ถามเรื่องสำคัญอะไร
“ใครเป็นคนสั่งให้มา?”
“ฉันมีพวกเป็นของตัวเอง สั่นสะเทือนไปทั้งวงการต่างประเทศ ไม่จำเป็นต้องฟังคนคอยออกคำสั่ง” คำพูดของเฉินเป่ย มันยิ่งทำให้พวกหลีชิงเยียนสีหน้าเปลี่ยนไปอีก
“ไม่ต้องฟังคำสั่งจากใคร…” ซูเหลยพูดเองเออเอง เธอไม่คิดเลยว่าเฉินเป่ยจะพูดคำพูดนี้ออกมาได้ จนใจเธอสั่นเทา
“เป็นไปไม่ได้ ในต่างประเทศ ไม่มีคนหัวเซี่ยที่มีชื่อเสียงโด่งดังกระฉ่อนในระดับต่างประเทศ เขากำลังพูดมั่วซั่ว” ไอรีนส่ายหน้าไปมา
ส่วนหลีชิงเยียนก็ดำดิ่งถลำลึก ดวงตางดงามของเธอเอาแต่จับจ้องเฉินเป่ย แล้วพูดว่า “พวกคุณใช้ยาเวอริตาเซรัมไปแล้วไม่ใช่เหรอ?”
ซูเหลยพยักหน้าให้ “แต่ตัวจนของเขามันไม่ได้มีส่วนใดเกี่ยวข้องกับต่างประเทศเลย ผู้มากฝีมือในต่างประเทศนับไม่ถ้วน แต่ถ้าเขามีความสามารถตรงนี้จริงๆ แล้วทำไมต้องมาเกาะเมียกินด้วย”
“งั้นก็พูดได้ว่า ตัวยาเวอริตาเซรัมไม่มีประโยชน์อะไร ที่เขาพูดเพ้อออกมาก็แค่เมาเท่านั้นเอง?” หลีชิงเยียนปาดเหงื่อ …ท่าทางหมดคำพูดแล้ว!
ไอรีนจ้องเฉินเป่ยตาเขม็ง จนหัวคิ้วขมวดเป็นปม “บางที่…ยาเวอริตาเซรัมก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย เพราะยังเป็นสินค้าในห้องทดลองของประเทศอังกฤษ”
ซูเหลยได้แต่ถอนหายใจ หลีชิงเยียนมองไปทางซูเหลย ซูเหลยพูดด้วยความรู้สึกเก้อเขิน “เอ่อ…ท่านประธานหลี”
สีหน้าซูเหลยร้อนผ่าว เพราะว่าก่อนหน้าว่าเธออุตส่าห์คุยโม้โอ้อวดกับหลีชิงเยียนเป็นอย่างดี ว่าครั้งนี้ ต้องรู้ตัวตนที่แท้จริงของเฉินเป่ยได้แน่นอน
ซูเหลยเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ อยากจะหาพรมสักผืนแล้วมุดหน้าหนี
อุตส่าห์จัดฉากละครซะใหญ่โต เพื่อให้เฉินเป่ยหลงกล พวกเธอใช้ความคิด ผลลัพธ์ที่ได้มานั้น เหมือนตะกร้าไม้ไผ่เอาไปตักน้ำไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือมาเลย
หลีชิงเยียนถอนหายใจยาว พร้อมทั้งเหล่ตามองเฉินเป่ย แล้วพูดขึ้นมา “พอแล้ว”
ทันใดนั้น หลีชิงเยียนก็เหมือนว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ เลยหันไปถามเฉินเป่ย “คุณเกลียดหลีชิงเยียนไหม?”
