สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 274
บทที่274 ฝีมือการแสดงยอดเยี่ยม!
เฉินเป่ยตะลึง มองทางซูเหลยแบบฉงนสนเท่ห์มาก “คนคนนั้นอะไรกัน?”
บนหน้าเฉินเป่ยงงงวย สงสัยและไม่เข้าใจมากๆ ช่างเหมือนจริงเหลือเกิน เดิมทีไม่เหมือนแสร้งทำออกมาสักนิด เหมือนเกิดขึ้นจากภายในอันเป็นธรรมชาติ
ซูเหลยจ้องเฉินเป่ยแน่น ดูความเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อแต่ละมัดบนหน้าของเฉินเป่ย ความรู้สึกแต่ละอย่างล้วนหนีไม่พ้นไปจากสายตาของซูเหลย
น่าเสียดายที่สุดท้ายยังให้ซูเหลยต้องผิดหวัง เฉินเป่ยไม่ได้เผยพิรุธใดๆ ออกมา เทียบกับคนปกติที่ไม่รู้เรื่องอะไร การตอบสนองยังเหมือนกันไม่มีผิด
ซูเหลยนั่งอยู่ตรงนั้น ถอนหายใจทีหนึ่ง บ่นพึมพำ “ฝีมือการแสดงอันนี้ของนาย ออสการ์ยังติดค้างรางวัลม้าทองคำนายไว้จริงๆ”
เฉินเป่ยหัวเราะฮาๆ “เธอชมฉันขนาดนี้ฉันก็เขินจริงนะเนี่ย ฉันยอมรับว่าฝีมือการแสดงฉันดีมาก แต่เธอกำลังพูดอะไร ฉันฟังไม่รู้เรื่องจริงๆ คนคนนั้น คนคนนั้นหมายถึงคนไหน?”
เฉินเป่ยยังหน้าด้านไม่อายขนาดนั้นอยู่ ตรงกับในความทรงจำของซูเหลยเลย เขาก็คือเขา อันธพาลข้างถนนคนนั้น อันธพาลที่ทำให้ใครต่อใครต่างหมดคำจะพูดและไม่รู้จะพูดยังไงดี
และมีเพียงในแววตาลึกที่ซูเหลยเกือบจะสังเกตไม่ได้ ปรากฏความตกใจเบาบางนิดๆ ขึ้นฉับพลัน นั่นคือความตกใจของเฉินเป่ย
การสังเกตการณ์ของซูเหลยก้าวขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งแล้ว
เฉินเป่ยนึกไม่ถึงว่าการพัฒนาของซูเหลยจะเร็วขนาดนี้ ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ความสามารถในการสังเกตการณ์ของซูเหลยอาจจะต้องรอกลับไปที่หู้ไห่ ถึงจะรู้สึกอ่อนไหวขึ้นมา
คาดไม่ถึงว่าอาศัยประสบกับมรสุมเมื่อสักครู่ การสังเกตการณ์ของซูเหลยกลับยิ่งละเอียดรอบคอบขึ้นมา
ในใจเฉินเป่ยมีความแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่นานอาการตกใจในแววตาลึกก็เลือนหายไป ก่อนจะเงียบนิ่งอีกครั้งจนกลายเป็นอารมณ์สงบ ล้ำลึกอย่างยิ่ง
ซูเหลยอยากจะมองเขาให้ทะลุ? ช่างอ่อนหัดเกินไปหน่อย
นอกจากเป็นเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาที่มาเยือนด้วยตนเอง ทักษะน้อยนิดของซูเหลยนี้ยังห่างไกลอยู่มาก
ซูเหลยหงุดหงิดอยู่บ้าง ไม่เพียงหงุดหงิดกับความไร้ยางอายแบบเมื่อก่อนของเฉินเป่ย ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่มีทางเปิดโปงเฉินเป่ยออกมาได้
ไม่นานสีหน้าสายตาของซูเหลยก็เย็นลงมา ตอนที่เฉินเป่ยหมุนตัว ทันใดนั้นจึงเอ่ยปากพูด “กลิ่น”
ฝีเท้าเฉินเป่ยชะงัก ซูเหลยรีบลุกยืนขึ้นมาทันที พูดขึ้นอย่างไม่รีบไม่ช้า “ที่จริงอยากให้นายสารภาพยอมรับมาเอง แต่ดูแลนายจะรักศักดิ์ศรีมาก งั้นฉันคงทำได้เพียงพูดแบบตรงไปตรงมาแล้วนะ”
ซูเหลยจ้องด้านหลังของเฉินเป่ยไว้ เอ่ยปากขึ้น “นายเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ ล้างทำความสะอาดร่างกายได้ แต่ล้างกลิ่นคาวเลือดบนตัวไม่ได้ออกไปหรอกนะ”
ในแววตาของซูเหลยประกายแสงอันโชติช่วง “กลิ่นคาวเลือดแบบนี้ ต่อให้ใช้น้ำหอมก็กลบไม่ได้ นายยังบอกว่าไม่ใช่นายอีกเหรอ?”
