สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 279
บทที่279 ให้โอกาสนายสักครั้ง!
แม้กระทั่งมีหมาป่าหิวโหยบางส่วนทนไม่ไหวจนพยายามเบียดไปทางหญิงสาวมัธยมปลายคนนี้แล้ว
คนที่มีแผนการแอบซ่อนพวกนี้ค่อยๆ ยื่นกรงเล็บวายร้ายออกมา…….
ส่วนหญิงสาวมัธยมปลายคนนี้ร้องไห้อย่างเสียใจมาก เธออยากจะพุ่งเข้าไปช่วยพี่ชายของเธอมาก แต่ว่ารอบด้านของสนามต่อสู้ล้วนมีชายล่ำสันแต่ละคนคุ้มกันอยู่ รอยฟกช้ำบนหน้าผากของหญิงสาวมัธยมปลาย เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะพยายามจะพุ่งเข้าไป
สายตาแต่ละคนตกอยู่บนตัวหญิงสาวมัธยมปลายคนนั้น เธอดูเหมือนร้องไห้มานานแล้ว สะอึกสะอื้นจนร่างกายที่อ่อนนุ่มสั่นไหวตามลม เผยเอวเรียวบางที่อ่อนช้อยออกมา ทำให้คนน้ำลายไหล
“พี่ชาย……” หญิงสาวมัธยมปลายคนนั้นร้องไห้ไปพลางตะโกนไปพลาง เธอมองพี่ชายที่อยู่บนลานต่อสู้ที่ได้รับการทรมาน หัวใจเสมือนโดนมีดกรีด
เฉินเป่ยมองทางพี่น้องคู่นี้ หรี่ดวงตาขึ้นแล้วสังเกตอย่างละเอียด
“เป็นสาวน้อยที่น่าสงสารเสียจริง…….โดนเจ้าคนเลวนั้นทำให้ด่างพร้อย พี่ชายของเธอก็อยากทวงคืนความเป็นธรรม กลับโดนกดขี่รังแก……เฮ้อ…..”
ในฝูงชนที่โวยวายขยับไปมา มีผู้เฒ่าคนหนึ่งที่รู้เรื่องราวบางส่วนพูดทอดถอนใจ
“ฉันพักอยู่แถวนี้ มองเห็นพวกเขาสองคนพี่น้องอยู่ทุกวัน พ่อแม่ตายเร็ว สองพี่สองพึ่งพาอาศัยกันมีชีวิต……รู้สึกว่าสวรรค์นี่ก็จงใจจริงๆ ให้น้องสาวเกิดมาใสบริสุทธิ์ จะไม่เจอคนคิดถึงตลอดได้ยังไง พี่ชายของเธอที่ปกป้องเหมือนดอกไม้สดดอกนี้ แต่พี่ชายเธอรูปร่างผอมขนาดนั้น จะปกป้องได้ยังไงกัน!” ชายอีกคนเสียงดังมาก และราวกับระฆังยักษ์จนทำให้คนแสบแก้วหูไปหมดพูดขึ้นมา “แม่งเอ๊ย นี่ไม่ใช่ไม่กี่วันก่อนพี่ชายเธอไม่ได้ไปรับน้องสาวเลิกเรียนเหรอ ตอนที่เดินผ่านสำนักฝึกวิทยายุทธ ดันถูกเจ้าสำนักนี้สนใจเข้า ได้ยินว่าโดนเหยียดหยามอย่างโหดเหี้ยมรอบหนึ่ง…….คนอื่นเขาเป็นหญิงสาวพรหมจรรย์นะ เสียหายไปเต็มๆ เลย”
“เจ้าคนนี้มันไม่ใช่คนจริง นี่ไม่ใช่ทำคนเขาอื่นเขาเสียหายแล้วรึไง!”
“แม่งเอ๊ย เห็นว่าตัวเองใหญ่หน่อยแล้วจะเหนือกว่าใครรึไง แจ้งความ!”
