สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 294
บทที่294 ของที่ประเมินค่าไม่ได้!
ลักษณะพลังแบบนั้น ไร้รูปร่าง แต่ไม่ว่าเฉินเป่ยหรือหลีชิงเยียนล้วนรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงไปของนายพลได้อย่างชัดเจน
นั่นเป็นเพียงลักษณะพลังโหดร้ายนิดๆ กลับทำให้หลีชิงเยียนรับไม่ไหวอยู่บ้าง ร่างกายอ่อนช้อยสั่นเทาทันที ราวกับจะค้ำยันไม่ไหวได้ทุกเมื่อ
ในแววตาลึกของเขาเผยความมหัศจรรย์ออกมา ว่ากันว่าตอนนายพลนายทหารรวมตัวขึ้นมาจำนวนมากพอสมควร บนตัวจะแพร่กระจายกลิ่นอายที่โหดเหี้ยม หน้าตาดุร้าย แม้แต่ภูติผียังต้องหลบเลี่ยง
การฝึกฝนตนเองที่โหดร้าย หล่อหลอมออกมา ล้วนเป็นการมีตัวตนที่ราวกับสัตว์ป่าดุร้าย
ส่วนท่วงท่าบนตัวของเขานั้น ปกติที่ทำตัวธรรมดาไม่เปิดเผย แต่พอวันนี้ระเบิดออกมา สีหน้าของหลีชิงเยียนก็เปลี่ยนไปยกใหญ่ ส่วนเฉินเป่ยเหมือนไม่ได้รู้สึกถึงอะไรเลย สีหน้านิ่งเฉยมาก
ไม่นานนายพลก็เก็บลักษณะพลังนี้ไป มองเฉินเป่ยอย่างลึกซึ้ง แม้แต่น้ำเสียงที่พูดจายังลุ่มลึกขึ้นมา “ฉันหมายถึงใคร ในใจตัวเองยังไม่ชัดเจนอีกเหรอ?”
จากนั้นนายพลก็พูดประโยคหนึ่งกับหลีชิงเยียนอย่างไม่ง่ายจะนิ่งลงมาได้ “ชิงเยียน เพียงแค่เล่นๆ อยู่ที่โซนพนันระดับสูงก็พอแล้ว อย่าไปที่นั่นเด็ดขาด บุคคลในสถานที่นั่นล้วนเป็นที่คุณไม่มีทางจะจินตนาการได้”
หลังนายพลพูดกับหลีชิงเยียนจบ กวาดสายตามองเฉินเป่ยอย่างเย็นชาอีกที “ในฐานะคนใช้ นายต้องดูแลชิงเยียนแทนฉันให้ดี ไม่อย่างนั้นต่อให้เธอไว้ชีวิตนาย ฉันก็คงไม่ไว้ชีวิตนายหรอก”
แต่ละประโยคของเขาล้วนเผด็จการอย่างยิ่ง น้ำเสียงไม่เป็นที่สงสัยใดๆ
ราวกับนี่ต่างหากถึงเป็นเขา ผู้ชายที่เผด็จการคนหนึ่ง
เฉินเป่ยมองนายพลท่านนี้ ในแววตามีการเยาะเย้ยแวบผ่าน หัวเราะ เอาตนเองสวมบทบาทเข้าไปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? ดูแลชิงเยียนแทนเขา เฉินเป่ยแอบบ่นพึมพำ เป็นกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิงฝึกลำบากเกินไปหรือเปล่า ทำเอาสมองเอ๋อไปแล้ว ทั้งยังพูดคำพูดโง่เง่าแบบนี้ออกมาอีก
“นายใจเย็นหน่อย!” หลีชิงเยียนดันๆ เฉินเป่ย ขมวดคิ้ว
“ทำไมกัน คุณพูดคุยหัวเราะกับคนอื่นเขา ยังไม่ยอมให้ผมพูดอะไรสักนิดเลยรึไง?” เฉินเป่ยพูดอย่างกลัดกลุ้ม
หลีชิงเยียนหัวเราะเยาะ “คนอื่นเขาเป็นคนมีอำนาจเยอะ ไม่เพียงสถานะตำแหน่งทำให้คนมากมายอิจฉา แม้แต่ในสุดยอดดาบสามเล่มนั้น ก็ยังรู้จักคนไม่น้อย”
คำพูดของหลีชิงเยียนเผยการเสียดสี ราวกับอยากเอาเฉินเป่ยมาเปรียบเทียบด้วย
“สุดยอดดาบสามเล่ม?” เฉินเป่ยถามด้วยความสงสัย
