สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 283
บทที่283 รูปถ่ายใบหนึ่ง
เฉินเป่ยตะลึง มองทางหลีชิงเยียน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโมโหคู่นั้น รอยยิ้มบนหน้าเปลี่ยนไปอย่างมีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งขึ้นมาฉับพลัน
“พูดมาขนาดนี้ คุณยังตัดใจให้ผมตายไม่ได้สินะ?” เฉินเป่ยยิ้มบอก
ในใจหลีชิงเยียนสั่น คำพูดประโยคนี้ของเฉินเป่ย เหมือนทิ่มเข้าตรงที่อ่อนนุ่มจุดหนึ่งในใจ
เธอปล่อยเฉินเป่ยออก เฉินเป่ยล้มลงบนโซฟาไปตรงๆ หลีชิงเยียนกอดหน้าอกไว้ “นายตายไปก็ดีที่สุดเลย ใครสนใจนายกัน!”
จากนั้นหลีชิงเยียนทิ้งคำพูดหนึ่งเอาไว้ หมุนตัว ใส่รองเท้าส้นสูง เดินออกจากห้องดังตึกๆๆ
เฉินเป่ยเก็บขวดเหล้าขึ้น ดื่มเหล้าที่เหลือติดก้นขวดน้อยนิดนั้นจนหมด มองทางด้านนอกห้องพัก หน้าตามึนงง ลักษณะสับสนไม่เข้าใจสถานการณ์
หลีชิงเยียนต่อว่าออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่ถือว่าห่วงใยเขาหรือเปล่า?
เฉินเป่ยเปิดเหล้าอีกขวดหนึ่ง ในแววตาที่เลอะเลือน ค่อยๆ โดนความเศร้าใจนั้นแทนที่อีกครั้ง……
…………
หลีชิงเยียนกลับมาถึงในห้องพักของตนเอง นั่งลงบนโซฟาอย่างเดือดดาล กอดแขนสองข้างไว้ ท่าทางยังโกรธเคืองไม่หาย
ซูเหลยตามหลังหลีชิงเยียนมาติดๆ เวลานี้หล่อนสีหน้าเคร่งขรึม แต่มีเพียงตัวหล่อนเองที่รู้ว่าในความเป็นจริงหล่อนกำลังกลั้นขำไว้
เมื่อสักครู่มองเห็นระหว่างหลีชิงเยียนกับเฉินเป่ยสองคนนี้สนทนากัน เกือบจะทำให้หล่อนหัวเราะออกมา โชคดีที่แรงควบคุมของหล่อนค่อนข้างแข็งแกร่ง จึงฝืนกลั้นควบคุมตนเองเอาไว้ได้
“เจ้าคนเลวนี่!” หลีชิงเยียนนั่งอยู่บนโซฟา ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่แก้มขาวนวลงดงามของเธอนั้นกลายเป็นสีแดงเถือกสุดๆ เหมือนถูกไฟไหม้อยู่ แก้มของเธอเดือดลวก ทำให้เธอรู้สึกเพียงอึดอัดอย่างหาที่เปรียบไม่ได้……เธอแอบปกปิดที่โดนเฉินเป่ยฉีกหน้าอย่างไม่ต้องสงสัยสักนิด เธออุตส่าห์รวบรวมความกล้าไปถามไถ่เฉินเป่ยสักหน่อย……ผลปรากฏว่าเจ้าหมอนี่ยังไม่รับน้ำใจไว้อีก
“เขาจะเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวกับฉัน!” หลีชิงเยียนกัดฟันแน่น กดไฟโกรธที่โหมกระหน่ำลง เดินไปที่แล็ปท็อป เริ่มทำงานอย่างสงบใจ จัดการงานทั่วไปของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปสาขาที่เยี่ยนจิง
ส่วนซูเหลยนั่งอยู่ด้านข้าง มองหลีชิงเยียนที่จิตใจไม่อยู่กับงานโดยสิ้นเชิงแล้วยิ่งรู้สึกน่าสนุก
