สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 223
เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่239 ปิดบังความจริง
เฉินเป่ยมองคำพูดของซูเสี่ยวหยุนในข้อความนั้นอยู่ ครั้งหนีหลีชิงเยียนโกรธยกใหญ่แล้ว ซูเสี่ยวหยุนให้ช่วงเวลานี้ดีที่สุดเฉินเป่ยอย่าปรากฏตัวต่อหน้าหลีชิงเยียน แม้กระทั่งไม่ต้องกลับบ้าน
รอหลีชิงเยียนหายโกรธลงมาหน่อยค่อยกลับบ้าน
เฉินเป่ยอ่านข้อความ ยื่นๆ ปาก ไปที่ห้องครัว ชงชามาสองสามแก้ว จากชั้นสอง ยกชาเดินลงมา
“ประธานหลี พี่ซู ชงชามาให้พวกคุณแล้วครับ” บนหน้าเฉินเป่ยแขวนด้วยรอยยิ้มที่เหมือนเอาอกเอาใจ
แต่พอหลีชิงเยียนมองเห็นเฉินเป่ย ชั่วขณะนั้นมึนงงไป หลีชิงเยียนมองทางเฉินเป่ย แววตาเต็มไปด้วยความตกใจ
ซูเสี่ยวหยุนก็งงเช่นกัน มองทางเฉินเป่ย ในดวงตาเหมือนกำลังสอบถามเฉินเป่ยว่าทำไมอ่านข้อความแล้วยังมาปรากฏตัวที่นี่อีก
“นายเข้ามาได้ยังไง?” หลีชิงเยียนมองทางเฉินเป่ย ถามอย่างเย็นชา
เธอนั่งอยู่ที่ในห้องโถงมาตลอด ไม่เห็นเฉินเป่ยจะเข้ามาทางหน้าประตูคฤหาสน์เลย ผลปรากฏว่าเฉินเป่ยยกน้ำชามาโผล่อยู่ตรงหน้าเธอ ทำเอาเธอตกใจไปยกหนึ่ง
“ผมอยู่ในห้องมาตลอดนี่” เฉินเป่ยอึ้ง พูดอธิบายอย่างสงบนิ่งมาก
“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไร?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วขึ้น เริ่มสอบถามขึ้นมา
“กลับมาตั้งนานแล้ว หลังกลับมาผมยังนอนไปตื่นหนึ่งด้วย” เฉินเป่ยเอ่ยปากแบบหน้าไม่อาย พูดคำโกหกขึ้นมาได้อย่างหน้าตาเฉย
“จริงเหรอ?” ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยไม่กะพริบ ยังคงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
เธอไม่รู้ว่าเฉินเป่ยปรากฏตัวอยู่ในคฤหาสน์แบบกะทันหันได้อย่างไร แต่ก็มีเพียงคำอธิบายแบบนี้ทำให้เธอไม่เชื่อไม่ได้
เธอย่อมไม่เชื่อว่าเฉินเป่ยหลบการจับจ้องของวงจรปิด พลิกเข้ามาจากด้านนอกคฤหาสน์แล้ว
“บนตัวนายทำไมถึงมีกลิ่นคาวเลือด?” ทันใดนั้นซูเหลยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปาก สายตาจ้องเฉินเป่ยไว้แน่น
เฉินเป่ยยังนิ่งสงบ สีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจสั่นขึ้นฉับพลัน ในแววตาลึกๆ ประกายความสับสน
เขาที่แต่ไหนแต่ไรไม่สะทกสะท้านใดๆ ลนลานเป็นครั้งแรกแล้ว
เขาถอดเสื้อที่เปื้อนเลือดออกไปได้ เปลี่ยนเป็นชุดใหม่ แต่กลิ่นคาวเลือดที่เปื้อนบนตัวกลับทำได้แค่ผ่านการอาบน้ำถึงจะหลุดออก…..แต่เขาย่อมไม่อาจสนใจอะไรแล้วไปอาบน้ำภายใต้สถานการณ์ที่ไม่โดนหลีชิงเยียนพวกเธอรู้เข้าได้
ผลลัพธ์คือซูเหลยในฐานะทีมรบพิเศษของหัวเซี่ย การได้กลิ่นจึงว่องไวกว่าคนธรรมดาอยู่มาก แวบเดียวก็จับจุดที่ไม่ปกติไว้ได้
สีหน้าเฉินเป่ยยังคงเรียบเฉย ส่วนหลีชิงเยียน พอได้รับการเตือนสติแบบนี้ของซูเหลยเข้า จึงมองทางเฉินเป่ย ดวงตาเต็มไปด้วยความสงสัยอีกครั้ง
ภายใต้การจับจ้องของดวงตางดงามทั้งสองสาย ถ้าเฉินเป่ยไม่ให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลออกมา มีความเป็นไปได้ว่าจะโดนซูเหลยค้นหาจนเจอเบาะแส ตามกลิ่นคาวเลือดนั้นไปเจอเสื้อเปื้อนเลือดที่ซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้า