หลีชิงเยียนพยักหน้า บอกว่า “ได้ยินว่าในสุดยอดดาบสามเล่มนั้น ล้วนเป็นรอบตัดสินของบุคคลชั้นยอดบางส่วน และเขารู้จักผู้สืบทอดของโลกการพนันเพชรพลอยท่านหนึ่งในนั้นด้วย ยังมีหัวหน้าสมาคมของสมาคมผู้ค้าอัญมณีหัวเซี่ย เขาก็ยังรู้จัก”
เฉินเป่ยมองหลีชิงเยียน จากความเข้าใจของเฉินเป่ยที่มีต่อหลีชิงเยียน ย่อมเดาความคิดในใจของหลีชิงเยียนออก
“คุณอยากให้พวกเขามาช่วยบริษัท?” เฉินเป่ยเกือบจะเดาความคิดของหลีชิงเยียนออกในชั่วขณะหนึ่ง นี่ทำให้หลีชิงเยียนรู้สึกแปลกใจ อดมองเฉินเป่ยเพิ่มไม่ได้
หลีชิงเยียนพยักหน้า “ใช่ ฉันอยากเชิญหนึ่งในนั้นมาดำรงตำแหน่ง มาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป” หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยอย่างแปลกประหลาด เหมือนกำลังตกใจ เฉินเป่ยสามารถทายเป้าหมายของเธอได้ภายในแวบเดียว ทำให้ในใจเธอตื่นตระหนกเล็กน้อย
ส่วนเฉินเป่ย ในใจก็สงบนิ่งเป็นพิเศษ เขาย่อมเดาความคิดในใจของหลีชิงเยียนได้ เพราะตอนที่หลีชิงเยียนพูดถึงบุคคลพวกนั้น เขาก็รู้ได้แล้ว
เกรงว่าเป็นเพราะบุคคลเหล่านี้ ความมั่นใจที่หลีชิงเยียนอยากได้รับยิ่งเพิ่มมาก ถึงยินยอมคุยกับนายพลมากขนาดนั้นสินะ?
ทันใดนั้นเฉินเป่ยหัวเราะทีหนึ่ง ทำให้หลีชิงเยียนตะลึง ถามว่า “นายหัวเราะอะไร?”
“คุณคงไม่คิดว่าพวกเขาจะยินยอมมาเป็นที่ปรึกษาของบริษัทจริงๆ หรอกมั้ง?” เฉินเป่ยหัวเราะอยู่ถามไป
หลังหลีชิงเยียนตะลึงไปสักครู่ ไม่นานสีหน้าไม่ดีขึ้นมา ถามว่า “นายหมายความว่ายังไง? บริษัทไม่ดีตรงไหน จะทำให้พวกเขาไม่ได้รับความเป็นธรรมเหรอ?”
“ไม่ใช่ ผมคิดว่าคุณไปลองดูสักหน่อยก็ได้ โดยเฉพาะไปลองดูสักนิด อะไรก็รู้ทั้งหมดแล้ว” เฉินเป่ยนำบุหรี่มวนหนึ่งออกมา พูดนิ่งๆ
สีหน้าหลีชิงเยียนค้าง โดยเฉพาะเธอไม่กล้าลองดู ทำได้เพียงจ้องเฉินเป่ย ถามว่า “พูดสิ่งที่นายรู้ออกมาให้หมด”
เฉินเป่ยสูบบุหรี่แล้ว หลังพ่นควันบุหรี่ออกมา ค่อยๆ พูดว่า “สามารถเข้ามาสถานที่นั่นได้ ต้องเป็นการมีตัวตนที่ถือว่าอยู่บนยอดของวงการพนันเพชรพลอยอย่างไม่ต้องสงสัย และบุคคลพวกนี้ คุณคิดว่าพวกเขาจะคำนึงถึงส่วนได้ส่วนเสียของตัวเองไหม? ปรมาจารย์พนันเพชรพลอยแต่ละท่านล้วนต้องใช้ทรัพยากรมากมายนับไม่ถ้วนมาสร้างขึ้น หากในมือไม่ผ่านการพนันเพชรพลอยหมื่นครั้งขึ้น ย่อมไม่อาจกลายเป็นปรมาจารย์เพชรพลอยได้…….และสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นทรัพยากร ปรมาจารย์พนันเพชรพลอยที่อยู่ในนั้น เบื้องหลังแต่ละท่านล้วนมีอิทธิพลใหญ่ หรือบริษัทยักษ์ใหญ่หนุนหลัง…….คุณคิดว่าบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมีตรงไหนเทียบกับพวกเขาได้?”