ซูเหลยพูดๆ อยู่ แค่นำความจริงทุกอย่างออกมาวางไว้ตรงหน้าแล้วพูดไป “คนคนนั้นก็คือนาย ถูกรึเปล่า?”
ไม่รอให้เฉินเป่ยพูดอะไร ซูเหลยก็พูดขึ้นอีก “นายไม่จำเป็นต้องยอมรับ เพราะถึงแม้นายจะไม่ยอมรับ ฉันก็จะบอกประธานหลี ให้หล่อนมาตัดสินเอาเอง”
ในแววตาของซูเหลยมีความหมายที่เจ้าเล่ห์แวบผ่าน หลีชิงเยียนไม่ใช่คนโง่ ถ้าบอกหลีชิงเยียนก็เท่ากับว่าเขย่าความลับสถานะของเฉินเป่ยออกมาทั้งหมดเลย
ซูเหลยถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง นึกได้ใจอยู่บ้าง ในที่สุดหล่อนก็ชนะ ข้อพิรุธของเฉินเป่ยโดนหล่อนจับไว้ได้แล้ว
เฉินเป่ยหันหลังให้ซูเหลยอยู่ ได้ยินเสียงของซูเหลยลอยมาจากด้านหลัง มุมปากโค้งเส้นรัศมีวงกลมขึ้น เหมือนชมเชย การแสดงออกของซูเหลยทำให้เขาพอใจมาก
เฉินเป่ยหมุนตัวเข้ามา มองทางซูเหลย สีหน้าผ่อนคลาย “โอ๊ะๆๆ ที่เธอพูดมานี้ฉันใกล้เชื่อแล้วนะเนี่ยว่าเป็นเรื่องจริง”
ซูเหลยหัวเราะเยาะ “ทำไมล่ะ ยังจะถ่วงเวลาอีกเหรอ นายคิดจะหาข้ออ้างอะไรมาอีก?”
ซูเหลยยิ้มถามด้วยความมั่นใจ ส่วนเฉินเป่ยสีหน้ากลับสงบผิดปกติ “เธออยากบอกก็บอกไป ฉันจะไม่ห้ามเธอ”
ซูเหลยมึนงง หล่อนย่อมคาดไม่ถึง เฉินเป่ยไม่กลัวว่าหล่อนจะไปฟ้องหลีชิงเยียนสักนิด
หรือว่าเขาแน่ใจว่าฉันจะไม่พูดออกมาอย่างนั้นเหรอ?
ไม่นานแววตาซูเหลยก็ซับซ้อนขึ้นมา ในใจของหล่อนกำลังต่อสู้ดิ้นรนอย่างรุนแรง
แวบหนึ่งเฉินเป่ยเอ่ยปากแล้ว “ฉันไม่กลัวเธอไปบอกใครหรอก เธอคิดว่านี่คือกลิ่นคาวเลือดเหรอ?”