“ไม่ได้เกลียด เธอเป็นเมียผม จะให้ผมทำอะไรได้หมด เมียพูดว่าอะไรก็ถือว่าถูกต้องทั้งหมด”
เฉินเป่ยบ่นพึมพำ จนสีหน้าหลีชิงเยียนตกตะลึง คำพูดของเฉินเป่ย มันอยู่เหนือคาดการณ์ที่เธอคิดเอาไว้
วินาทีนั้น ในใจของหลีชิงเยียน ราวกับมีส่วนที่อ่อนโยนถูกสัมผัสแล้ว
หลีชิงเยียนทำหน้าตาย แล้วพูดว่า “หิ้วเขาไปที่รถเถอะ”
ใครก็มองไม่เห็นหรอกว่า เฉินเป่ยที่ทำท่าเมาหัวทิ่มหัวตำนั้น ในเวลานี้ มุมปากกลับกระตุกยิ้มแทน…
…………
ตอนบ่าย คฤหาสน์บ้านหลี ตอนที่เฉินเป่ยลืมตาขึ้นมา ก็พบว่าตนเองเอนหลังในห้องนอนของตนเอง ไม่รู้ว่าเสื้อผ้าของตนเองถูกถอดออกไปตอนไหน เขายังได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญิงสาวบนผ้าห่มอยู่เลย
เฉินเป่ยโดนเอาตัวมาที่ห้องนอน ก็นอนหลับไปซะสนิท
เฉินเป่ยได้กลิ่นหอมที่ยังติดอยู่บนผ้าห่ม เป็นกลิ่นหอมเย็นๆ ของน้ำหอมดอกกล้วยไม้งาม ทันใดนั้นสมองก็ปรากฏภาพใบหน้าที่ทื่อแข็งเย็นชา แต่ว่าเป็นใบหน้าที่งดงามหาคนเทียบเคียงได้
เฉินเป่ยตกใจเล็กน้อย… ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ที่ร้านอาหาร ตอนที่หลีชิงเยียนแสดงอาการเจตนาต้องการจะฆ่าเขา แต่พอกลับมาที่ห้องนอน กลับกลายมาเป็นเธอที่ดูแลตนเองหรือนี่?
สีหน้ามึนงงของเฉินเป่ยแสดงอาการไม่อยากจะเชื่อ แต่ว่าบนผ้าห่มยังมีกลิ่นหอมเย็นๆ ติดอยู่ นี่เป็นของหลีชิงเยียนชัดๆ
หลังจากที่เฉินเป่ยเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้ว ก็เดินออกจากห้องนอน เดินลงจากชั้นสอง ก็เห็นว่าหลีชิงเยียนกำลังนั่งบนโซฟาดูทีวีกับซูเสี่ยวหยุน
“ตื่นแล้วเหรอ?” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มให้
เฉินเป่ยพยักหน้าให้ เขามองมาทางหลีชิงเยียน แต่หลีชิงเยียนทำเหมือนไม่ได้ยินสิ่งที่ซูเสี่ยวหยุนพูด แถมยังนั่งตั้งตาดูทีวีอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เขาก็ตื่นแล้วทำไมแกไม่สนใจไยดีเลยสักนิด?” ซูเสี่ยวหยุนผลักหลีชิงเยียนเล็กน้อย
หลีชิงเยียนได้แต่ส่งเสียงงึมงำแบบไม่สบอารมณ์กลับไป “เขาตื่นแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉัน ก็แค่คนสารเลวคนหนึ่ง มันคุ้มค่าตรงไหนกันที่จะต้องมาคอยสนใจ”
“โอ้โห แกยังมีหน้าพูดแบบนี้อีก เขาเมาแอ๋ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนคอยถอดเสื้อผ้าให้เขาแล้วคอยห่มผ้าให้เขากัน” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มอ่อนๆ ให้ พร้อมทั้งพูดเรื่องนั้นอย่างมีความหมายเป็นนัยน์
เฉินเป่ยมองไปทางหลีชิงเยียน ดวงตาร้อนผ่าว ใจเต้นไม่เป็นจังหวะ…คำพูดของซูเสี่ยวหยุนก็สามารถรับประกันความจริงที่เฉินเป่ยคาดเดาได้ ว่าหลีชิงเยียนเป็นคนดูแลเขาจริงๆ!
เฉินเป่ยตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก แถมพูดอย่างเสียงสั่น “ท่านประธานหลี คุณ…”
“ทำไม? ฉันก็เห็นว่าคุณเหมือนคนตายก็แค่ทนเห็นสภาพแบบนั้นไม่ไหวเท่านั้นเอง คุณอย่าคิดเลยเถิด” หลีชิงเยียนลุกขึ้นยืน หลังจากทิ้งประโยคนั้นไว้ ก็หายวับไปตรงประตูคฤหาสน์
“เอ่อ…” เฉินเป่ยมองแผ่นหลังที่งดงามของหลีชิงเยียน จนบ่นพึมพำออกมา “ก็แค่ยอมรับหน่อยมันยากมากหรือไง ไม่ได้จะตายสักหน่อย….”
