สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 177
บทที่ 177 ว่าด้วยเหตุผลหน่อยสิ!
ชิงเหนียนเบะปาก เหมือนไม่เห็นว่าการดูถูกและการพร่ำบ่นของหยางเหวินห้าว
ชิงเหนียนเอาของเหลวสีม่วงหนึ่งขวดออกจากพัสดุ จากนั้นก็ค่อยๆ จากไป แล้วทิ้งท้ายด้วยคำๆ เดียว “คืนนี้ไปร่วมงานเลี้ยงการกุศลกับผม คุณก็จะรู้เอง”
“เหอะ” หยางเหวินห้าวแสยะยิ้มอย่างดูถูก สีหน้าเต็มไปด้วยการดูหมิ่น เขาไม่เคยสนใจเลย
เขารอคอยมาก งานเลี้ยงการกุศลในคืนนี้ ชิงเหนียนคนนี้จะดึงดูดความสนใจของคนอื่นยังไง ว่าจะขายของพวกนี้ให้หมดยังไง
…….
ในออฟฟิศ เฉินเป่ยยืนอยู่ตรงหน้าหลีชิงเยียน แล้วถามด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านประธานหลีหาผมมีเรื่องอะไรหรอ? ”
“ไปรับซูเสี่ยวหยุนมา” หลีชิงเยียนยื่นกุญแจในมือให้เฉินเป่ย
เฉินเป่ยรับกุญแจรถไมบัค แล้วพยักหน้า จากนั้นก็หันหลังเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็หยุดฝีเท้าลงแล้วถามขึ้น “ท่านประธานหลี จะให้ผมซื้อกาแฟมาให้คุณไหม? ”
เฉินเป่ยยิ้มอย่างประจบ และดูเอาใจใส่มาก
มือของหลีชิงเยียนหยุดชะงักไป น้ำเสียงเรียบเฉย ฟังไม่ออกว่าดีใจ โกรธหรือเศร้าอยู่ “นายว่าล่ะ? ”
พอเดินออกจากตึกบริษัทตระกูลหลี เฉินเป่ยนั่งอยู่ในรถไมบัค จากนั้นก็ขับเคลื่อนรถไมบัคแล้ววิ่งไปที่ไกลๆ ไม่นานก็ใกล้จะถึงบริษัทของซูเสี่ยวหยุน
และตอนที่อยู่ใกล้ข้างถนน เฉินเป่ยมองไปแวบเดียวก็เห็นซูเสี่ยวหยุนเดินออกจากบริษัท
“พี่ซู เชิญครับ” เฉินเป่ยพิงอยู่ข้างรถ แล้วกระตุกมุมปากพลางเปิดประตูรถ
ซูเสี่ยวหยุนใส่ชุดกระโปรงยาวโบฮีเมียน รูปร่างที่เซ็กซี่ของเธอ ชุดกระโปรงยาวรัดหุ้นอันเพอร์เฟคที่ข้างหน้านูน ข้างหลังแอ่นออกมาของเธอ ทีแรกกระโปรงยาวโบฮีเมียนก็ไม่สามารถบดบังความสูงตระหง่านตรงหน้าอกของเธอ การสัมผัสถึงหิมะที่แผ่วเบา ขณะที่รองเท้าส้นสูงกระทบลงบนพื้นถนน ทำให้ความสูงตระหง่านสั่นสะเทือน จึงเป็นที่น่าจับตามาก
นัยน์ตาของเฉินเป่ยกวาดไปกวาดมาบนเรือนร่างของซูเสี่ยวหยุน ความรุ่มร้อนในนัยน์ตาลุกโชนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้ยางอาย
เป็นของล้ำค่าจริงๆ ……เป็นหญิงสาวที่แต่งงานอันล้ำค่า!
เสน่ห์อันน่าหลงใหลที่มีอยู่ตัวหญิงสาวที่แต่งงานแล้ว ซูเสี่ยวหยุนสามารถออกมาได้อย่างเต็มไป และสามารถแสดงออกมาหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์!