“นายหมายความว่าอะไร?” สีหน้าซูเหลยเปลี่ยนไป คำพูดนี้ของเฉินเป่ย ชั่วขณะนั้นทำให้หล่อนมีลางสังหรณ์ไม่ดีแล้ว
เฉินเป่ยนำขวดที่บรรจุของเหลวสีแดงสดขวดเล็กโยนให้ซูเหลยไป เอ่ยปากนิ่งๆ “น้ำหอมแดร็กคูล่าของชาแนลใหม่ล่าสุดรุ่นลิมิเต็ด ถ้าชอบล่ะก็ฉันยกให้เธอ”
ซูเหลยเปิดฝาออก หลังจากดมๆ ดู ชั่วขณะนั้นสีหน้าหม่นหมองลงมา ดูแย่เอามากๆ
ซูเหลยคาดการณ์ผิดอีกครั้ง กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นผสมกับกลิ่นหอมละมุนนิดๆ ลอยออกจากในขวดน้ำหอม ทำให้สีหน้าของซูเหลยดูแย่อย่างมาก
“เป็นยังไงบ้าง?” เฉินเป่ยมองทางซูเหลย หัวเราะนิดหน่อย
ซูเหลยมองทางเฉินเป่ยอย่างลึกซึ้ง หล่อนกัดฟันไว้ เวลานี้หล่อนย่อมเข้าใจโดยธรรมชาติ หล่อนโดนเฉินเป่ยปั่นหัวอีกครั้งแล้ว
คาดไม่ถึงหล่อนคิดว่าจะเปิดโปงสถานะของเฉินเป่ยได้แล้ว ผลลัพธ์ยังกระโดดเข้าหลุมพรางของเฉินเป่ยอย่างโง่เขลา
“ถ้าชอบเอาไปก็ได้นะ เพื่อนฉันคนหนึ่งเป็นตัวแทนขายน้ำหอม มีของเยอะเลย” เฉินเป่ยโบกฝ่ามือใหญ่ ทำเป็นใจป้ำ
“ไม่ต้องหรอก” ซูเหลยพูดอย่างเย็นชา ในใจยิ่งหงุดหงิดเพิ่มขึ้น ทำให้หล่อนรู้สึกว่าตนเองเหมือนไม่ได้กำลังสู้กับนักเลงหัวไม้อยู่ แต่กำลังสู้รบตบมือกับพวกปลิ้นปล้อนแผนสูง
“นี่ก็ดึกแล้ว ฉันไปพักผ่อนแล้วนะ นายก็รีบพักเถอะ ไปก่อนล่ะ”
ซูเหลยโยนน้ำหอมไปบนโซฟา จากนั้นเร่งฝีเท้าเดินไปทางหน้าประตูห้อง เสียงหนึ่งลอยเข้ามาจากหน้าประตูห้องแล้ว
เฉินเป่ยจ้องมองหน้าประตูห้องอยู่ ค่อยๆ เผยรอยยิ้มที่ตรึกตรองนิดๆ ออกมา
ความจริงก่อนหน้านี้เขาสะเพร่าแล้ว ไม่ได้ระวังกลิ่นคาวเลือด ดีที่ช่วงหลังเขากู้คืนได้อย่างกะทันหัน ทำน้ำหอมที่เหมือนกลิ่นคาวเลือดออกมาขวดหนึ่ง ปกปิดกลิ่นคาวเลือดที่หลงเหลือบนตัวไว้
เฉินเป่ยมองทางหน้าประตูห้อง แววตาลุ่มลึก ถ้าเขาสะเพร่า แล้วไม่ได้ทำน้ำหอมขึ้นมา หากอธิบายไปคงจะวุ่นวายมากกว่าในตอนนี้อย่างแน่
เฉินเป่ยคิดพลางก้มหน้ามองร่างตนเอง บ่นพึมพำ “ฉันไม่ได้มีเสน่ห์มากขนาดนั้นหรอกหรอก ถึงทำให้คนคนหนึ่งมาจับฉันไม่ปล่อยเลย”
หลังซูเหลยกลับมาถึงห้องก็กัดฟันแน่น หล่อนวางแผนมารอบคอบ แม้กระทั่งคิดคำตอบทั้งหมดของเฉินเป่ยไว้แล้ว ผลสุดท้ายสิ่งที่คาดการณ์ไม่ถึงคือเขาโยนน้ำหอมขวดหนึ่งออกมาปกปิดตนเอง และตัวเองยังหาเหตุผลอะไรมาหักล้างไม่ได้ด้วย
ช่างสง่าผ่าเผยเหลือเกิน สุดท้ายกลายมาเป็นตัวเองที่ขี้ระแวงไป
แต่ถึงแม้ซูเหลยจะไม่สามารถทำให้เฉินเป่ยสารภาพอะไรออกมาได้ แต่ยิ่งแน่ใจขึ้นว่าภาพเงาคนนั้นก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นเฉินเป่ยอย่างไม่ต้องสงสัย
ในห้องน้ำ ไอน้ำสีขาวที่เลือนรางลอยวนเวียนไม่ขาดสาย ในฝักบัวอาบน้ำน้ำร้อนสาดลงมาซ่าๆ ซูเหลยยืนอยู่ใต้ฝักบัวที่ราวกับน้ำตกย่อยๆ น้ำที่อุณหภูมิร้อนไหลผ่านผิวหนังและกล้ามเนื้อ ทำให้หล่อนค่อยๆ ใจเย็นลงมา นึกถึงต้นสายปลายเหตุ ยังแอบรู้สึกว่าตนเองเหมือนผิดพลาดอะไรไปแล้ว แต่อย่างไรเสียหล่อนก็นึกไม่ได้…….