ในฝูงชนฮือฮากันอย่างยิ่ง คำพูดของสองคนเมื่อกี้จุดไฟโกรธของคนมากมาย แต่ไม่นานก็มีคนเอ่ยปากอีก ราดน้ำเย็นเตือนสติ “คนอื่นเขาเปิดสำนักฝึกวิทยายุทธ พวกนักสู้ก็ใช้ความรุนแรงทำผิดกฎ เปิดสำนักฝึกวิทยายุทธมากมายอยู่ที่นี่ล้วนเรียกกันว่าราชา ว่ากันว่าเจ้าสำนักคนนี้เก่งกาจเชียวล่ะ ความสามารถเหนือขั้น ยุ่งไม่ได้ เขาเลยมีความมั่นใจกำเริบเสิบสานไปข่มเหงหญิงสาวคนอื่น……แต่พวกเราจะมีวิธีอะไร? ไม่มีทางหรอก ว่ากันว่าเจ้าสำนักคนนี้ทางขาวดำก็เอาหมด ใครก็ไม่กล้าหาเรื่องเขา แต่หญิงสาวที่เสียหายจากน้ำมือเขา ยังไม่ต่ำกว่าสิบกว่าคน!”
“ใช่ๆ ฉันได้ยินมาว่าเขากับผู้คนมากมายของตระกูลอู่ในเยี่ยนจิงมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลว พี่น้องสองคนนี้ ถึงแม้ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากมาย ก็คงไม่มีที่ให้ปลดปล่อย”
ทันใดนั้นผู้เฒ่าที่พูดเรื่องราวเมื่อสักครู่ออกมาคนนั้นพูดขึ้น “พวกเราอยู่ในถิ่นของคนอื่นเขานะ ทุกคนเพลาๆ หน่อยเถอะ ครั้งนี้พี่ชายเขาน่าจะโดนต่อยจนตายทั้งเป็น…..ส่วนน้องสาวเขา มีความเป็นไปได้มากว่าจะหนีไม่รอดกรงเล็บของเจ้าสำนัก”
ในฝูงชน คนมากมายมองทางเจ้าสำนักที่รูปร่างกำยำแข็งแกร่งคนนั้น สายตาเต็มไปด้วยความแค้นเคือง แต่ว่าใครก็ไม่กล้าเข้าไป
เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าขอเพียงแสดงอะไรออกมา มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีจุดจบเหมือนพี่ชายคนนั้น
บนลานต่อสู้ ผู้ชายผอมแห้งคนนั้นไม่มีกำลังต่อต้านถึงที่สุด แม้กระทั่งปกป้องตนเองยังทำไม่ได้เลย ทั้งตัวคือเลือด เหมือนกันคนตาย นอนอยู่ที่พื้น
เขาในเวลานี้ ดูขึ้นมาเหมือนใกล้ตาย อ่อนแรงเหมือนเนื้อปลาที่อยู่บนเขียง ได้แต่ปล่อยให้คนฆ่าแกง
ส่วนหญิงสาวมัธยมปลายกำลังมองเขาอยู่ น้ำตาไหลออกมาจากเบ้าตา ร่างกายสั่นเทาอย่างแรง ดูออกว่าในใจเธอฮึกเหิมอย่างถึงที่สุด
ส่วนเจ้าสำนักคนนั้น มองผู้ชายผอมแห้งคนนั้นจากบนลงล่าง บนหน้าฉีกรอยยิ้มหนาวเย็นที่ดุร้ายขึ้น เขาค่อยๆ ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้น เหยียบไปบนตัวผู้ชายที่ผอมแห้ง
“แกไม่ใช่อยากจะมาทวงหาความเป็นธรรมเหรอ ฉันก็ให้ความเป็นธรรมกับแกแล้วไง” เจ้าสำนักหัวเราะเยาะ น้ำเสียงก้าวร้าวโอหัง “ฉันก็แค่เล่นสนุกน้องสาวแกแล้วจะทำไม? โดยเฉพาะน้องสาวแกรสชาติไม่เลว ฉันยังไม่สะใจเท่าไรเลย”
เจ้าสำนักพูดจบ เงยหน้า มองหญิงสาวมัธยมปลายคนนั้นทีหนึ่ง เลียริมฝีปาก ในสายตาเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและการหยอกเย้า
“แกต้องได้รับกรรมตามสนอง” ผู้ชายคนนั้นเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง เขายังพยายามใช้แรงทั้งตัวพูดออกมา
