สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 271
บทที่271 พ่ายแพ้ราบคาบ!
หัวหน้าสาขาของสาขาซ่าหลัว แต่ไหนแต่ไรไม่เคยประสบกับการโจมตีแบบในวันนี้
สมาชิกที่เขาพามาเกือบจะพ่ายแพ้ราบคาบ
แม้แต่ตอนที่ปะทะกันกับอิทธิพลใต้ดินอื่น ยังบาดเจ็บล้มตายไม่หนักหนาขนาดในวันนี้
และเกิดการสูญเสียร้ายแรงแบบนี้ คาดไม่ถึงจะเพียงสองคนนี้
หัวหน้าสาขาจ้องเฉินเป่ยอย่างเย็นชา ในสายตาเต็มไปด้วยเลือด น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง
“ตายซะ!” หัวหน้าสาขาตะโกน มีดยาวในมือ เหมือนกำลังระบายความแค้นมหาศาลในใจออกมา
“ชิ้งๆๆ!” มีดในมือของหัวหน้าสาขาปะทะกับหลงหยาของเฉินเป่ยไม่หยุด ในมือเฉินเป่ยกุมหลงหยาไว้ ผ่าฟันสกัดไม่เลิก หัวหน้าสาขาใช้พลังทั้งหมดออกมา ภายใต้กำลังอันน่ากลัวที่เขาเพิ่มไปนั้น ทำให้ดูเหมือนครอบครองแรงมหาศาล ท่วงท่ายากจะต้านทาน
“ตาย!” หัวหน้าสาขามือกุมมีดไว้ แรงอาฆาตมีไม่ที่สิ้นสุด ราวกับกลายร่างเป็นมือสังหาร อยากขยายการสังหารนองเลือดไปทั่ว
เขาอยากแก้แค้นเพื่อพวกพ้องสมาชิกซ่าหลัวที่ตายไปในศึกนี้พวกนั้น
เฉินเป่ยถอยไปด้านหลังไม่หยุด เขาสกัดไว้ไม่หยุด และโชคดีที่กำลังเขาไม่น้อย ถ้าไม่อย่างนั้นเดิมทีคงสกัดการจู่โจมอันรุนแรงของหัวหน้าสาขานี้ไม่ได้
ส่วนซูเหลยมองเห็นภาพเงาของเฉินเป่ยที่กระเซอะกระเซิงอยู่หน่อยๆ แววตาอดเปล่งประกายไม่ได้
ภาพด้านหลังของเขาเวลานี้ ทำให้นับวันซูเหลยยิ่งรู้สึกคุ้นตา เหมือนเฉินเป่ยที่สุดเลย
หรือว่าเป็นเขาจริงๆ?
ซูเหลยแอบพูดในใจ ที่มาของเฉินเป่ยนั้นลึกลับ……แต่อย่างไรเสียหล่อนก็ไม่มีทางนำนักเลงข้างถนนที่ในช่วงปกติเล่นแง่สุดๆ และลิ้นพลิกกลับไปกลับมา กับภาพเงาของคนที่ความสามารถน่ากลัวในเวลานี้มาเชื่อมโยงด้วยกัน
แต่นอกจากเจ้าหมอนี่แล้ว ใครจะเสี่ยงชีวิตฝ่าอันตรายมาช่วยเหลือพวกหล่อนล่ะ?
ซูเหลยขมวดคิ้ว ส่วนเฉินเป่ยถอยสิบกว่าก้าวมาตลอด ทันใดนั้นก็หยุดฝีเท้าลง
“ชิ้ง!”
มีดยาวที่หัวหน้าสาขาฟันฝ่ามาไม่หยุดชะงักทันใด ดวงตาหนาวเหน็บของเขามองมาทางเฉินเป่ย ไม่เข้าใจว่าเขาอยากทำเรื่องอะไรออกมา
ในร่างกายของเฉินเป่ยมีลมหายใจหนึ่งปรากฏฉับพลัน ปีนขึ้นมาไม่ขาดสาย
ราวกับว่าในร่างกายของเขามีอะไรตื่นขึ้นแล้ว
เฉินเป่ยมองทางหัวหน้าสาขา เก็บสีหน้าที่เรียบเฉยขึ้นมา มองทางหัวหน้าสาขา พูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ “ถ้าแกมีแค่ฝีมือนิดเดียวนี้ อย่างนั้นก็ถือโอกาสไสหัวไปแต่เนิ่นๆ ……ไม่อย่างนั้นล่ะตายแน่!”