ภายในใจของเฉินเป่ยกำลังประเมิน หญิงสาวที่แต่งงานแล้วแบบนี้…….มีพลังที่ไปไกลกว่าเด็กนักเรียนหญิงมากมาย ต่อให้คุณถ่ายภาพเธอ เธอก็จะรู้สึกเปลี่ยนท่า……
เหมือนซูเสี่ยวหยุนที่เต็มไปความมีชีวิตชีวา ในด้านๆ นี้ เธอต้องมีพรสวรรค์และไม่มีทางแย่กว่าคนอื่นแน่นอน
“ขึ้นรถเถอะ พี่ซู” เฉินเป่ยยิ้มเหอะๆ นัยน์ตากวาดมองไปยังลำคอที่ขาวผ่องเหมือนหิมะ เกือบติดอยู่ในร่องน้ำและไม่สามารถปีนออกมาได้
หลังจากสำรวจเห็นถึงนัยน์ตาอันน่าแปลกของเฉินเป่ย ซูเสี่ยวหยุนจึงเงยหน้าขึ้น แล้วกลอกตามองบนใส่เขา จากนั้นก็สะบัดสะโพกสุดแอ่นเข้าไปในรถ ภาพๆ นี้ ทำให้สัตว์เลือดเดือดพล่าน และยากที่จะถอนตัว!
แม้กระทั่งเฉินเป่ยยังรู้สึกว่ามีเลือดลมพุ่งเข้ามาในหัวสมอง ทำให้เขาแทบจะควบคุมไม่อยู่!
หลังจากที่นั่งเข้าไปที่ข้างที่นั่งคนขับ สายตาของเฉินเป่ยก็ยังคงจับจ้องไปยังซูเสี่ยวหยุนผ่านกระจกหลัง จนลูกตาของเขาใกล้จะไปแนบชิดกับตัวเธอ
“ยังดูไม่พออีกหรอ? ” ซูเสี่ยวหยุนทำเสียงอันเสนาะหูในลำคอ เฉินเป่ยยิ้มอย่างหน้าด้าน “พี่ซู วันนี้ใครให้พี่แต่งตัวสวยขนาดนั้นล่ะ”
ได้ยินเฉินเป่ยพูดจาประจบ ซูเสี่ยวหยุนจึงเผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจและภูมิใจผ่านใบหน้าที่สะสวยไร้ที่ติของเธอ จากนั้นก็ยืดอกขึ้น แล้วก็ยิ่งทำให้เธอดูสง่ากว่าเดิม “ประจบเก่งจริงๆ ”
“เป็นคำพูดในใจจริง พี่ซู วันนี้พี่ใส่…….ทำให้สัตว์เลือดอย่างผมเดือดพล่านเลย” เฉินเป่ยยิ่งจับจ้องไปยังซูเสี่ยวหยุนอย่างไร้ยางอาย และพูดด้วยคำพูดที่มีความหมายแอบแฝง
“รีบขับรถเถอะ ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปยังต้องประชุม” จู่ๆ ซูเสี่ยวหยุนก็มองเพียงพริบตา แล้วพูดด้วยความน่าตกใจ
“จากที่นี่ไปตึกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป อย่างน้อยก็ต้องหนึ่งชั่วโมง นี่ไม่มีทางไปทันอยู่แล้ว! ”
ซูเสี่ยวหยุนขมวดคิ้ว เวลานี้เป็นหลังบ่าย รถต้องติดแน่นอน ไม่เหมือนชั่วโมงเร่งด่วนในตอนเช้าและตอนกลางคืน
“วางใจเถอะพี่ซู ผมต้องส่งคุณไปถึงที่อย่างปลอดภัย” เฉินเป่ยหยุดชะงักไป “แค่คุณรัดเข็มขัดให้ดีก็พอ”
“เข็มขัดนิรภัยก็ต้องรัดด้วยหรอ? ” ซูเสี่ยวหยุนขมวดคิ้ว สีหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
ทว่าวินาทีต่อไป เฉินเป่ยไม่รอตอบซูเสี่ยวหยุน จึงเหยียบคันเร่งอย่างแรง!
“บรื๊น! ”
รถไมบัคจึงร้องคำรามขึ้นทันที ล้อรถหมุนอย่างฉับไว และในพริบตาเดียวก็เหมือนธนูที่พุ่งออกจากสาย! จากนั้นก็วิ่งเตลิดอยู่กลางถนน เหมือนดั่งฟ้าร้องที่มืดครื้ม!
ซูเสี่ยวหยุนที่นั่งอยู่ตรงเบาะหลัง สีหน้าซีดขาว ผมอันดำเงาพาดอยู่ตรงไหล่อย่างยุ่งเหยิง หัวใจเต้นแรง! เธอนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เฉินเป่ยถึงออกตัวออกนี้ ทำให้เธอไม่ทันได้รัดเข็มขัดนิรภัย!
ข้างซ้ายและข้างขวารถไมบัคมีอะไรแวบผ่าน ความเร็วนั้นว่องไวมาก บนถนนที่แออัด ทำให้ก่อให้เกิดทิวทัศน์อันอัศจรรย์ คนขับที่กำลังรออยู่ตรงไฟแดงนับไม่ถ้วนรู้สึกตกตะลึง!