“กรรมตามสนอง?” เจ้าสำนักหัวเราะเยาะ เหยียบนิ้วมือของผู้ชายผอมแห้งอย่างแรง ปลายเท้าบิดขยับไม่หยุด ความเจ็บปวดสุดจะทนทำให้ผู้ชายผอมแห้งขมวดคิ้วแน่น ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวไปหมด
“ฉันคือผลกรรมของแกกับน้องสาวแก แกจะทำอะไรฉันได้?” เจ้าสำนักหัวเราะเสียงดังฮาๆ กำเริบเสิบสานแบบไม่สนใจสักนิดว่าโดยรอบจะมีคนมากเท่าไร
แต่ในชั่วพริบตาเดียว จากในฝูงชนที่เบียดเสียดกันแน่น ทันใดนั้นก็มีเปลวไฟดวงหนึ่งยิงออกมา ความเร็วแบบยากจะจินตนาการได้ ยิงเข้าในปากของเจ้าสำนักแล้ว
ก้นบุหรี่ที่ร้อนและยังไม่ดับ แถมยังมีขี้บุหรี่ร่วงเข้าในปากที่อ้ากว้างของเจ้าสำนักทั้งหมด ถึงแม้คนจะมากแค่ไหน ก็มีเพียงคนจำนวนน้อยที่สามารถมองเห็นภาพลวงตาที่ลอยไปเมื่อสักครู่
แวบหนึ่งสีหน้าเจ้าสำนักเปลี่ยนไปชั่วขณะนั้น สิ่งที่ทำให้ทุกคนสงสัยคือเจ้าสำนักหุบปากไว้ หน้าผากเหงื่อผุดออกมา ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวยิ่งกว่าผู้ชายผอมแห้งคนนั้นตั้งหลายเท่า
เขาเหมือนได้รับความเจ็บปวดอย่างมาก โค้งตัวไอทันที มีคนมากมายมองเห็น ของเป็นผงถูกเขาคายออกมา สีนั้นเหมือนขี้บุหรี่เลย
ไม่นานเจ้าสำนักก็คายก้นบุหรี่ออกมาแล้ว เวลานี้เขาร้องเสียงดังขึ้นมาอย่างเจ็บปวด ในปากของเขา โดนลวกเป็นแผลไปหลายที่ ทุกที่ล้วนพองหมด
ปกติแผลพุพองหลังไฟไหม้ยังจัดการง่าย แต่แผลพองของเจ้าสำนักอยู่ในปาก
“แค่กๆๆ ……”
เจ้าสำนักกุมหมัด สีหน้าเขาผูกพยาบาท ส่วนฝูงชนที่มุ่งดูจมสู่ความเงียบสงบหมด ในอากาศเงียบสงัดไปแถบหนึ่ง สงบจนน่ากลัว
น้อยมากที่จะเห็นเจ้าสำนักโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำให้คนเหล่านี้ตัวสั่นเทาอย่างมาก
เจ้าสำนักกวาดตามองทีหนึ่ง รวมทั้งหญิงสาวมัธยมปลายคนนั้น เกือบจะทุกคนต่างก้มหน้าลงกันตอนที่เห็นเจ้าสำนักโกรธเคือง
เพราะเวลานี้ กลิ่นอายที่เจ้าสำนักแพร่กระจายมาช่างเกรียงไกรเหลือเกิน ทำให้พวกเขาไม่กล้าไม่เคารพ
แต่ยกเว้นคนหนึ่งในที่นี้
ห่างออกไปจากเจ้าสำนักสิบกว่าเมตร มีภาพเงาคนหนึ่ง มือทั้งคู่ล้วงกระเป๋ากางเกง ยืนอยู่ตรงนั้นแบบนั้น มองเจ้าสำนักอย่างสงบผิดปกติ
ความน่าเกรงขามที่ระเบิดออกจากบนตัวเจ้าสำนัก ไม่มีผลกระทบต่อเขาสักนิดเดียว
หลังเจ้าสำนักกวาดตามองรอบหนึ่ง สายตาตกอยู่บนตัวของเฉินเป่ย ดวงตาทั้งคู่นิ่งค้าง ก้าวเท้าออกมา “ก้นบุหรี่นี้แกเป็นคนโยนมา?” เจ้าสำนักสอบถามอย่างหนาวเย็น
“ไร้สาระ นอกจากฉันแล้วยังจะเป็นใครได้?” เฉินเป่ยนิ่งเฉยผิดปกติ แม้กระทั่งไม่ได้มองเจ้าสำนักสักนิด ดูไม่มีอะไรเลย
ส่วนผู้เฒ่าที่อยู่ด้านข้างตกใจแล้ว ต้องรู้ว่าเฉินเป่ยอยู่ห่างกับเจ้าสำนักระยะสิบกว่าเมตรเต็มๆ
เฉินเป่ยยังสามารถนำก้นบุหรี่ของแบบนี้ โยนเข้าในปากของเจ้าสำนักได้อย่างแม่นยำในระยะห่างสิบกว่าเมตร ระดับความแม่นแบบนี้ ทำให้คนเดือดดาลสุดๆ
ยากจะจินตนาการได้ ถ้าเมื่อสักครู่ของที่เฉินเป่ยโยนออกไม่ใช่ก้นบุหรี่ ถ้าเอาอาวุธพวกมีดพวกลูกดอกอะไรโยนออกไปล่ะ?