ทันใดนั้นเฉินเป่ยคิดวิธีดีๆ ออก ก่อนจะบอกว่า “หลังจากคลานออกมาจากในรถ เลือดบนตัวนักฆ่าคนหนึ่งที่ตายแล้วกระเด็นมาโดนผมเข้า ผมเลยเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ แต่ก็ยังกำจัดกลิ่นคาวเลือดออกไปไม่ได้”
“เขาตายยังไง” ซูเหลยถามขึ้น
“โดนคนหนึ่งปาดคอแล้ว เลือดสดพุ่งกระจาย ในเหตุการณ์น่าสยดสยองมาก” เฉินเป่ยพูดอย่างปลงอนิจจัง ท่าทางที่ในใจมีความกลัว
ซูเหลยมองทางหลีชิงเยียน หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว ย้อนความทรงจำหน่อย……เหมือนเธอจะว่าเห็นมีคนหนึ่งถูกปาดคอจริงๆ ด้วย
ซูหลยพยักหน้า “ฉันไม่มีคำถามอะไรแล้ว”
ซูเหลยพูดจบ จึงลุกขึ้นเดินไปทางชั้นสอง
เฉินเป่ยมองทางหลีชิงเยียน หลีชิงเยียนชายตามองทีหนึ่งอย่างเย็นชา ทำเสียงฮึดฮัด ไม่ได้พูดจาสักประโยคเดียว เดินไปทางชั้นสอง
ภายในห้องรับแขก เหลือเพียงเฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุนแล้ว
ซูเสี่ยวหยุนมองทางเฉินเป่ย ยิ้มแบบมีเสน่ห์ “ครั้งนี้นายหาเรื่องยั่วโมโหเสี่ยวเยียนเข้าจริงๆ แล้ว”
เฉินเป่ยยักไหล่……กลัดกลุ้มอยู่บ้าง ไม่ใช่เพื่อหลีชิงเยียนเหรอ ตนเองถึงไปหาโอลิเวอร์กับตระกูลหวังเพื่อคิดบัญชี จึงไม่ทันระวังลืมหลีชิงเยียนไว้
“ดึกแล้ว นอนก่อนเถอะ” ซูเสี่ยวหยุนลุกขึ้น ใส่ชุดนอนลูกไม้สีม่วง บางดุจปีกจักจั่น ปกคลุมบนร่างกายที่โค้งเว้าน่าสนใจของหล่อน นั่นคือสัดส่วนที่เซ็กซี่น่าดึงดูด
แม้กระทั่งเฉินเป่ยที่แววตาดีที่สุด ยังมองสัดส่วนหน้าอกจากบนตัวซูเสี่ยวหยุนออกแบบรางๆ
สะโพกนั้นบิดจนเผยการยั่วยวน……เฉินเป่ยจ้องภาพด้านหลังของซูเสี่ยวหยุนอยู่……นี่เป็นผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่งดงาม ครอบครองความเซ็กซี่ ทำให้รู้สึกปั่นป่วนท้องน้อย กำลังเคลื่อนไหวจะก่อการร้าย
ร่างอ้อนช้อยนี้ คิดก็ไม่ต้องคิด อวบอิ่มอุดมสมบูรณ์ ราวกับพีชน้ำผึ้งที่สุกงอม สดนุ่มฉ่ำน้ำ ทำให้คนอยากกัดสักคำจนแทบขาด ต่อให้ต้องชดใช้มากแค่ไหนก็ตาม
จ้องภาพด้านหลังนี้อยู่ มุมปากเฉินเป่ยค่อยๆ ยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น มีความหมายแฝงไว้
…………
เช้าตรู่วันต่อมา ทั้งเมืองหู้ไห่มีเสียงไซเรนเสียดแก้วหูจากรถตำรวจนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ สถานีตำรวจหู้ไห่ มีกองกำลังออกมาเต็ม ขับเข้ามาด้วยความเร็วจากถนนทุกสายของเมืองหู้ไห่
รถตำรวจแต่ละคันจอดอยู่ที่โรงแรมนานาชาติ หน้าประตูของตระกูลหวังแห่งหู้ไห่ เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละคนปิดล้อมโรงแรมนานาชาติไว้
หน้าประตูโรงแรมนานาชาติ ประตูรถตำรวจคันหนึ่งเปิดออก เย่ชวงเดินออกมาจากในรถ เดินเข้าไปในโรงแรมนานาชาติแล้ว
“หาสถานะของผู้ตายออกมาได้รึยัง?” เย่ชวงสีหน้าเคร่งขรึม ถามขึ้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งพยักหน้า “ที่มาของผู้ตายใหญ่มาก……เขามาจากโลกชั่วร้ายทิศตะวันตก ที่ต่างประเทศมีคำเรียกอย่างหนึ่ง เขาเป็นคนใช้ให้ผู้มีอำนาจหนึ่งท่าน ในสิบสองเทพแห่งโลกชั่วร้าย”
