สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 212
บทที่212 นางฟ้าอับอายและเคียดแค้น
สีหน้าเฉินเป่ยแข็งตัวทันใด เท้านั้นทำให้ร่างกายกำยำของเขาสั่นเทา เจ็บระทมสุดที่จะทน
ความเจ็บปวดแบบนั้นที่ราวกับคลื่นโหมซัดเข้ามา พริบตาเดียวทำให้เฉินเป่ยกลืนน้ำที่ท่วมนองเข้ามา
มีรายงานทางวิทยาศาสตร์บอกว่าความเจ็บปวดที่ตำแหน่งสำคัญของผู้ชาย เมื่อได้รับการกระแทกจะมากกว่าตอนที่ผู้หญิงคลอดลูกเป็นหลายร้อยเท่า
มีผู้คนมากมายแข็งทื่อเจ็บจนสลบไป เพราะหลังจากถูกจู่โจมจุดสำคัญ
หรือสติฟั่นเฟือนกันเลยทีเดียว
เฉินเป่ยสีหน้าแข็งตัวอัปลักษณ์ ขาทั้งคู่เจ็บจนสั่นเทาไปหมด เหงื่อผุดทันที
หลีชิงเยียนสังเกตสีหน้าของเฉินเป่ยที่เปลี่ยนแปลงอย่างเมินเฉย ทำเสียงฮึดฮัดด้วยท่าทางไม่พอใจ เก็บขายาวกลับ คิดจะออกไป ไม่เสียเวลาอยู่ที่นี่กับเฉินเป่ยอีกต่อไป
ทันใดนั้นใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนก็ฝืดเฝื่อน มองทางเฉินเป่ยอย่างฉับพลัน
ขายาวใหญ่ของเธอข้างนั้นโดนเฉินเป่ยใช้ขาทั้งคู่หนีบไว้ทันที เฉินเป่ยมองทางเธอ สายตาเผยความขมขื่นที่ซ่อนอยู่ในใจ
“เชี่ย……คุณลงมือโหดเกินไปแล้ว ไม่กลัวต่อไปจะขาดผู้สืบเชื้อสายรึไง” เฉินเป่ยจับท่อนล่างไว้ กลั้นความเจ็บอยู่แล้วกัดฟันพูด
“นายปล่อยนะ”
ดวงตาหลีชิงเยียนหนาวเย็น ตวาดเสียงน่ารัก
“ไม่ปล่อย” น้อยมากที่เฉินเป่ยจะโมโห ฝืนทนตอบกลับ ขาทั้งคู่หนีบยิ่งแน่นขึ้น
“นายปล่อยออกนะ” ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนแสดงความโกรธ เธอเพียงแค่อยากจะให้บทเรียนหนึ่งกับเฉินเป่ย ผลสุดท้ายกลับคาดไม่ถึงว่าเฉินเป่ยใจกล้าขนาดนั้น ภายใต้สายตาผู้คนที่กำลังจ้องมอง ทำเรื่องที่ขัดต่อประเพณีและศีลธรรมออกมาได้
ขัดสายตาอย่างยิ่ง เธอเองยังทนดูต่อไปไม่ไหว
ใต้โต๊ะ ขาสวยของหลีชิงเยียนดิ้นรนไม่หยุด แต่ไร้ประโยชน์ กำลังของเฉินเป่ยที่ออกมาเยอะมาก ทำให้หลีชิงเยียนพยายามดิ้นตั้งนาน ยังคงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
ใครจะคิดได้ อยู่ในสถานที่บรรยากาศแวดล้อมสูงสง่าแห่งนี้ คนที่มาทานอาหารที่นี่ไม่มีสักคนที่ไม่ได้อยู่สังคมชั้นแนวหน้า ที่นี่สง่าเหมือนกับสังคมชั้นบนของที่ยุโรป แม้แต่ลูกค้าสนทนากันต่างเป็นเสียงที่กดต่ำ ท่วงท่าสง่าผ่าเผย
ผมสลวยที่ดำนุ่มลื่นไม่รู้ว่าโดนทำให้ยุ่งเหยิงตั้งแต่เมื่อไร แต่ทว่ามีความงามในแบบยุ่งเหยิงแบบหนึ่ง
“ถ้านายยังไม่ปล่อยอีก ฉันจะโกรธจริงๆ แล้วนะ” ภายใต้ความจำใจ ในที่สุดหลีชิงเยียนโกรธเคือง น้ำเสียงหนาวเหน็บ เผยความอับอายและเคียดแค้นอยู่