“แกอยากตายเหรอ?” ได้ยินเฉินเป่ยพูดจาอย่างตรงไปตรงมาขนาดนี้ เจ้าสำนักสายตาเย็นยะเยือก จ้องเฉินเป่ยพลางถามขึ้น
เฉินเป่ยคาบบุหรี่ไว้ จับผมที่ยุ่งเหยิงแล้วมองทางเจ้าสำนัก ถามอย่างสงบ “ให้ฉันตาย แกมีสิทธิ์นั้นเหรอ?”
เจ้าสำนักตะลึง ฝูงชนฮือฮา เพราะเฉินเป่ยช่างก้าวร้าวเหลือเกิน เกินกว่าความคาดหมายของพวกเขา
ใครจะไปคิดว่าที่นี่จะมีคนหนึ่งโผล่ออกมากะทันหัน ยั่วยุเจ้าสำนักอย่างเปิดเผย
“บ้าไปแล้ว ฉันฟังน้ำเสียงแล้วไม่เหมือนพวกเราคนเยี่ยนจิง คงไม่ใช่เป็นคนนอกเขตมั้ง ยังไม่มีใครกล้ายั่วยุเจ้าสำนักขนาดนี้ จุดจบของเขาอาจจะไม่ตาย แต่จะต้องแย่ยิ่งว่าพี่ชายของน้องคนนั้นแน่!”
“หาที่ตายมั้ง เป็นใครที่ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้ว ถึงได้กล้ามาพูดกับเขาขนาดนี้ ไม่เห็นผลลัพธ์ของคนนั้นบนลานต่อสู้รึไง?”
เจ้าสำนักมองทางเฉินเป่ย ดวงตาเขาหรี่ขึ้น จ้องเฉินเป่ยอย่างเย็นชา บนหน้าเผยความยั่วเย้าออกมา “ฉันมีไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ แกถามมันสิ”
พึ่งพูดจบ เจ้าสำนักก็ใช้แรงเต็มกำลัง ผู้ชายผอมแห้งคนนั้น ทั้งใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวด ส่งเสียงโหยหวนที่อ่อนแรงออกมาทีหนึ่ง
“พี่!” หญิงสาวอายุสิบแปดคนนั้น น้ำตาเม็ดใหญ่ไหลลงมาแล้ว อยากพุ่งขึ้นไปสุดชีวิต
แต่คนที่ยังคงมีสติข้างกายเธอเหล่านั้นก็ดึงเอาไว้ เธอพุ่งขึ้นไปขนาดนี้ ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยแน่
ในที่สุดเฉินเป่ยก็เห็นทุกอย่างนี้อยู่ในสายตาทั้งหมด ดวงตาเย็นขึ้นทันที
ไม่มีใครสังเกตเห็นความสงบของเขาในเวลานี้มีความหนาวเย็นเหน็บเพิ่มขึ้นมาแล้ว
เฉินเป่ยก้าวเท้าออกมา ส่วนที่ลานต่อสู้ ผู้ชายคนนั้นที่โดนเจ้าสำนักใช้เท้าเหยียบไว้ และกดอย่างแรงมองทางเฉินเป่ย อ้าปากด้วยความเจ็บปวด เห็นได้ชัดว่าอย่าให้เฉินเป่ยเข้ามา
แต่เฉินเป่ยเหมือนไม่ได้มองเห็น เดินไปด้านข้างลานต่อสู้ มือทั้งคู่ล้วงกระเป๋ากางเกง ทำปากยื่น มองทางเจ้าสำนัก เอ่ยปากบอก “ปล่อยเขาซะ”
“แล้วถ้าฉันไม่ทำล่ะ?” เจ้าสำนักกวาดตามองเฉินเป่ยทีหนึ่ง หัวเราะเยาะเย้ย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เห็นเฉินเป่ยอยู่ในสายตาเลย
ไม่เพียงแค่นี้ รอยยิ้มของเจ้าสำนักนับวันยิ่งดุร้าย เขายกเท้าขึ้น เหยียบไปบนศีรษะของผู้ชายคนนั้นตรงๆ
เจ้าสำนักมองทางเฉินเป่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความภูมิใจและถากถางอย่างไม่มีทางปิดซ่อน บนหน้าเขาราวกับเขียนประโยคหนึ่งเอาไว้ “แกจะทำอะไรฉันได้?”