น้ำเสียงของเฉินเป่ยเปลี่ยนฉับพลัน ความหมายที่หนาวเหน็บยิงออกมาจากในดวงตาคู่หนึ่ง ทั้งตัวมีกลิ่นอายดุเดือดระเบิดออกบึ้ม
สีหน้าหัวหน้าสาขาเปลี่ยนไป…….เขารู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตหนาวเหน็บที่น่าสยองขวัญจากเฉินเป่ย ราวกับเหวนรกที่ทำให้คนจิตใจตื่นตระหนก
หัวหน้าสาขาหรี่ตาลง……ในใจเกิดความปั่นป่วนยกใหญ่ขึ้น
เวลานี้คนโง่ยังสามารถเดากันออก เมื่อสักครู่ไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเฉินเป่ย เขายังมีสิ่งที่ปิดซ่อนไว้
“แกจะซ่อนไว้อีกมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์!” หัวหน้าสาขาตวาดเสียงดุ เสียงที่เรียบมีพลังสั่นสะเทือนกลางอากาศ
เฉินเป่ยสีหน้าสงบ แต่ภายใต้ความสงบนี้กลับยิ่งเย็นยะเยือกขึ้น แม้กระทั่งอุณหภูมิในอากาศล้วนลดลงไม่หยุด
หลีชิงเยียนที่อยู่ไกลออกไปไม่รู้สึกถึงอะไร แต่สีหน้าซูเหลยกลับเปลี่ยนไป
จากบนตัวของเฉินเป่ย หล่อนรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่ทำให้หล่อนหวาดกลัวไปหมด
ซูเหลยมองทางเฉินเป่ย ในแววตายิ่งเต็มไปด้วยความสับสน……ผู้ชายคนนี้ สรุปปิดซ่อนไว้มากเท่าไร……เหมือนกันกับนักเลงข้างทางคนนั้นที่เต็มไปด้วยความลับ
“ฉันเคยบอกแล้วไง แค่มือข้างเดียวจัดการแก……ก็เพียงพอแล้ว!” เฉินเป่ยกุมหลงหยาไว้ในมือ น้ำเสียงสงบผิดปกติ แต่กลับทำให้หัวหน้าสาขาอดสั่นไม่ได้
ในจิตวิญญาณลึกๆ ของเขารู้สึกได้ถึงอันตรายที่ร้ายแรงอย่างคาดไม่ถึง
มือเขากุมมีดไว้ แม้ว่าจะยึดครองตำแหน่งที่ได้เปรียบอยู่ แต่ยังรู้สึกถึงวิกฤตชีวิตโดยสัญชาตญาณ ทำให้เขาถอยหลังไปอย่างไม่ลังเลสักนิด
นี่เป็นสัญชาตญาณของคน เหมือนเจอความเจ็บปวดจะดิ้นรน……แต่เฉินเป่ยเพียงแค่ถือหลงหยาไว้ในมือยืนอยู่ตรงนั้น เทียบกับอันตรายใดๆ ล้วนทำให้เขาขนลุกขนพอง
ทั้งตัวเฉินเป่ยโดนความดุเดือดหนาวเย็นเข้าแทนที่ ราวกับแปลงร่างเป็นดาบแหลมที่พร้อมสู้เล่มหนึ่ง ทำให้ร่างกายหัวหน้าสาขาสั่นเทา
เขาแค่กุมหลงหยาไว้มือเดียว……กลับทำให้หัวหน้าสาขากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
“จบแล้ว” เฉินเป่ยเอ่ยปากแบบเย็นชา แวบเดียว ไม่รอให้หัวหน้าสาขาตอบสนองเข้ามา เฉินเป่ยก็ก้าวเท้าออกไป ดวงตาเผยความดุเดือด
หลงหยาในมือของเขาคำรามสั่นสะเทือน ตื่นเต้นที่สุด
แวบเดียวร่างกายเฉินเป่ยก็สั่นไหว ชั่วขณะนั้นปรากฏตัวขึ้นด้านหน้าของหัวหน้าสาขา
ดวงตาหัวหน้าสาขาหดลง ความเร็วของเฉินเป่ยช่างไวเหลือเกิน แม้กระทั่งภาพวืดยังไม่ทิ้งเอาไว้ เกือบจะเหมือนแวบมา
ความเร็วของเขาไวถึงขั้นสุดยอด ในที่สุดหัวหน้าสาขาก็เข้าใจที่เฉินเป่ยบอกว่าฆ่าเขาด้วยมือเดียวก็พอนั้น……ไม่ได้พูดโกหก
เพราะเขาสามารถทำได้จริง
“ชิ้ง!”