จากนั้นเฉินเป่ยถึงปล่อยขาออกแล้ว หลีชิงเยียนเก็บขาใหญ่ยาวกลับ ลุกขึ้นทันใด พุ่งไปทางหน้าประตูร้านอาหารอย่างกระเซอะกระเซิง
เฉินเป่ยมองภาพด้านหลังสวยสดที่กระเซอะกระเซิงสุดจะทนภาพนั้น แล้วรีบตามเข้าไป
หน้าประตูร้านอาหาร เฉินเป่ยคว้าแขนที่ขาวกระจ่างของหลีชิงเยียนเอาไว้
“ปล่อยฉันนะ” หลีชิงเยียนหันหน้า ดวงตาแค้นเคืองจ้องเฉินเป่ยเขม็ง
“ชิงเยียน คุณเป็นบ้าอะไรกัน……ผมยังไม่ได้ไปยั่วโมโหคุณเลย……” เฉินเป่ยพูดกระซิบ
“สนุกมั้ย? เห็นฉันเป็นคนโง่เนี่ย” หลีชิงเยียนกอดหน้าอกไว้ ยิ้มเยาะพูด มีการเสียดสีเยาะเย้ยตนเอง
“ผมไม่ได้เห็นคุณเป็นคนโง่นะ คุณเป็นผู้หญิงของผม ที่ผมพูดเมื่อกี้เป็นความจริงทั้งนั้น” เฉินเป่ยพูดอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย หนังหน้าใกล้หนาจนสูงกว่าเดิมเสียอีก
ดวงตาของหลีชิงเยียนถลึงใส่เฉินเป่ยอย่างโหดเหี้ยม ถ้าสายตาสามารถฆ่าคนได้ เดาว่าเฉินเป่ยต้องโดนหลีชิงเยียนกรีดไปมากมาย
ฟันในปากนั้นของหลีชิงเยียนกัดจนใกล้แตกหมดแล้ว ความจริงเฉินเป่ยช่างไร้ยางอาย ทำให้เธอหมดคำจะตอบโต้ พังทลายไปหลายเที่ยว
“ประสาท” หลีชิงเยียนพยายามดิ้นจากมือของเฉินเป่ย เดินไปทางรถไมบัคอย่างรีบร้อน
เฉินเป่ยตามหลังมาติดๆ เดินมาได้ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นที่หัวถนนมีขบวนรถขับเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
สีหน้าเฉินเป่ยแข็ง กวาดสายตาผ่าน แววตาประกายความลุ่มลึก
ขวบนรถนี้ที่ป่าเถื่อนเผด็จการ ตรงมาอย่างลักษณะดุดัน รถยนต์ที่กล้าขวางทางถูกชนกระเด็นไปหมด
ขบวนรถฮัมเมอร์ที่เป็นแบบเดียวกันหมด กล้าหาญอย่างแรง รถฮัมเมอร์ล้อมรอบบูกัตติที่ปรับแต่งมาคันหนึ่งที่อยู่ใจกลางสุดไว้ ที่ว่างภายในรถทำการปรับแต่งมา กว้างขวางหรูหราเป็นพิเศษ หลีเช่าหงนั่งอยู่ในรถ ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายลึกลับ ทำให้ตอนมองขึ้นมาทั้งตัวเขาลึกล้ำจนยากจะคาดเดา ไม่มีใครสามารถมองเขาทะลุได้
“คุณชายใหญ่ครับ มองเห็นเป้าหมายแล้วครับ” ลูกน้องที่นั่งอยู่แถวหน้าเอ่ยปากอย่างเคารพ
มุมปากหลีเช่าหงยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้นเล็กน้อย มีการขบคิดมากมาย
ขบวนรถที่อยู่บนถนนขับเคลื่อนรวดเร็วแบบกำเริบเสิบสาน รถยนต์มากมายรีบหลบไปไกลกัน ใครๆ ก็ไม่อยากโดนชนจนยับเยิน
ฝีเท้าหลีชิงเยียนช้าลง พอมองเธอก็เห็นขบวนรถนี้เข้า พูดเสียงตกใจ “นี่คือใคร”
หลีชิงเยียนขมวดคิ้วนิดหน่อย เธอใช้ชีวิตที่เมืองหู้ไห่มาหลายปี เคยเจอผู้ยิ่งใหญ่ที่หู้ไห่นับไม่ถ้วน แต่ไม่เคยเจอบุคคลยิ่งใหญ่ที่ก้าวร้าวคุยโวเช่นนี้ โฉมหน้าขบวนรถออกเดินทางอลังการเช่นนี้