ซู่!
สีหน้าเฉินเป่ยหนาวเย็นขึ้นฉับพลัน ทั้งตัวมีกลิ่นอายที่ลึกล้ำระเบิดออกมา
วินาทีนั้น เฉินเป่ยราวกับกลายร่างเป็นหลงที่โหดเหี้ยมดุร้าย อุณหภูมิทั้งหมดลดลงกะทันหัน
แม้แต่เจ้าสำนักที่ยืนอยู่ตรงกลางลาน ในใจก็อดสั่นไม่ได้ จิตวิญญาณลึกๆ เกิดความรู้สึกหวาดกลัวนิดๆ ขึ้นมา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันรู้สึกหนาวขึ้นมากะทันหันล่ะ?” มีคนพึมพำ ไม่เข้าใจสาเหตุ
เฉินเป่ยจ้องมองเจ้าสำนักอยู่ สายตาสงบลุ่มลึก เวลานี้มีความหนาวเย็นที่พูดไม่ถูกอยู่อันหนึ่ง
“งั้นฉันถือโอกาสเป็นตัวแทนพระเจ้าจัดการคนชั่วเอง” เฉินเป่ยเอ่ยปากชัดถ้อยชัดคำ ภายใต้การจ้องมองที่ตื่นตระหนกของคนนับไม่ถ้วน เขาเดินทีละก้าวเข้าสู่ลานต่อสู้
การกระทำนี้ของเฉินเป่ย ชั่วขณะนั้นทำเอาคนตกใจจำนวนมาก
“เขาอยากทำอะไร……โอ้มายก็อด เขาบ้าไปแล้วมั้ง!”
“คาดไม่ถึงจะกล้าท้าทาย…… เจ้าสำนัก? ท้าทายเจ้าสำนัก หากพ่ายแพ้ก็ตายหมดนะ!”
“คนหนุ่มก็บุ่มบ่ามกันแบบนี้ เขาไม่ชั่งน้ำหนักดูเหรอว่าตัวเองมีกำลังแค่ไหน หาที่ตายขนาดนี้เลย”
เสี้ยววินาทีที่เฉินเป่ยพุ่งเข้าไปในลานต่อสู้ คนที่มุงดูนับไม่ถ้วนต่างตื่นตกใจ มองทางเฉินเป่ย สีหน้าเต็มไปด้วยความซับซ้อน
แม้แต่เจ้าสำนัก หลังมึนงงไปสักครู่หนึ่ง ถึงตอบสนองเข้ามา หัวเราะฮาๆ มองทางเฉินเป่ยด้วยหน้าตาประหลาด “เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นคนโง่แบบแก……เอาตัวเองมาส่งถึงที่……ฮาๆๆๆ”
เฉินเป่ยมองทางเจ้าสำนัก สีหน้าสงบ เหมือนไม่สะทกสะท้านใดๆ
เขามองทางเจ้าสำนัก แววตาเผยความหมายหยอกล้อ “ตอนนี้ฉันให้โอกาสแกสำนึกผิด ขอโทษเขาซะ!”