………….
เช้าวันต่อมา น้อยมากที่เยี่ยนจิงจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ดังนั้นจึงฮือฮาขึ้นแล้ว
หนึ่งในนั้นคือหน้าประตูโรงแรมที่หลีชิงเยียนเฉินเป่ยพักอยู่ เกิดการสังหารหมู่ฉากหนึ่งแล้ว ภาพเหตุการณ์นองเลือด โหดร้ายทารุณจนไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นบนโลก ถูกสื่อนับไม่ถ้วนแย่งกันรายงานข่าว แพร่อย่างกว้างขวางทั่วทั้งเยี่ยนจิง
ต้องรู้ว่าความสงบเรียบร้อยของเยี่ยนจิงดีมาก ดังนั้นผู้ที่สามารถครอบครองอิทธิพลที่เยี่ยนจิงได้ ย่อมไม่ใช่พวกธรรมดา อิทธิพลของพวกเขาใหญ่กว่าหู้ไห่ไม่น้อย
และภายใต้สถานการณ์แบบนี้ หน้าประตูโรงแรม คืนเดียวคนล้มตายลงกันมากมายขนาดนี้ เป็นเรื่องระทึกขวัญที่ทำให้ผู้คนตกใจได้แน่
เรื่องราวนี้กลายเป็นข่าวร้อนแรงที่คุยกันไปทั่วทั้งเยี่ยนจิงแล้ว
ต่อมาทางตำรวจเยี่ยนจิงได้เรียกประชุมงานแถลงข่าว ตอนบอกออกมาว่าสาขาซ่าหลัวนี้ถูกสองคนกำจัดทิ้ง ผลกระทบที่ระเบิดขึ้น ยิ่งยากจะจินตนาการ
เยี่ยนจิงสั่นสะเทือน ทั้งสาขาซ่าหลัวที่มือกุมอาวุธไว้ยามอยู่ต่อหน้าสองคน กลับพ่ายแพ้ราบคาบหมด
สองคนนั้นแกร่งมากแค่ไหนกัน?
ยากมากจะจินตนาการว่าผลกระทบที่ก่อขึ้นในครั้งนี้น่ากว่ามากแค่ไหน
ถึงแม้ทางตำรวจเยี่ยนจิงจะแสดงออกว่ากำลังตรวจสอบอย่างเต็มที่มาตลอด แต่จากการปกปิดของซูเหลยและชิงเยียน พวกเขาจะค้นหาเจอได้อย่างไรกัน?
มีคนไม่น้อยเผยแพร่ออกไป บอกว่าคนร้ายทั้งสองนี้ เป็นปีศาจกลับชาติมาเกิดเป็นมนุษย์ ทำให้ซูเหลยและหลีชิงเยียนและที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ เหงื่อตกอย่างมาก
“ลากเธอเข้าไปในเรื่องนี้เสียแล้ว” หลีชิงเยียนสีหน้ามีความหมายเสียใจ
ซูเหลยส่ายหน้า “คุ้มครองความปลอดภัยของประธานหลีเป็นหน้าที่ของฉัน จ่อให้โดนลากเข้าไป จะกลัวอะไร?” ซูเหลยพูดเสียงเบา
ไม่นานสายตาหลีชิงเยียนก็ชำเลืองมองลงไป มองเห็นตรงจุดหนึ่งที่บนหนังสือพิมพ์ ทันใดนั้นหลีชิงเยียนสีหน้าเปลี่ยน ดวงตาเผยความฮึกเหิมออกมา
เธอมองที่พาดหัวข่าวหนึ่งในนั้น ซูเหลยมองไปตามสายตา ตกใจอยู่บ้าง “เร็วขนาดนี้เลย งานพนันเพชรพลอยจะเริ่มขึ้นแล้วเหรอ?”
หลีชิงเยียนพยักหน้า เงยหน้ามองเยี่ยนจิงทางด้านนอกหน้าต่าง สีหน้าหนักหน่วง พูดเสียงเบา “ในวันพรุ่งนี้ ใกล้แล้วล่ะ…….เยี่ยนจิงน่าจะคงไม่สงบแล้ว…….”