“ไม่ต้องไปสนใจเธอ เธอเป็นพวกปากร้ายแต่ใจดี ถ้าไม่ได้เป็นห่วงแก เธอก็คงไม่นั่งเฝ้าแบบนี้หรอก” ซูเสี่ยวหยุนพูดเสริม “แกตื่นแล้วนี่ เธอต้องกลับไปที่บริษัท ยังไม่รีบตามอีก รถจอดอยู่ด้านนอก”
เฉินเป่ยไม่คิดลังเลเลย รีบวิ่งออกไปจากตัวคฤหาสน์อย่างรีบร้อน ที่แท้ หลีชิงเยียนก็นั่งอยู่ที่เบาะด้านหลังรถ กำลังรอให้เขาขับรถอยู่นี่เอง
เฉินเป่ยสอดตัวเข้าไปในตัวรถ จากนั้นก็เหยียบคันเร่ง แล้วก็ขับขี่มายบัคทะยานออกไป…
…………
อาคารตระกูลหลี ด้านในห้องทำงานของซูเหลย ไอรีนกอดอก แล้วยืนอยู่ด้านข้างหน้าต่างจรดพื้น สายตามองออกไปยังชุมชน CBD ที่อยู่ด้านนอกหน้าต่าง หัวคิ้วผูกเป็นโบ
“เขาต่อกรยากกว่าที่ฉันจินตนาการเอาไว้” ไอรีนพูด
สีหน้าเงียบขรึมของซูเหลย ไอรีนเป็นถือสายลับอันดับต้นๆ สร้างประโยชน์เพื่อหัวเซี่ยมามากมาย ขนาดเธอเองยังรู้สึกยากที่จะจัดการ!
ผู้ชายที่ดูชอบดูหมิ่นดูแคลนอย่างเต็มเปี่ยม เป็นเพียงแค่ลูกเขยที่แต่งเข้ามาอยู่ในบ้านผู้หญิงธรรมดาใช่ไหม?
การที่ซูเหลยร่วมมือกับไอรีนนั้น ไม่เคยได้ความลับใดๆ จากตัวของเฉินเป่ยเลย แต่กลับถูกตอกหน้ากลับแทน จนทำให้พวกเธอสองคนไม่สามารถสู้หน้ารับปากอะไรกับหลีชิงเยียนได้ ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของไอรีนก็มีเสียงเรียกเข้า ไอรีนควักโทรศัพท์เหมาะมือเครื่องเล็กๆ ออกมาเครื่องหนึ่งจากกระเป๋า ใบหน้าเริ่มแสดงออกอาการเปลี่ยนไป! พร้อมทั้งฉายแววตาสงสัยออกมา!
“โทรศัพท์เครื่องนี้…” ซูเหลยเคยเห็นโทรศัพท์เครื่องนี้ของไอรีน รูม่านตากดตัวลง….เธอลุกขึ้นยืนอย่างรู้ความหมายทันที สีหน้ามั่นคงหนักแน่น “เธอรับโทรศัพท์ก่อน”
ซูเหลยเดินออกจากห้องทำงาน พร้อมทั้งสูดลมหายใจเข้าออกสับสน เพราะว่าโทรศัพท์เครื่องนั้น มันทำให้ความรู้สึกในใจของเธอถูกตีขึ้นมาเป็นระลอก!
เพราะว่า…เธอเองก็เคยมีโทรศัพท์แบบนี้ที่เหมือนกันทุกอย่างเครื่องหนึ่ง…ตอนที่เธอรับงาน โทรศัพท์เครื่องนั้นยามเมื่อดังขึ้น ต้องรู้ทันทีว่ามีภารกิจใหม่เกิดขึ้นแล้ว!
ด้านในห้องทำงาน ไอรีนรับโทรศัพท์ ก็มีน้ำเสียงทุ้มลึกจากปลายสาย “เบื้องบนให้คำสั่งระดับหนึ่งลงมา คุณชายใหญ่ของตระกูลหลีเข้าเมืองหู้ไห่อย่างไม่เป็นทางการ พวกเราต้องคุ้มกันให้เขาปลอดภัย … ฉันออกคำสั่ง รีบมายังเมืองหู้ไห่ทันที”
“รับทราบ!” ไอรีนสีหน้าเปลี่ยนไป นัยน์ตาดุดัน นิสัยอ่อนหวานที่อยู่บนตัวเธอ กลับเป็นความดุดันมาแทนที่แทน! วินาทีนั้น เธอไม่ใช่เทพธิดาที่ใครหลายคนปรารถนาอีกต่อไป เธอก็เหมือนกับใบมีดที่แหลมคม ที่สามารถเป็นอาวุธในการทิ่มแทงหัวใจของคนฝ่ายตรงข้ามได้อย่างดุดัน!
คุณชายใหญ่ของตระกูลหลี ก็คือหลีเช่าหง! ไอรีนกลายเป็นสายลับเฉพาะกิจในเวลานี้ และยังเคยได้ยินบุคคลท่านนี้…เป็นดาวดวงใหม่ในวงการการเมือง! อายุยังน้อยก็ได้รับภาระหนักหน่วง…เป็นบุคคลที่อายุยังน้อยที่เข้ามาเป็นผู้นำ!