เป็นเสียงของหลงหยาร่วงลง มือเฉินเป่ยที่เปื้อนเลือดสดเต็มไปหมดคลำหาบุหรี่มวนหนึ่งออกมา หลังจากนั้นจุดไฟดูดทีหนึ่งอย่างแรง
ส่วนหัวหน้าสาขาก็หมุนตัว มองทางเฉินเป่ย ดวงตาเผยความหวาดผวา
เขาเหมือนเจอเรื่องราวที่สยองขวัญอะไรมา มองทางเฉินเป่ยราวกับว่ากำลังมองปีศาจ สัตว์ประหลาด
เฉินเป่ยหมุนตัว ค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกไปใส่หัวหน้าสาขา บอกว่า “พอใจรึยัง?”
ในสายตาของหัวหน้าสาขาที่หวาดกลัวเผยความอาฆาตแค้น “รอดูเถอะ ถ้าฉันตายแล้ว ทั้งซ่าหลัวจะต้องไม่ปล่อยแกไว้แน่”
เฉินเป่ยหัวเราะนิดหน่อย น้ำเสียงก้าวร้าวสุดๆ “พวกนักเลงที่ฝีมือกระจอกกลุ่มหนึ่ง กล้ามาหาเรื่องฉันด้วยเหรอ?”
เฉินเป่ยหัวเราะ ส่วนหัวหน้าสาขายังอยากพูดอะไร ทว่าคอของเขากลับปรากฏรอยเลือดเส้นหนึ่งขึ้นฉับพลัน เขาก้มหน้าลงพบว่าตนเองส่งเสียงไม่ได้อีกแล้ว มีเพียงเลือดสดที่พุ่งกระฉูด
เขามองทางหลงหยาที่เฉินเป่ยทิ้งลงบนพื้นอย่างตื่นตกใจ ริมฝีปากขยุกขยิก เหมือนอยากพูดอะไร…….
นี่เขาพึ่งเข้าใจขึ้นมา……หลงหยาของเฉินเป่ยไวเหลือเกิน……ไวจนปาดผ่านลำคอ เขาล้วนไม่มีความรู้สึกใดๆ ……จนกระทั่งผ่านไปหลายวินาที บาดแผลบนคอของเขาถึงปรากฏออกมา
หัวหน้าสาขามองทางเฉินเป่ย ความโอหังก้าวร้าวของเฉินเป่ยได้ประทับตราอยู่ในสมองของเขาอย่างล้ำลึกแล้ว
น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสอีกต่อไป
“ตึง!”