บางคนมองรถไมบัคที่เทียบกันไม่ติด ภายในใจก็รู้สึกกลัว
และบางคน แม้กระทั่งแค่รู้สึกถึงลมแรงพัดผ่าน และไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก
ตรงกลางถนนมีตำรวจจราจรครหนึ่งกำลังควบคุมการจราจร จู่ๆ มีเสียงคำรามของรถไมบัควิ่งผ่านข้างๆ เขา ทำให้เขาตะลึงงันไปทันที!
เวลาผ่านไปสองสามวินาทีเต็มๆ เครื่องตรวจจับความเร็วในมือของเขา มีเสียงอันแสบแก้วหูดังขึ้น เขาก้มหน้าลงอย่างตกใจ แล้วมองตัวเลขที่ปรากฏในเครื่องตรวจจับความเร็ว…….มันกำลังเด้งตัวเลขอย่างเรื่อยเปื่อย! จนเครื่องตรวจจับพัง!!
ศูนย์กลางของการควบคุมจราจร มีจอขนาดใหญ่เป็นจอๆ เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมต่างก็ทำสีหน้าที่ป้องกันตัว ต่างก็มองกล้องวงจรที่นับไม่ถ้วนกำลังถ่ายรถไมบัคสีดำคันนี้ และก็สั่งให้ไปดักรถคันนี้ไว้ไม่หยุด!
ทว่ารถไมบัคสีดำกลับไม่ได้ถูกขวาง ความเร็วของรถไม่สามารถทำให้กล้องวงจรปิดคำนวณได้!
“เร็วเกินไปแล้ว บนถนนที่แออัดและรถติดแบบนี้ แล้วยังสามารถคงความคิดแบบนี้ เขาทำได้ยังไง? ” เจ้าหน้าที่ที่ควบคุมการจราจรต่างก็พึมพำ สีหน้าดูตกใจ
“ฝีมือการขับขี่ของผู้ขับขี่ถือว่าได้มาตรฐานของผู้ที่เก่งที่สุดภายในประเทศ และยังชำนาญกับแผนที่ของเมืองหู้ไห่อีกด้วย” เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมจึงได้ละทิ้งการควบคุม……ต่อให้ตามไปดักทางไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่แล้ว!
เจ้าหน้าที่ควบคุมเหล่านี้คงไม่รู้ว่าเฉินเป่ยแม้แต่ใบขับขี่ก็ยังไม่มี……เขาอยู่ต่างประเทศ เขาขับขี่แต่รถบรรทุกที่ขนจรวดข้ามทวีป ซึ่งเป็นรถบรรทุกที่ไม่ต้องใช้คนขับขี่ แล้วยังมีรถถังต่างๆ …….
รถเก๋งที่ประชาชนใช้……แม้กระทั่งหลับตาเขายังสามารถรักษาความเร็วนี้ของรถไว้ได้
และเบาะที่นั่งข้างหลัง ซูเสี่ยวหยุนโยกเยกไปทางซ้ายและขวา ลำตัวสั่นเทาไม่หยุด จุดที่สูงตระหง่านตรงหน้าอกก็สั่นสะเทือนไม่หยุด
ส่วนเฉินเป่ย ก็ขับรถเก๋งด้วยสีหน้าที่นิ่งสงบ จากนั้นก็มองร่างกายที่เซ็กซี่ของสมบูรณ์แบบของซูเสี่ยวหยุนผ่านกระจกหลังไม่หยุด…….แม้กระทั่งยังทำให้เขาน้ำลายไหล
ซูเสี่ยวหยุนนั่งอยู่ตรงเบาะด้านหลัง หัวใจของเธอเต้นเร็วมาก ใบหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ เธอหายใจแรง เส้นผมยุ่งเหยิง
ใจกระดอนขึ้นมาถึงลำคอ มักจะทำให้รู้สึกว่ามันกำลังจะกระโดดออกมา
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ความเร็วของรถไมบัคค่อยๆ ลดลง สุดท้ายก็ลอยลำไปจอดลงข้างถนน
“ถึงแล้ว” เฉินเป่ยหันไป แล้วจับจ้องเรือนร่างที่ได้สัดส่วนของซูเสี่ยวหยุน ทำให้เขารุ่มร้อนขึ้นมา
ซูเสี่ยวหยุนมองเวลาเพียงชั่วพริบตา ภายในใจจึงตกใจและสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง……กลับสามารถมาเร็วกว่าเวลานัดไปสิบห้านาที! ตัวเองไม่ได้ฝันไปใช่ไหม!