ไอรีนไม่คิดเลยว่า เธอจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับหลีเช่าหง มีโอกาสได้ทำงานให้ นี่มันเป็นความโชคดีครั้งแรกของเธอเลย!
ซูเหลยรออยู่ตรงประตูห้องทำงานอยู่สักครู่ จากนั้นไอรีนก็เปิดประตูห้องทำงาน ซูเหลยถึงได้เดินกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง
“มีอะไร? มีภารกิจใหม่เหรอ?” ซูเหลยถามไถ่
ไอรีนพยักหน้าให้ “รอให้เจ้านายของฉันมาถึงเมืองหู้ไห่ ฉันก็ต้องไปทำภารกิจแล้ว”
ซูเหลยย่นคิ้ว สีหน้าดูผิดหวังเล็กน้อย “งั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอ?”
ไอรีนส่ายหน้าไปมา
…………
รถเก๋งหงฉีกำลังขับเคลื่อนอยู่บนท้องถนน
ทุกทิศทุกทางรอบตัวรถเก๋งหงฉีนั้น ก็มีรถเก๋งสีดำประกบขนาบอยู่ และขับเคลื่อนโดยใช้ความเร็วไปพร้อมกับรถหงฉี และคอยอารักขาความปลอดภัยของรถหงฉีอย่างเงียบๆ
ถ้ามีนักฆ่าปรากฏตัวขึ้น รถเก๋งสีดำพวกนี้ ก็จะเปิดถนนเส้นความปลอดภัยให้กับรถหงฉี!
ด้านในตัวรถเก๋งหงฉี ถังโหรวกับกำลังพูดกับถังเต๋ออย่างภาคภูมิใจ “คุณปู่ อีตาเฉินเป่ยนั่น ตอนนี้ก็คงร้องไห้ฟูมฟายอยู่แน่ๆ”
ถังเต๋อถอนหายใจ ได้แต่ยิ้มอย่างเหลือทน “เขามีบุญคุณใหญ่หลวงกับตระกูลถัง ถึงเวลานั้นฉันไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเขาว่ายังไงดี”
“อธิบายอะไร ผู้ชายสารเลวแบบนี้” ถังโหรวเบะปากให้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงแสบแก้วหูมาจากทางด้านหลังรถอยู่ไกลๆ!
ด้านในรถ ก็มีเสียงดุดันของบอดี้การ์ดที่ดังออกมาจากวิทยุสื่อสาร “รายงาน ด้านหลังมีบุคคลที่ไม่ทราบความเป็นมากำลังพยายามรุกล้ำเข้ามา!”
“ขวางเอาไว้ เล็งเป้าแล้วฆ่าทิ้งซะ!”
ด้านหลังรถหงฉี รถเก๋งสีดำพยายามขับช้าลงทันที แล้วจัดการหมุนไม่หยุด เพื่อจะทำให้ถนนเส้นนี้เป็นอัมพาตไปแทน
แต่ว่าในเวลานั้นเอง ก็มีรถบิ๊กไบค์คันหนึ่งพุ่งทะยานเข้ามาแต่ไกล… สีหน้าของเฉินเป่ยเย็นยะเยือก พร้อมทั้งอาการความเชือดเฉือนอย่างเต็มเปี่ยม
“โครม!”
เฉินเป่ยเร่งเครื่อง ระหว่างความแคบของรถเก๋งสีดำสองคันที่คั่นอยู่ แล้วใช้ความเร็วดั่งสายฟ้าฟาดลงมาข้ามทะยานผ่านไป!
“เก่งมากจริงๆ!”
ถังโหรวตกใจจนเผลอหลุดพูดออกมา เพราะว่านี่เป็นเทคนิคที่ไม่สามารถทำได้ แต่กลับสำเร็จได้อย่าง่ายดาย!
เฉินเป่ยเคยลงแข่งในสนามการแข่งขันรถบิ๊กไบค์ระดับนานาชาติมาแล้ว ความห่างเป็นมาแบบนี้ ไม่รู้ว่าทำให้นักแข่งบาดเจ็บทรมานอย่างหนักไปอยู่ไม่น้อย!
ส่วนเฉินเป่ยนั้น ไม่ได้สนใจสักนิด
“ระวัง! ระวัง! เป้าหมายเข้าใกล้หงฉี คุ้มกันความปลอดภัยให้หงฉี!”
น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นที่พูดกับวิทยุสื่อสารเสียงดังกึกก้อง รถเก๋สีดำที่รายล้อมรถหงฉีอยู่แต่ละคันเริ่มหักหัวรถกลับ เพื่อขวางรถบิ๊กไบค์คันนั้น เหมือนกำลังเผชิญหน้ากับฝ่ายศัตรูตัวฉกาจ