เพียงแต่หลีชิงเยียนยังฝืนกลั้นไว้ พยายามทำท่าทางที่ไม่ห่วงใยเฉินเป่ยเลยสักนิด ทำให้หล่อนยิ่งรู้สึกน่าตลกมากขึ้น
สุดท้ายผ่านไปได้ไม่นาน หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว ถามซูเหลยว่า “เธอรู้มั้ยว่าเขาดื่มไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“เหมือนว่านานมากแล้วมั้งคะ?” ซูเหลยแสดงท่าทางลังเล ความเป็นจริงในใจรู้ชัดเจนมาก…….ครั้งก่อนหล่อนกับไอรีนร่วมมือกัน โดนเฉินเป่ยหยอกเล่นไปครั้งหนึ่ง เฉินเป่ยคอแข็งอย่างยิ่ง เหล้าขาวหลายขวดนี้ คงไม่ทำให้เมาได้หรอก
ผลลัพธ์ภายในช่วงสิบกว่าชั่วโมงต่อมา หลีชิงเยียนอยู่ในห้องกระวนกระวายใจมาก พอนึกถึงเหล้าขาวแต่ละลังที่วางไว้บนโต๊ะเฉินเป่ย ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ
ซูเหลยกลับเรียบเฉยผิดปกติ ไม่ว่าหลีชิงเยียนใช้วิธีอะไรบอกหล่อนเป็นนัยว่าให้หล่อนไปดูเฉินเป่ยหน่อย หล่อนต่างแสร้งทำเป็นฟังไม่เข้าใจ พูดปลอบใจว่า “ประธานหลี คุณวางใจเถอะค่ะ เขาคอแข็งมาก เดิมทีดื่มไม่ถึงตายหรอก อย่างมากก็แค่เมาสลบไป”
ดวงตาหลีชิงเยียนจ้องซูเหลยอยู่ ในใจกลัดกลุ้มอยู่บ้าง เธอไม่เข้าใจ ปกติซูเหลยที่ฉลาดว่องไว และอะไรนิดเดียวก็เข้าใจได้ ทำไมสถานการณ์แบบในวันนี้ ทำไมถึงฟังความหมายในคำพูดของเธอไม่เข้าใจกัน
หลีชิงเยียนย่อมไม่รู้ว่าในห้องพักด้านข้าง เหล้าแต่ละลังที่วางเรียงเอาไว้โดนกวาดเรียบหมด……เหล้าพวกนี้รวมกันขึ้นมายังเป็นเหล้าที่สามารถทำให้คนหลายสิบคนเมามายไม่ได้สติกัน ในที่สุดก็ทำให้เฉินเป่ยต้านทานฤทธิ์เหล้าไม่ไหว หลับลึกลงไป เมาจนล้มบนโซฟา
และทั้งในห้อง กลิ่นเหล้าฟุ้งกระจายเต็มไปตั้งแต่แรกแล้ว…….
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก โดยเฉพาะสำหรับเฉินเป่ย เหล้าขาวหลายลังถึงทำให้เฉินเป่ยเมาล้มได้ ทำให้ในที่สุดเขาหลับไปลึกภายใต้อาการมึนเมาของฤทธิ์แอลกอฮอล์ ชั่วพริบตาเดียวก็หลับไปหลายสิบชั่วโมง นี่ทำให้ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกัน
วันต่อมาช่วงใกล้เที่ยง ในที่สุดหลีชิงเยียนที่อยู่ในห้องก็ทนไม่ไหวแล้ว เดินไปเดินมาด้วยความร้อนใจ ในดวงตางดงามเต็มไปด้วยความกังวล
ซูเหลยนั่งอยู่ด้านข้าง ขมวดคิ้วแน่น พูดเสียงต่ำ “นี่ใกล้จะยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้ว ดื่มมากแค่ไหนก็ควรตื่นได้แล้ว”