ซูเสี่ยวหยุนเงยหน้าขึ้น แล้วมองหน้านัยน์ตาที่แปลกประหลาดของเฉินเป่ย จู่ๆ ก็ยิ้มอย่างเบิกบาน รอยยิ้มนั้นเคล้าด้วยความสง่างาม เธอยื่นมืออันเรียวยาวและขาวอ่อนเยาว์ของเธอออกแล้วแตะหน้าผากของเฉินเป่ย จากนั้นก็พูดขึ้น “ทำได้ดี กลางคืนกลับไปเดี๋ยวฉันจะตกรางวัลนาย”
เฉินเป่ยหยุดชะงักไป ไม่นาน เขาก็กระตุกมุมปากแล้วยิ้มได้ร่าเริงกว่าเดิม เขาเข้าใจในความหมายโดยนัยในคำพูดของซูเสี่ยวหยุนขึ้นมาทันที!
ภายในใจของเฉินเป่ยตื่นเต้นดีใจจนใจจะขาด รางวัลของสาวสวยที่แต่งงานแล้ว…….เขาแทบจะรับไว้ไม่ไหว!
และช่วงเวลาที่เฉินเป่ยไปรับซูเสี่ยวหยุน เขาไม่รู้ว่ามีเรือนร่างที่สวยเซ็กซี่อย่างไร้ที่ติคนหนึ่ง ที่กำลังย่ำรองเท้าส้นสูงเดินเข้าไปในออฟฟิศของเขา
ถ้าในออฟฟิศติดตั้งกล้องวงจร เฉินเป่ยต้องสงสัยแน่นอน ทำไม หลีชิงเยียนถึงเข้าไปในออฟฟิศของเขา
หลังจากที่หลีชิงเยียนเดินเข้าไปในออฟฟิศของเขา ใบหน้าอันสะสวยเคล้าด้วยความหมาย และเดินไปเดินมาอย่างน่าเบื่อมากๆ
เธอกำลังรอซูเสี่ยวหยุนมาประชุม เวลานี้เธอกำลังแอบขี้เกียจตอนเวลาที่ยุ่งที่สุด เธอรู้สึกแปลกใจจึงอยากจะดูออฟฟิศของเฉินเป่ย
เฉินเป่ยนึกไม่ถึงแน่นอน ปกติเทพธิดาที่เย็นยะเยือกเหมือนภูเขาน้ำแข็งต่อหน้าผู้อื่นนับไม่ถ้วน จะแอบมีมุมๆ นี้ด้วย
หลีชิงเยียนนั่งลงบนเก้าอี้ออฟฟิศ หลังจากที่แอบค้นทุกอย่างที่กล่องและลิ้นชัก ในที่สุดเธอก็พับขาที่สวยงามของเธออย่างไม่ท้อถอย แล้วมองไปโต๊ะทำงานที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายของเฉินเป่ย ทำให้เธอรู้สึกไม่น่าสนใจเลยสักนิด
จู่ๆ นัยน์ตาของเธอก็หยุดอยู่ที่ตู้ปลาขนาดใหญ่ที่วางอยู่ข้างๆ ใบหน้าดูเกร็ง……ใบหน้าที่สะสวยเริ่มหม่นหมอง……เพราะว่าในตู้ปลานี้กลับเหมือนตู้ปลาของหลีหยาง……แม้กระทั่งชนิดและจำนวนของปลาก็เหมือนกันเด๊ะๆ!
ไอ้หมอนี่หมายความว่าอะไรกันแน่ เขาไม่พอใจในพ่อเธอ เลยอยากจะแทนที่ทุกอย่างใช่ไหม?
หลีชิงเยียนกวาดสายตามองไป ดวงตาคู่สวยก็เห็นขวดจิ้งหรีดที่อยู่ตรงมุมผนัง ดวงตาคู่สวยจึงเผยความน่าสนใจออกมา
เธอนั่งยองๆ ลง แล้วแอบเปิดขวดจิ้งหรีด พอเห็นจิ้งหรีดด้านใน นัยน์ตาคู่สวยจึงดูซึมเซาไปทันที
ไอ้หมอนี่กลับเลี้ยงของแบบนี้ในที่นี่หรอ?!!
หลีชิงเยียนทำสีหน้าที่โมโห จู่ๆ จิ้งหรีดในขวดจิ้งหรีดก็กระโดดขึ้นมาบนหน้าของเธอ!
“โอ๊ย……” หลีชิงเยียนร้องตกใจ และถอยไปด้านหลังหนึ่งก้าว กลับนึกไม่ถึงว่าจะทำให้ขวดจิ้งหรีดล้มไปหลายขวด!