เฉินเป่ยกวาดสายตาผ่าน พูดนิ่งๆ “รูปแบบขบวนรถอันนี้……พอจะอธิบายได้ว่าเจ้าของรถไม่ธรรมดา”
ในส่วนลึกดวงตาที่นิ่งสงบของเฉินเป่ย มีความลุ่มลึกดุเดือดจางๆ ประกายผ่าน……รถฮัมเมอร์พวกนี้คุ้มครองบูกัตติไว้ตรงกลางโดยสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจากมุมใดๆ ล้วนยากที่จะสังหารคนภายในบูกัตติ
รูปแบบขบวนอย่างนี้ เขาเคยเห็นเพียงที่เยี่ยนจิง ฝีมือการขับฮัมเมอร์พวกนี้ยอดเยี่ยม หน้าหลังบูกัตตคันนั้นที่โดนฮัมเมอร์ล้อมรอบไว้แน่น ยังไม่ถึงครึ่งเมตร
เฉินเป่ยมองบูกัตติคันนั้นที่โดนฮัมเมอร์อารักขาไว้ ล้วงบุหรี่มามวนหนึ่ง มุมปากโค้งรอยยิ้มล้ำลึกขึ้น
“พวกเขาเป็นใคร?” หลีชิงเยียนถามโดยจิตใต้สำนึก เธอไม่เคยเจอคนที่ทำเรื่องโอ้อวดอย่างนี้ที่เมืองหู้ไห่มาก่อน
“ยังเป็นใครได้อีก ตระกูลเดิมคุณไง” เฉินเป่ยพูดจานิ่งเรียบ จุดไฟบุหรี่มวนหนึ่ง ดูดลึกๆ ทีหนึ่ง
“หลีเช่าหง?” หลีชิงเยียนใบหน้างดงามฝืดไป ดวงตาจ้องบูกัตติคันนั้นไม่กะพริบ
ขบวนรถค่อยๆ จอดลงมา บูกัตติค่อยๆ จอดลงที่ข้างทาง ดวงตาของหลีชิงเยียนจ้องภาพเงาคนในหน้าต่างรถแน่น กัดฟันลงที่ริมฝีปากแดงอวบอิ่มอยู่
ประตูรถเปิดออก หลีเช่าหงเดินลงมาจากในรถ สายตาที่ล้ำลึกไม่มีที่สิ้นสุดทำให้หัวใจหลีชิงเยียนที่กำลังเต้นอยู่ค้างฉับพลัน
เป็นหลีเช่าหงจริงด้วย หลีชิงเยียนหัวใจสั่นสะท้าน ดวงตาเผยความตื่นตัวอย่างรุนแรง ชั่วขณะนั้นประหม่าขึ้นมา
หลีเช่าหงพึ่งเดินลงจากรถ รถยนต์คันอื่นในขบวนรถ แต่ละคนใส่ชุดสูทสีดำ บอดี้การ์ดรูปร่างสูงตรงพุ่งออกจากในรถ ยึดครองตำแหน่งที่มีประโยชน์อย่างรวดเร็ว กลายเป็นวงล้อมวงหนึ่ง ห้อมล้อมเฉินเป่ยกับหลีชิงเยียน
ผู้คนมากมายกรีดร้องถอยออกห่าง เวลานี้แม้แต่คนทั่วไปต่างรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นั่นคือเรื่องที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์เข้าใกล้
หลีชิงเยียนกลืนน้ำลายแล้ว สงครามแบบนี้ หลีเช่าหงไม่มีการส่งข่าวสักนิด ทั้งยังลงมือกะทันหัน ทำให้เธอไม่ได้เตรียมใจไว้สักนิด ลนลานโดยธรรมชาติ
ในเวลานี้ ฝ่ามือที่กว้างหนาข้างหนึ่งกดบนไหล่หอมของเธอ หลังจากนั้นหลีชิงเยียนก็ถูกโอบเข้ามาในอ้อมอก ตอนที่เธอตกใจ ข้างหูมีเสียงที่อ่อนโยนเต็มไปด้วยเสน่ห์แปลกๆ ลอยมาแล้ว “มีผมอยู่”
หลีชิงเยียนเงยหน้า มองเห็นหน้าด้านข้างของเฉินเป่ย บนตัวเฉินเป่ยแพร่กระจายเสน่ห์ผู้ชายที่แปลกพิเศษช่วงหนึ่ง ใบหน้าที่มีหนวดเครารุงรัง เวลานี้เต็มไปด้วยแรงดึงดูดต่อหลีชิงเยียนอย่างคาดไม่ถึง
หลีเช่าหงยกเท้าทีละก้าวๆ เดินไปทางเฉินเป่ย