ประธานนางฟ้าที่ปกตินิ่งขรึมใจเย็น ในที่สุดก็ควบคุมอารมณ์ของตนเองไม่อยู่ เผยความกังวลที่เป็นห่วงล้ำลึกออกมา “ก่อนหน้านี้เห็นเหล้าขาวหลายลังอยู่บนโต๊ะเขา ต้องดื่มไปมากเกินแน่ๆ ทำให้ตอนนี้ถึงยังไม่ตื่นขึ้นมา”
เมื่อเช้านี้หลีชิงเยียนกับซูเหลยไปเคาะประตูห้องเฉินเป่ยหลายครั้งแล้ว แต่ว่าในห้องเฉินเป่ยยังคงไม่มีการตอบสนอง ในที่สุดก็ทำให้หลีชิงเยียนมีความลนลานนิดๆ
“ประธานหลี ใจเย็นก่อนค่ะ” ซูเหลยเอ่ยปากปลอบใจหลีชิงเยียน “พวกเรารออีกสักครึ่งชั่วโมง หากอีกครึ่งชั่วโมงเขาไม่ออกมาอีก ก็ค่อยพังประตูห้องเปิดออก”
หลีชิงเยียนมองนาฬิกาข้อมือ ขมวดคิ้วแน่น ค่อยๆ ถอนหายใจยาวทีหนึ่ง พยักหน้าแล้ว “ได้”
เวลาผ่านไปแต่ละนาทีแต่ละวินาที หลีชิงเยียนพยายามทำให้ตนเองสงบใจลงมา นั่งอยู่บนโซฟา แต่ดวงตากลับจ้องนาฬิกาตาไม่กะพริบ ในใจยิ่งไม่สามารถสงบลงมาได้
ทันใดนั้นแวบหนึ่งหลีชิงเยียนก็รีบลุกยืนขึ้นมา มองทางซูเหลย ใช้น้ำเสียงดุเดือดแบบไม่เป็นที่สงสัยขึ้นมา “ถึงครึ่งชั่วโมงแล้ว รีบไปหาผู้จัดการ เป็นก็ต้องเห็นตัว ตายก็ต้องเห็นศพ”
ซูเหลยมองทางหลีชิงเยียนที่สีหน้าเคร่งขรึม ในใจแอบถอนหายใจ สุดท้ายยังไม่ได้พูดอะไรไป พยักหน้า แล้วลุกขึ้นยืน
“ไป”
หลีชิงเยียนดึงมือของซูเหลยขึ้นอย่างไม่ให้โอกาสพูด พุ่งออกจากห้องพักของโรงแรม ไปหาผู้จัดการแล้ว
ในช่วงจังหวะก้าวเท้า ซูเหลยมองทางหลีชิงเยียน ท่าทางใจลอย……หล่อนย่อมมองออกเป็นธรรมดา หลีชิงเยียนมีความรู้สึกอย่างหนึ่งต่อเฉินเป่ยแล้ว แต่ตอนที่หล่อนพึ่งเป็นบอดี้การ์ดของหลีชิงเยียน หลีชิงเยียนยังแสดงอำนาจบาตรใหญ่วางมาดกับเฉินเป่ยอยู่เลย เดิมทีเห็นเขาเป็นแค่คนใช้
แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรกัน หลีชิงเยียนที่นิสัยเย็นชาเรียบเฉยจะมีช่วงที่ร้อนใจเช่นนี้? โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเพื่อผู้ชายคนที่สองในชีวิตด้วย
เฉินเป่ยมีเสน่ห์มากขนาดนี้จริงเหรอ? แม้กระทั่งซูเหลยเองยังไม่รู้ตัว หลังรู้ว่าเฉินเป่ยมีที่มาลึกลับ แม้แต่หล่อนเองยังไม่ได้รำคาญเฉินเป่ยขนาดนั้นอีกเช่นกัน
มุมมองของหล่อนต่อเฉินเป่ยเปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว
หลังผ่านการเจรจารอบหนึ่ง ในที่สุดผู้จัดการโรงแรมก็เห็นด้วย เปิดห้องพักของเฉินเป่ยให้หลีชิงเยียนกับซูเหลยเข้าไป
ไม่นานผู้จัดการโรงแรมก็หยิบคีย์การ์ดมาใบหนึ่งแล้วพาทั้งสองเดินไปที่หน้าห้องของเฉินเป่ย ผู้จัดการโรงแรมหยิบคีย์การ์ดมารูดเบาๆ ประตูห้องเสียงดังขึ้นทีหนึ่ง ช่องประตูร่องหนึ่งเปิดออก