เฉินเป่ยค่อยๆ โน้มน้าว ความจริงทำให้หลีชิงเยียนจมสู่การครุ่นคิด
“ยิ่งไปกว่านั้น มีผมก็พอแล้วมั้ย? มีผมอยู่ ตีทั้งงานพนันเพชรพลอยจนไร้ศัตรู!” เฉินเป่ยเอ่ยปากอย่างทระนงองอาจ กลับทำให้หลีชิงเยียนเงยหน้าทันที กวาดตามองเฉินเป่ยทีหนึ่ง ดวงตางดงามเผยการเหยียดหยามที่เข้มข้นออกมา “นายเนี่ยนะ ไปขุดก้อนหินเถอะ ฉันจะต้องหาปรมาจารย์พนันเพชรพลอยท่านหนึ่งให้ได้ ครั้งนี้ บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปจะต้องชนะ!”
หลีชิงเยียนเงยหน้า มองทางเฉินเป่ย สีหน้าดื้อรั้น ในดวงตาเขียนความแน่วแน่ไว้เต็มเปี่ยม ไม่ว่าเจออุปสรรคอะไร เธอล้วนจะไม่ถอย
น้ำเสียงของหลีชิงเยียนยืนยันไม่หวั่นไหว ทำให้ในใจเฉินเป่ยสั่นสะเทือนนิดๆ มองทางหลีชิงเยียน น้อยมากที่เขาจะเห็นตอนที่หลีชิงเยียนดื้อขนาดนี้
ไม่นานหลีชิงเยียนก็หมุนตัวออกไป ส่วนเฉินเป่ยมองภาพด้านหลังที่สวยเพริศพริ้งของหลีชิงเยียนอยู่ เวลานี้ภาพด้านหลังประกายความแน่วแน่ไม่ท้อถอย ไม่ยินยอม และอารมณ์ซับซ้อนสารพัด พูดกับในสายโทรศัพท์นั้นเสียงต่ำ “จัดการปรมาจารย์พนันเพชรพลอยท่านหนึ่งมาให้เมียฉัน”
“ลูกพี่ มีพี่อยู่ ยังต้องเอาปรมาจารย์พนันเพชรพลอยอะไรอีก ไม่ใช่ว่าเอามะพร้าวห้าวไปขายสวนเหรอ?” ในสายนั้น น้ำเสียงชิงเหนียนเผยความประหลาดใจ เขาไม่เข้าใจความหมายของเฉินเป่ย
“ความปรารถนาของผู้หญิง ไม่ใช่ต้องทำให้พอใจหรอกเหรอ?” น้ำเสียงเฉินเป่ยเปลี่ยนไปลึกล้ำขึ้นมา “ฉันไม่สนว่านายจะใช้วิธีอะไร ยังไงก็ต้องหามาให้ฉันคนหนึ่ง ถ้าอิทธิพลบริษัทยักษ์ใหญ่ไม่วางมือ นายคงรู้ว่าต้องทำยังไง” น้ำเสียงเฉินเป่ยเรียบเฉย เหมือนพูดเรื่องที่ง่ายดายแสนธรรมดาเรื่องหนึ่งเอง
ส่วนชิงเหนียนในสายนั้นกลับอุดโทรศัพท์ไว้ เผยเสียงหัวเราะขมขื่นนิดๆ ออกมา
เขาย่อมรู้ว่าประคำพูดประโยคสุดท้ายของเฉินเป่ยหมายความว่าอะไร……สามารถใช้วิธีสันติจัดการดีที่สุด ถ้าไม่ได้……งั้นก็ต้องใช้ไม้แข็งจัดการ
ในใจชิงเหนียนชัดเจนอย่างมาก ถ้าบางทีลูกพี่กับพี่สะใภ้อาจมีความรู้สึกต่อกันจริง…….ถ้าพี่สะใภ้ยินยอมเอ่ยปาก ถึงแม้ลูกพี่จะเอาทั้งโลกไปมอบให้ก็ไม่บ่นแม้แต่คำเดียว
หลังวางสายโทรศัพท์ เฉินเป่ยล้วงกระเป๋ากางเกง รีบตามเข้าไปแล้ว
ตอนตามมาถึงหลีชิงเยียน พนักงานบริการคนหนึ่งเดินมาถึงตรงหน้าของหลีชิงเยียน เอ่ยปากอย่างเคารพ “คุณผู้หญิงครับ การประมูลรอบใหม่เริ่มขึ้นแล้ว ถ้าท่านยินยอม ผมสามารถนำท่านเข้าไปได้ครับ”