“เฉินเป่ย ไม่เจอกันนานเลย” เสียงของหลีเช่าหงดังกังวานในความว่างเปล่า อากาศสั่นไหวหึ่งๆ เสียงหลีเช่าหงหนาวเย็นน่ากลัว ราวกับลอยมาจากเหวลึก
“มีอะไรก็รีบพูด อยากตดก็รีบปล่อย” เฉินเป่ยเอ่ยปากอย่างไม่เกรงใจสักนิด ทำให้หลีชิงเยียนด้านข้าง ใบหน้างามสง่าฝืดค้าง
นี่เป็นหลีเช่าหง บุคคลที่รับมือยากกว่าหลีเช่าเทียน ผลสุดท้ายเฉินเป่ยให้ความเสมอภาค ไม่ได้เห็นพวกเขาอยู่ในสายตากันสักนิด
เฉินเป่ยนิสัยอันธพาลเต็มที่ มือทั้งคู่ล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ บวกกับการแต่งตัวที่หัวมังกรท้ายมังกร ไม่มีใครเห็นเขาเป็นรองประธานของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป ในสายตาของทุกคน เขายังอันธพาลกว่านักเลงหัวไม้เสียอีก
เฉินเป่ยดูดบุหรี่อยู่ จ้องมองหลีเช่าหงไปด้วย พ่นควันบุหรี่ไปด้วย ทำให้หลีชิงเยียนที่อยู่ด้านข้างเป็นห่วงเฉินเป่ย และไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี……เจ้าหมอนี่ ถึงแม้จะเผชิญหน้ากับหลีเช่าหงก็เป็นเช่นนี้ ไม่กลัวฟ้าดินอะไรเลย
หลีชิงเยียนกะพริบตาเบาๆ ฉากนี้ทำให้เธอคิดอะไรมากมาย มีเพียงอยู่ต่อหน้าเธอ เฉินเป่ยถึงจะระวังตัวขึ้นบ้าง ไม่มีหลีชิงเยียน หากใช้คำของหลินเฉว่มาพูดก็คือซุนหงอคง กำเริบเสิบสาน ไม่มีใครทำอะไรเขาได้
หลีเช่าหงจ้องมองเฉินเป่ยอยู่ ได้ยินน้ำเสียงนี้ บอดี้การ์ดชุดดำที่อยู่ไม่ไกลค่อยๆ หันหน้า แสงเย็นเฉียบแต่ละสายยิงเข้ามา ส่วนหลีชิงเยียนร่างกายสั่นเทา ขนลุกขนพอง
หลีชิงเยียนไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ เห็นอะไรมามากกว่าคนทั่วไป เธอมองออกว่าบอดี้การ์ดเหล่านี้ไม่เหมือนบอดี้การ์ดอื่นๆ บอดี้การ์ดเหล่านี้ให้ความรู้สึกกับเธอ เหมือนซูเหลยมาก……ราวกับหุ่นยนต์สังหารที่ฟังคำสั่งการแต่ละตัว เดิมทีไม่ใช่บอดี้การ์ดธรรมดาสามารถเทียบได้
“เหยดแม่ง ทำเมียฉันตกใจทำไม”
ในเวลานี้ เฉินเป่ยที่กำลังเจรจากับหลีเช่าหงรูปร่างสั่นไหว หายตัวไปจากที่เดิม
แวบหนึ่ง เสียงฝ่ามือที่กังวานดังขึ้น เฉินเป่ยปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของบอดี้การ์ดหลีเช่าหง เก็บฝ่ามือขึ้น เอ่ยปากด่าอย่างกำเริบเสิบสาน และบอดี้การ์ดคนนั้นก็ปิดแก้มที่แดงเล็กน้อยไว้ ดวงตาทั้งคู่หนาวเหน็บ กลับไม่กล้าพูด
หลีเช่าหงยืนอยู่ที่เดิม ได้ยินเสียงตบหน้าทีหนึ่ง สีหน้าเย็นลงมาทันใด สายตาลึกล้ำหาที่สุดไม่ได้ ท่าทางดูแย่สุดๆ
ความมุ่งมั่นแบบก้าวร้าวโอหังของเฉินเป่ยนี้ช่างชัดเจน ฝ่ามือนี้ตบบนหน้าของลูกน้องเขา ยิ่งเหมือนกำลังตบที่หน้าของเขา