“โลกชั่วร้าย?” เย่ชวงขมวดคิ้วแล้ว “ไม่สนใจว่ามันอยู่โลกชั่วร้ายหรือโลกสว่างอะไร ภารกิจของพวกเราก็คือดำเนินคดี”
“หัวหน้าเย่ ถ้าคดีนี้ไม่สำเร็จ ถ้าเกิดโลกชั่วร้ายทางนั้นโกรธเคืองแล้วส่งคนมา……ทั้งเมืองหู้ไห่อาจจะเจอหายนะได้”
“มีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับคนร้ายมั้ย?” เย่ชวงถาม
“คดีนี้เหมือนกับคดีก่อนหน้าไม่มีผิด……วงจรปิดโดยรอบถูกคนปรับแก้อำพรางหมด……ผู้ควบคุม น่าจะเป็นแฮกเกอร์ระดับสูง” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจพูดขึ้น
“คดีฆาตกรรมต่อเนื่อง” เย่ชวงกอดหน้าอกไว้ ขมวดคิ้วขึ้น……สีหน้าเธอหนักหน่วง เธอรู้สึกได้อย่างเฉียบแหลม คดีนี้ต่างจากคดีทั่วไป ความไม่ธรรมดาของมัน
นี่คือคนร้ายคนเดียวกันก่อเหตุ หรือเป็นคดีฆาตกรรมต่อเนื่อง คนร้ายชั่วร้ายมหันต์
“ช่วงนี้ไม่รู้ทำไมจำนวนอาชญากรรมของเมืองหู้ไห่ถึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มีตั้งหลายคดีที่ทำไม่สำเร็จ……หากข้างบนกล่าวโทษลงมา พวกเราล้วนหนีไม่รอดแน่” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจถอนหายใจทีหนึ่ง
เย่ชวงยืนอยู่ที่เดิม ขมวดคิ้วแน่น บอกว่า “พนักงานกับยามในเหตุการณ์เห็นหน้าคนร้ายเป็นยังไงรึเปล่า?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งพยักหน้า ไม่นานจึงพาพนักงานคนหนึ่งเดินเข้ามา เริ่มบรรยายถึงหน้าตาของคนร้าย
ดวงตาทั้งคู่ของเย่ชวงแข็งตัว ตัดสินใจทันใด รีบเอ่ยปากบอก “ไปหาช่างวาดรูป ให้วาดหน้าตาของคนร้ายออกมา เอาไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลของสถานีตำรวจ”
…………
ตระกูลหวังแห่งหู้ไห่
หน้าประตูตระกูลหวังที่หู้ไห่ ข้างถนน แต่ไหนแต่ไรไม่มีรถตำรวจมาจอดที่หน้าประตู แต่วันนี้กลับไม่เหมือนปกติ
รถตำรวจแต่ละคันขับมาด้วยความเร็ว ทำเอาถนนทั้งสายใกล้ติดจนไม่มีช่องว่าง
เจ้าหน้าที่ตำรวจแต่ละคนรีบลงจากรถ เดินไปทางด้านนอกคฤหาสน์หรูขอตระกูลหวังแห่งหู้ไห่ พูดเสียงกังวาน “สถานีตำรวจหู้ไห่ ขอพบผู้ดูแลตระกูลหวัง”
ในคฤหาสน์หรู หวังห้าวคลุมชุดผ้าป่าน เดินออกมาจากด้านใน บนหน้ายังมีความรู้สึกเศร้าเสียใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งมองทางหวังห้าว เอ่ยปากอย่างเคารพ “เมื่อวานที่นี่เกิดคดีอาญาด้วยเช่นกัน หวังว่าตระกูลหวังจะให้ความร่วมมือในการตรวจค้นกับพวกเรา”
เสียงหวังห้าวแหบแห้ง เงยหน้า ค่อยๆ มองตำรวจไปทีหนึ่ง บอกว่า “เมื่อคืนที่นี่สงบเรียบร้อยดี ใครจะกล้ามาก่อเรื่องที่หน้าประตูตระกูลหวัง?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจขมวดคิ้ว ก้มหน้ากวาดตามองที่พื้น ยังหลงเหลือรอยเลือดแทรกแซงบางส่วนอยู่ บอกว่า “คดีครั้งนี้เกี่ยวกับเรื่องสำคัญ ขอความร่วมมือกับพวกเราด้วย”
ดวงตาทั้งคู่ของหวังห้าวที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยมองทางตำรวจ “ผมบอกแล้วว่าเมื่อคืนที่นี่ไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้นทั้งนั้น”
“งั้นตระกูลหวังท่านใดเสียชีวิตแล้ว?” น้ำเสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจเปลี่ยนไปไม่เป็นมิตรขึ้นมา