ซูเหลยมองทางนอกหน้าต่างเช่นกัน จากนั้นพยักหน้า จิตใจเริ่มกระสับกระส่ายขึ้นมา
ใช่ เจ้านายใหญ่แต่ละด้านของหัวเซี่ยล้วนไม่ยอมพลาดงานชุมนุม นี่ทำให้เยี่ยนจิงรวบรวมบุคคลยิ่งใหญ่มากเท่าไรกัน
เดิมทีเป็นเพียงงานชุมนุมของวงการพนันเพชรพลอย แต่ไม่รู้ทำไมครั้งนี้ถึงดึงดูดบุคคลแต่ละวงการเข้ามาแล้ว ทำให้คนนับไม่ถ้วนต่างคาดเดา หรือว่ามีพลังลึกลับสักอย่างกำลังก้าวก่ายอยู่หรือเปล่า?
ไม่เพียงแค่นี้ วันนี้ ทั้งท่าเรือของเยี่ยนจิง สนามบิน วิธีคมนาคมส่วนใหญ่ ต่างปรากฏการติดขัดน้อยบ้างมากบ้างขึ้นแล้ว
บุคคลที่นับวันยิ่งมากมารวมตัวกันที่นี่ ราวกับบ่งบอกว่ายุคสมัยยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
ทันใดนั้นหลีชิงเยียนตอบสนองเข้ามา เหมือนนึกอะไรได้ ลุกขึ้นฉับพลัน เดินตึกๆๆ พุ่งไปทางหน้าประตูห้องของเฉินเป่ยอย่างรีบร้อน ใช้แรงตบประตูห้อง สักพักหนึ่ง เสียงที่ดูเกียจคร้านและเต็มไปด้วยความรำคาญก็ลอยตามเสียงเปิดประตูออกมาด้วย “อะไรกัน ยัง……ยังจะให้คนนอนได้ยังไงเนี่ย?”
“ตอนนี้บ่ายแล้ว นายยังนอนอยู่อีกรึไง?”
หลีชิงเยียนกวาดสายตามองเฉินเป่ยทีหนึ่ง สายตาเต็มไปด้วยการเหยียดหยาม
เฉินเป่ยได้ยินน้ำเสียงที่หนาวเย็นราวน้ำค้างแข็งของหลีชิงเยียน ดวงตาที่เลือนรางสังเกตหลีชิงเยียนไปสักพัก จากนั้นตอบสนองเข้ามาอย่างฉับพลัน “โอ้ ประธานหลี ที่แท้เป็นคุณเอง ผมมีตาหามีแววไม่ เชิญครับๆ ……”
ซูเหลยที่อยู่ด้านข้างมองเห็นลักษณะนี้ของเฉินเป่ย เส้นเลือดบนหน้าผากเต้นขึ้น เจ้าหมอนี้ไม่รู้จักอายจริงๆ เลย
เขาอยู่ต่อหน้าหลีชิงเยียน อย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีเลย ตำแหน่งสักนิดก็ไม่มี นั่นคือยอมทำตามหลีชิงเยียน ช่วงเวลานี้ช่างเหมือนต้นแบบผู้ชายที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงสุดๆ
สิ่งที่ทำให้ซูเหลยไม่เข้าใจมากที่สุดคือผู้ชายแต่งเข้าบ้านผู้หญิงคนอื่นลำบากแทบตาย เหมือนตายทั้งเป็น ได้รับความไม่เป็นธรรมสารพัด
ส่วนพวกเขาต่างคิดว่าจะลุกขึ้นมาอย่างไร ไม่ให้คนอื่นดูถูกตนเอง
แต่เฉินเป่ยล่ะ? แต่เขาล่ะ? เจ้าหมอนี้พิเศษสุดๆ ความคิดและการกระทำก็ยังแปลก
ดูเท่าทางของขานั้น คาดไม่ถึงจะดื่มด่ำกับการปรนนิบัติหลีชิงเยียนมาก ลักษณะต่ำต้อยแบบนี้ เขายังชอบมากเหรอ?
ซูเหลยที่อยู่ด้านข้าง พูดเหน็บแนมในใจอย่างบ้าคลั่ง ดูถูกจนแทบไม่ไหว แต่กลับคาดไม่ถึงว่าเฉินเป่ยเหมือนจะรับรู้อะไรในใจได้ ถึงได้มองหล่อนไปทีหนึ่งแบบมีความหมายลึกซึ้ง