“ทั้งสองท่าน ประตูห้องเปิดแล้วครับ” ผู้จัดการโรงแรมยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ บนหน้ายังมีความหมายที่จำใจอยู่
เดิมเขาไม่ควรเปิดประตูห้องให้หลีชิงเยียนกับซูเหลย แต่ท่าทีหลีชิงเยียนแข็งกร้าว แม้กระทั่งข่มขู่เขาว่าคนในมีอาจจะมีอันตรายถึงชีวิต ผู้จัดการโรงแรมจึงผิดใจไม่ได้ และรับผิดชอบเรื่องนี้ไม่ไหวด้วย ได้แต่เปิดประตูห้องให้
พอผู้จัดการเปิดออก หลีชิงเยียนรีบร้อนผลักประตูห้อง ใส่รองเท้าส้นสูงพุ่งเข้าไปแล้ว ไม่กลัวตนเองจะสะดุดล้มเลยสักนิดเดียว
ซูเหลยรีบตามไปด้านหลัง มองท่าทางของหลีชิงเยียนรีบร้อน และลุกลี้ลุกลน แอบอดถอนหายใจไม่ได้ กลัวว่าหลีชิงเยียนจะรู้สึกชอบจริงๆ แล้ว
หลีชิงเยียนพุ่งเข้ามาในห้อง ก้าวเท้าช้าลงทันที ดวงตาเบิกโต ฉากในห้องทำเอาเธอตกใจแล้ว
“มีอะไรเหรอ?” ซูเหลยตามเข้ามา กระทั่งเดินมาถึงด้านข้างของหลีชิงเยียน
หลีชิงเยียนไม่ได้ตอบคำถาม แต่ว่ามองในห้องอยู่ เกือบใกล้จะจมสู่ความเงียบงัน
ซูเหลยถือโอกาสมองไปตามทางที่หลีชิงเยียนชี้ หล่อนก็เงียบไปเช่นกัน
พอเดินเข้าห้องมา เธอได้กลิ่นเหล้าที่ฟุ้งกระจาย กลิ่นเหล้านี้เพียงแค่ใช้จมูกดมก็ทำให้จิตใจคนเกิดอาการเมาได้
และไม่รู้ว่าต้องดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนถึงจะกลายเป็นกลิ่นเหล้าที่เข้มข้นได้ขนาดนี้
และในห้องรับแขก ทุกอย่างรกรุงรังไปหมด ขวดเหล้าระเกะระกะ บนโต๊ะโซฟายุ่งเหยิงสุดจะทน เทียบกับคอกหมาแล้วยังทนดูเต็มตาไม่ได้เลย
ราวกับเป็นภาพหลังโดนพายุโหมซัดสาดไป
หลังจากหลีชิงเยียนกวาดสายตาผ่าน ไม่นานสายตาก็ตกอยู่บนตัวคนหนึ่งในนั้น ภาพเงาคนคนนี้นอนอยู่บนพื้น ทั้งตัวมอมแมม กำลังหลับฝันหวาน เสียงกรนดังสนั่นหวั่นไหว ถึงแม้จะเป็นซูเหลยที่อยู่ข้างกายหลีชิงเยียนยังสามารถรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนในที่ว่างกลางอากาศได้ คาดไม่ถึงเป็นผลกระทบจากเสียงกรนของเฉินเป่ย
ซูเหลยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย นี่ความสามารถอะไรของเฉินเป่ยกัน แม้แต่กรนยังกระทบถึงที่ว่างกลางอากาศได้?
หลังหลีชิงเยียนกวาดตามองทีหนึ่ง ดวงตางดงามสาดแววตาที่แข็งทื่อออกมาฉับพลัน เธอมองทางบนโต๊ะ เหล้าขาวแต่ละลังล้วนถูกดื่มจนเกลี้ยง
“ดื่มทั้งหมดเลย……มิน่า…….” หลีชิงเยียนพึมพำ เธองงแล้ว
ซูเหลยแสดงสีหน้าที่สงบ ในใจกลับสั่นสะเทือนอย่างยิ่ง เหล้ามากขนาดนี้ถึงสามารถมอมเฉินเป่ยให้เมาได้ คอเขาแข็งระดับไหนกันแน่?