“ท่านผู้อาวุโสของพวกเรา ทำไม พวกคุณยังคิดว่าท่านผู้อาวุโสของพวกเรายังถูกใครฆ่า?” น้ำเสียงหวังห้าวหนาวเย็น เพิ่มการเสียดสีอีกระดับ
เจ้าหน้าที่ตำรวจตะลึง หลังมองหน้ากันและกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจรุ่นใหญ่กว่านายหนึ่งเอ่ยปากอย่างเคารพ “ในเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น อย่างนั้นก็รบกวนแล้ว ถือโอกาสแสดงความเสียใจด้วย ลาก่อน”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสกว่าพูดจบ หมุนตัวรีบเร่งออกไป
หวังห้าวจ้องมองภาพด้านหลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนที่จากไป ถอนหายใจยาวๆ นึกถึงจดหมายก่อนตายที่ท่านใหญ่ของตระกูลหวังทิ้งไว้
ตระกูลแห่งหู้ไห่เจอเรื่องโชคร้ายนี้ ท่านใหญ่ของตระกูลหวังเขียนออกมาในจดหมายก่อนตายตั้งแต่แรกว่าอย่าแพร่งพรายออกไปสักนิด ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ชั่วพริบตาเดียวกลายเป็นเรื่องต้องห้าม ไม่มีใครกล้าพูดถึง
คืนนั้น พวกเขารู้อย่างชัดเจน บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของหู้ไห่มีเสือดุตัวหนึ่งนอนจำศีลอยู่ เดิมทีพวกเขาหาเรื่องไม่ได้
เสือดุตัวนั้นนอนจำศีลมานาน เมื่อคืนเสือดุอาละวาด เลือดไหลเป็นแม่น้ำ ตระกูลหวังสั่นสะเทือน
…………
หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนกลับมาถึงรถตำรวจ เจ้าหน้าที่ตำรวจหนึ่งในนั้นมองทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาวุโสกว่า พลางถามว่า “เห็นได้ชัดว่าตระกูลหวังแห่งหู้ไห่ปกปิดความจริง พวกเราต้องกลับไปรายงานที่สถานีตำรวจหรือเปล่า?”
“นี่มีอะไรให้น่ารายงาน พวกเขาไม่อยากพูดก็เป็นเรื่องของพวกเขา ขอเพียงพวกเราคิดว่าเป็นจริงก็พอ” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาวุโสกว่าพูดขึ้น
“แต่ทำไมพวกเขาถึงต้องอยากปกปิดเรื่องเมื่อคืนด้วย?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจอาวุโสกว่าหันหน้ามองไป ยิ้มพูดขึ้น “นายยังเด็กเกินไป พวกเขาอยากจะปิดบัง หมายความว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรค่าให้โอ้อวดอะไร ต้องน่าอายแน่ ตระกูลหวังแห่งหู้ไห่ย่อมไม่อยากให้เรื่องขายขี้หน้าของตัวเองแพร่ออกไป ไม่อย่างนั้นวันหลังอาจกลายเป็นขี้ปากของคนนับไม่ถ้วนและเรื่องคุยหลังมื้ออาหาร ศักดิ์ศรีของตระกูลหวังคงหายกันไปหมด”
และด้วยตำแหน่งของตระกูลหวังที่เมืองหู้ไห่ ในเมื่อพวกเขาไม่อยากพูด ถึงแม้เป็นอธิบดีจะเข้ามาด้วยตนเอง ก็ยากที่จะงัดอะไรออกจากในปากพวกเขาได้
“เมื่อคืนนั้น เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลหวังกันแน่?” เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มคนนั้นเอ่ยปาก
“ยังเป็นอะไรได้ ท่านผู้อาวุโสของพวกเขาเสียชีวิตแล้ว……ท่านผู้อาวุโสของพวกเขามีความสามารถเหนือขั้น แม้แต่ท่านผู้อาวุโสของพวกเขายังเสียชีวิต ความเกรียงไกรของคนร้ายคงห่างไกลเกินกว่าพวกเราจะจินตนาการได้” เจ้าหน้าที่ตำรวจที่อาวุโสพูดอย่างแผ่วเบา “เรื่องราวนี้สลับซับซ้อนมาก ดังนั้นทางที่ดีพวกเราอย่าถลำเข้าไปเลย……”