ทันใดนั้น จิ้งหรีดแต่ละคนก็ออกมา แล้วไต่ปีนขึ้นมาบนขาของเธอ!!
หลีชิงเยียนรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาทันที บุคคลโด่งดังในหู้ไห่ ตอนอยู่ตรงหน้าสัตว์เล็กพวกนี้ กลับขาดความกล้าหาญ ขาอันเรียวยาวที่สวยงามจึงสะบัดไม่หยุด ทำให้สะบัดจิ้งหรีดให้หลุดไป!
ทว่าหลีชิงเยียนกลับไม่ได้สังเกตเห็น ขวดจิ้งหรีดถูกเธอทำให้พลิกคว่ำที่ยิ่งอยู่ก็ยิ่งเยอะ มีขวดจิ้งหรีดถูกส้นสูงของเธอเหยียบจนแตก!
สุดท้าย หลีชิงเยียนจึงหนีออกจากออฟฟิศด้วยความตกใจและกระวนกระวาย
…….
หลังจากที่เฉินเป่ยจอดรถเสร็จ ก็กลับไปที่ตึกของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป แล้วผลักประตูออฟฟิศ
หลังจากที่เฉินเป่ยเข้าไปในออฟฟิศ สีหน้าจึงดูตะลึงงันไปทันที เขามองไปทั่วสี่ทิศ ก็เห็นเพียงออฟฟิศของเขาเหมือนถูกโจรปล้น……ทั่วทุกที่ก็มีแต่ขวดจิ้งหรีดที่ถูกทำให้พลิกคว่ำจนแตก และโต๊ะทำงานที่กระจัดกระจาย ทำให้เขานิ่งงันไป
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงที่ร้องทุกข์ขึ้นอย่างเศร้ารันทดดังจากข้างในออฟฟิศ “จิ้งหรีดของฉัน!!! ”
เสียงร้องทุกข์อันน่าเศร้าสะท้อนไปทั่วออฟฟิศชั้นนี้ แม้กระทั่งออฟฟิศของท่านประธานยังได้ยินอย่างชัดเจน
หลินเฉว่ยืนอยู่ตรงหน้าหลีชิงเยียน แล้วฟังเสียงร้องทุกข์อันน่าเศร้านี้ของเฉินเป่ย พลางถามด้วยความเป็นห่วง “ท่านประธานหลี ท่านประธานเฉินคงไม่เป็นไรใช่ไหมคะ? ”
หลีชิงเยียนกระตุกมุมปากขึ้น แล้วพูดด้วยรู้สึกผิด “ไม่เกิดอะไรขึ้นหรอก เขาไม่มีทางเกิดอะไรขึ้น…….”
“ปึง! ”
จู่ๆ ประตูออฟฟิศก็ถูกแตะออกอย่างแรง จากนั้นก็มีร่างของคนคนหนึ่งพุ่งเข้ามา ทำให้หลินเฉว่กับหลีชิงเยียนรู้สึกสะดุ้งตกใจ
แค่เห็นเฉินเป่ยอุ้มขวดจิ้งหรีดไว้ ขอบตาแดงก่ำ แล้วพุ่งเข้ามาด้วยเสียงหายใจแรงๆ จากนั้นก็พุ่งเข้ามาตรงหน้าหลีชิงเยียน แล้วถามขึ้น “จิ้งหรีดของผมล่ะ! ”
หลีชิงเยียนถูกเฉินเป่ยถามในตอนนี้ ภายในใจก็ยิ่งกระวนกระวาย ทว่าสีหน้ายังคงพยายามนิ่งเฉย “จิ้งหรีดของคุณมาถามฉันทำไม? ”
“เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจิ้งหรีดของผมถูกส้นสูงเหยียบตาย! ”
หลีชิงเยียนก้มหน้า แล้วมองจิ้งหรีดตัวนั้นที่ตายอยู่ในขวดจิ้งหรีด นัยน์ตาจึงดขึงโตทันที
“แล้วจะทำไม? ” หลีชิงเยียนทำสีหน้าที่นิ่งเฉย
“พวกนี้ใครเป็นคนทำกันแน่! ” เฉินเป่ยกัดฟันถาม
“ถามคุณสิ คุณเอาของพวกนี้มาวางในออฟฟิศของคุณทำอะไรกันแน่? ” หลีชิงเยียนถามกลับ ทำให้เฉินเป่ยแทบจะกระอักเลือด!
ออฟฟิศของตัวเองกลายเป็นแบบนี้แล้ว แล้วตัวเองยังผิดอีก?!
หญิงสาวพวกนี้ ว่าด้วยเหตุผลหน่อยสิ!