หัวหน้าสาขาล้มลงจมกองเลือด อุณหภูมิร่างกายค่อยๆ หายไป และตอนที่เขาเผชิญกับความตายยังเบิกดวงตาโต ตายตาไม่หลับ
เฉินเป่ยสูบบุหรี่ไปด้วย มองศพที่เต็มพื้นไปด้วย กองเลือด……ศพพวกนี้ กองรวมกันได้พอๆ กับภูเขาลูกเล็กที่สูงขนาดนี้……กลายเป็นภูเขาศพทะเลเลือดที่ชื่อเสียงสมจริง
ในอากาศที่ว่าง เงียบสงบเป็นพิเศษ ถ้าไม่ไปมองที่พื้น มีเพียงกลิ่นคาวเลือดจางๆ อาจบรรยายได้ว่าเมื่อสักครู่ที่นี่มีการสังหารหมู่ที่สยองขวัญนองเลือดปะทุขึ้นมาฉากหนึ่ง
หลีชิงเยียนมองทางภาพเงาคนคนนั้น ในใจยิ่งเกิดความเลื่อมใสสั่นไหว…….สรุปเป็นใครกัน จะสามารถมีสภาพจิตที่ดีขนาดนี้ ทั้งๆ ที่พึ่งผ่านการสังหารหมู่มาฉากหนึ่ง ตอนนี้ยังสูบบุหรี่ได้อย่างสบายใจ
หลีชิงเยียนเชื่ออย่างยิ่งว่าภาพเงาคนคนนี้จะต้องเป็นผู้ลึกลับที่มักยื่นมือมาช่วยตนเองคนนั้นแน่ เฉินเป่ยเจ้าหมอนั่นจะมีสภาพจิตใจแบบนี้ได้อย่างไรกัน ลองเปลี่ยนเป็นเขา เดาว่าคงตกใจจนฉี่ราดกางเกงไปตั้งแต่แรกแล้ว
หลังจากสูบบุหรี่มวนหนึ่งเสร็จ เฉินเป่ยก็ทำปากยื่น เงยหน้าทันใด มองทางที่ไกลออกไป
…………
ในรถอาวดี้ จางเสี้ยวเทียนมือข้างหนึ่งกุมแก้วเหล้าไว้ แววตาหนาวเย็น กำลังสั่นไปทั้งตัว
แชมเปญที่เหลืออยู่ในแก้วกวัดแกว่งอย่างแรง จางเสี้ยวเทียนสีหน้าหม่นหมองมาก……ในใจยากจะสงบลง
“นี่เป็นไปไม่ได้……เขาเป็นใครกันแน่!” เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างสีหน้าซีดเผือด จ้องเหตุการณ์ด้านนอกตาไม่กะพริบ ก่อนจะพึมพำขึ้น
“ทั้งสาขาซ่าหลัวแพ้ราบคาบ แม้แต่หัวหน้าสาขายัง……” เสียงเลขาฯ สั่นเทา แววตาหมดหวัง
“รีบออกไปเร็ว!” จางเสี้ยวเทียนกัดฟัน “ฉันจะไปที่สำนักใหญ่ซ่าหลัว คนแกร่งในเยี่ยนจิงมีนับไม่ถ้วน ฉันไม่เชื่อว่าจะหาคนที่มาจัดการไอ้ผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านหลีไม่ได้”
ความเกลียดในใจของจางเสี้ยวเทียนยิ่งมหาศาล ยิ่งฆ่าเฉินเป่ยยาก ยิ่งทำให้ในใจเขายิ่งเกลียด
เขาไม่มีทางยอมรับจุดจบแบบนี้ได้……เพียงแค่ผู้ชายแต่งเข้าบ้านหลีคนเดียว คาดไม่ถึงจะทำให้สาขาซ่าหลัวล้มเหลวกลางคันแล้ว……นี่ไม่ใช่เป็นการหักหน้าเขาเหรอ?
เมื่อสักครู่จางเสี้ยวเทียนยังพูดคุยหัวเราะกับเลขาฯ อยู่เลย มองเห็นท่าทางกระเซอะกระเซิงของเฉินเป่ย ภายในมันสบายใจเป็นพิเศษ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปไวเหลือเกิน ทำให้เขาไม่ทันได้ตั้งตัว
“ครับ” เลขาฯ ขาพึ่งตอบรับ ทันใดนั้นเขาก็มองออกไปข้างนอกหน้าต่างแวบหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาเขาแข็งค้างไป
“มีอะไรกัน?” จางเสี้ยวเทียนถามขึ้น
เลขาฯ มองเห็นฉากนั้นด้านนอกหน้าต่าง หนังศีรษะชา ส่วนจางเสี้ยวเทียนสีหน้าแปลกประหลาด และยื่นศีรษะออกนอกกระจก มองเห็นฉากหนึ่งที่ทำให้เขายากจะลืมทั้งชีวิต
ในภูเขาศพทะเลเลือด ภาพเงาคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในกองเลือด อาบเลือดสดไปทั่วทั้งตัว แม้แต่ใบหน้ายังมองไม่ชัด
และเขากำลังสูบบุหรี่อย่างนิ่งเฉยมาก ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้า มองเข้าไปทางรถอาวดี้
บนหน้าของเขาเผยการยั่วเย้าออกมา……เหมือนกำลังจ้องมองจางเสี้ยวเทียนอยู่ เหน็บแนมอย่างโจ่งแจ้งที่สุด
ชั่วขณะนั้นเฉินเป่ยดับบุหรี่ในมือลง ทิ้งก้นบุหรี่ แล้วพุ่งเข้าไปทางรถอาวดี้
“หนี! รีบออกไปให้เร็วที่สุด!” ในใจจางเสี้ยวเทียนเกิดวิกฤตชีวิตที่ร้ายแรงขึ้น ตะโกนเสียงดังอย่างไม่ลังเลสักนิด
เครื่องยนต์ของรถอาวดี้หมุนวนอย่างบ้าคลั่ง ล้อหมุนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว รถทั้งคันคำรามขับไปยังทางที่ไกลด้วยความเร็ว
ซูเหลยเห็นเฉินเป่ยออกไปกะทันหัน เงยหน้ามองภาพด้านหลังของเฉินเป่ยด้วยสีหน้าซับซ้อน
เฉินเป่ย……วิ่งตามรถอาวดี้ มีคนปกติที่ไหนเลือกจะตามรถแข่งกัน เพราะนี่คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ขาสองข้างของคนตามล้อสี่อันของรถได้เหรอ?
แต่ในสายตาของซูเหลยกลับไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้……เมื่อสักครู่ ภาพเงาคนนี้ก็ทำลายขีดจำกัดของมนุษย์แล้ว
ต้องรู้ว่าแม้แต่ซูเหลยที่เคยเจอการฝึกปีศาจขีดจำกัดร่างกายคนมาสารพัด ความรวดเร็วยังไม่ถึงขั้นน่าสยองอย่างของเฉินเป่ยเมื่อสักครู่นี้
“เร็ว! เร็วหน่อย!” หลังจากจางเสี้ยวเทียนเห็นรถอาวดี้ติดเครื่อง ก็ค่อยๆ วางใจลงมา
แต่พอเขาชายตาไปหลังรถทีหนึ่ง กลับมองเห็นฉากที่ทำให้เขาใกล้จะอกสั่นขวัญหาย
คนคนหนึ่ง พึ่งเพียงแค่ขาสองข้าง วิ่งอย่างบ้าคลั่ง กำลังเข้ามาใกล้กับรถอาวดี้ไม่ขาดสาย
ทั่วตัวเขาล้วนเป็นเลือดสด กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้น แม้แต่จางเสี้ยวเทียนก็ยังได้กลิ่น
“นี่เป็นไปไม่ได้!” จางเสี้ยวเทียนถลึงตาโต ลูกตาใกล้จะกระเด็นออกมาแล้ว
“ไม่มีอะไรที่เป็นไม่ได้……รีบขับเข้า!” เวลานี้กลับเป็นเลขาฯ ที่สงบนิ่งอยู่มากปลอบใจจางเสี้ยวเทียนไปประโยคหนึ่ง แล้วสั่งการกับคนขับไป “ขับเร็วได้เท่าไรก็เร็วเท่านั้น!”
“ตึง!”
รถคันนี้ของจางเสี้ยวเทียน สมรรถนะยังยอดเยี่ยมมาก ชั่วพริบตาเดียวความเร็วก็ยิ่งไวขึ้นมายกใหญ่
“นี่ยังเป็นคนอยู่เหรอ!”
จางเสี้ยวเทียนหนังศีรษะชา ในใจเต้นรัว……ในที่สุดเขาก็สำนึกได้……ตนเองหาเรื่องหลีชิงเยียนถือว่าอะไรกัน……ผู้ชายแต่งเข้าบ้านของบ้านหลีคนนี้ต่างหากถึงน่ากลัวกว่า
นี่คือคนเหรอ……จางเสี้ยวเทียนสงสัยอย่างแรงกล้า นี่แม่งเดิมทีไม่ใช่คน นี่เป็นสัตว์ร้ายในร่างคน เขาเป็นเสือชีต้าร์กลับชาติมาเกิด
“สะบัดเขาออกแล้ว!”
ทันใดนั้นเลขาฯ ร้องอย่างประหลาดใจ ทำให้จางเสี้ยวเทียนโล่งอกนิดๆ ไปทีหนึ่ง
และเฉินเป่ยที่ตามมาด้านหลังเห็นความเร็วของอาวดี้ บนหน้าปรากฏยิ้มเยาะที่หนาวเย็นขึ้นฉับพลัน
ตัวการที่ก่อกรรมทำชั่ว ยังอยากหนีอีกเหรอ