“ไปปลุกเขาให้ตื่นเถอะ” หลีชิงเยียนบอกกับซูเหลยข้างกาย
ซูเหลยพยักหน้า เดินไปทางเฉินเป่ย
ส่วนหลีชิงเยียน หลังมองทั่วทุกด้านไปรอบหนึ่ง สายตาตกอยู่บนรูปถ่ายใบหนึ่งที่ตกอยู่ข้างมือขวาของเฉินเป่ย เธอมีความสงสัย นั่งยองลงมา เก็บรูปถ่ายขึ้น
ปัดฝุ่นบนรูปถ่ายออก หลีชิงเยียนมองรูปถ่ายอย่างละเอียด ชายหญิงบนรูปถ่าย นั่งอยู่บนเก้าอี้ และในนี้ไม่มีสักคนที่เธอรู้จัก
เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นเฉินเป่ยจับรูปถ่ายที่ตนเองไม่เคยเห็นไว้ ดื่มจนเมามาย หรือว่ารูปถ่ายใบนี้มีเรื่องราวอะไร?
ตอนที่หลีชิงเยียนถือรูปถ่ายไว้กำลังจมสู่การครุ่นคิด เฉินเป่ยโดนซูเหลยปลุกตื่นขึ้น หลังตื่นมา แวบแรกเฉินเป่ยมองเห็นหลีชิงเยียนถือรูปถ่ายไว้ สีหน้าเปลี่ยนไป เขาพึ่งลืมตาอย่างงงงวย ชั่วขณะนั้นสติแจ่มแจ้งก็เข้ามาแทนที่
แววตาเฉินเป่ยเย็นชา ยื่นมือราวกับฟ้าแลบ ความเร็วที่ว่องไวทำให้ซูเหลยยังไม่มีการตอบสนองเข้ามาสักนิด
“นายทำอะไร?” หลีชิงเยียนใบหน้าเย็นเฉียบ มองทางเฉินเป่ย
“ไม่ได้ทำอะไร” เฉินเป่ยเก็บรูปถ่ายไป หลีชิงเยียนเหมือนจับอะไรไว้ได้ จ้องเฉินเป่ยอยู่ ถามว่า “รูปนี้เกี่ยวข้องอะไรกับนาย?”
“ไม่เกี่ยวอะไร” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นเหล้าที่เหม็นหึ่ง
หลีชิงเยียนขมวดคิ้วขึ้น น้ำเสียงดูเสียดสีเพิ่มขึ้น “ไม่เกี่ยวอะไร นายจะถือมันแล้วดื่มจนเมาเหรอ?”
เฉินเป่ยไม่พูดจา แต่หลีชิงเยียนกลับรุกก่อนอย่างไม่ยอมปล่อย พูดว่า “เอารูปมาให้ฉันดูหน่อย”
“นี่เป็นเรื่องของผม” ทันใดนั้นเฉินเป่ยปฏิเสธ น้ำเสียงมีความหมายเด็ดเดี่ยวหลายระดับ ทำให้หลีชิงเยียนตะลึงเล็กน้อย
น้อยมากที่หลีชิงเยียนจะเจอสถานการณ์แบบนี้ น้อยมากที่เฉินเป่ยจะปฏิเสธ เกือบจะไม่ต้องคิดเลย
เห็นได้ชัดมากว่ารูปถ่ายใบนั้นจะต้องไม่ธรรมดาแน่ สามารถทำให้เจ้าคนเลวนี่ฝ่าฝืนตนเองต้องการปกป้องสิ่งของ สรุปซ่อนความลับอะไรเอาไว้?
ซูเหลยที่อยู่ด้านข้างเผยความอยากรู้อยากเห็นเงียบๆ ออกมา หล่อนนึกไม่ถึงเช่นกันว่าเฉินเป่ยจะเปลี่ยนไปเด็ดขาดขนาดนี้ได้เพราะรูปถ่ายใบนี้?
ไม่ให้หลีชิงเยียนดูสักนิดอย่างคาดไม่ถึง