หลีชิงเยียนพยักหน้า พูดว่า “พาพวกเราไปห้องพนันระดับสูงกว่านี้อีกได้มั้ย เมื่อกี้ที่ห้องนั้นไม่มีอะไรที่ฉันสนใจ”
“ได้แน่นอนครับ เชิญตามผมมาครับ” พนักงานบริการรอยยิ้มเต็มหน้า หลีชิงเยียนทั้งสามคนเดินตามพนักงานบริการเข้าไปในห้องพนันที่เล็กกว่า ซึ่งมีเพียงไม่ถึงสิบคน
ส่วนพิธีการของการประมูลในห้องเล็กแห่งนี้ ก็เปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสที่ประสบการณ์โชกโชน
เฉินเป่ยเพียงกวาดตามองแขกผู้มีเกียรติในห้องแวบเดียว ทันในนั้นแววตาตกอยู่บนตัวคนหนึ่งในนั้น ก่อนจะหยุดชะงักแวบหนึ่ง จากนั้นถึงย้ายสายตาหนี
และภาพเงาคนนั้นเหมือนมีความรู้สึกในใจ เงยหน้ามองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง จากนั้นนำความสนใจไปอยู่บนแท่นประมูลด้านหน้า
หลีชิงเยียนที่อยู่ด้านข้างเฉินเป่ยอดมองภาพคนนั้นอย่างสงสัยไม่ได้ เป็นแขกผู้มีเกียรติเหมือนกัน ทว่าข้างกายคนคนนี้กลับมีสองสามคนแอบอารักขาเขาอยู่ข้างใน ปกป้องเขาอย่างดีที่สุด
เทียบกับแขกผู้มีเกียรติที่ใส่ชุดสูทคนอื่นแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เหมือนคนอื่นเป็นพิเศษ ใส่เสื้อคลุมสีขาว ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ในห้องพนันแห่งนี้
เสื้อคลุมสีขาวตัวนี้ปักลวดลายสารพัด ยิ่งมีสัตว์ในตำนานล้อมรอบ แม้แต่คนทั่วไปต่างรู้สึกได้ถึงความหรูหราสูงศักดิ์ของเสื้อคลุมสีขาวตัวนี้
เสื้อคลุมขาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายโบราณแบบนี้ ขัดกันกับในยุคสมัยนี้ แต่พอสวมใส่บนตัวของชายหนุ่ม กลับเหมาะสมกับบุคลิกของชายหนุ่มอย่างมาก และการกระทำคำพูดของชายหนุ่มล้วนเป็นธรรมชาติเหลือเกิน ใส่เสื้อคลุมยาวตัวนี้ ให้ความรู้สึกงดงามแบบโบราณที่แตกต่างไป
สายตาของหลีชิงเยียนมองตามเสื้อคลุมสีขาวของชายหนุ่มลงไป สุดท้ายตกอยู่บนหยกห้อยที่อยู่ตรงเอวของชายหนุ่ม ดวงตาแข็งตัวทันที
บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปเป็นกิจการที่ทำอัญมณี สำหรับของหรูและของหายากใดๆ หลีชิงเยียนย่อมไม่แปลกหน้า
และหยกห้อยที่เอวของชายหนุ่มอันนี้ สายตาของหลีชิงเยียนร้อนแรงแค่ไหน เกือบจะในชั่วพริบตาเดียวก็จำมูลค่าของหยกห้อยนี้ออกแล้ว
หลีชิงเยียนที่จำมูลค่าหยกห้อยนี้ได้ สีหน้าตื่นตะลึงไปหมด เธอจ้องหยกห้อยนั้นแบบตาไม่กะพริบ ท่าทางยากจะเชื่อ
เธอเกือบตกใจจนร้องออกมาแล้ว
เพราะเธอเคยเจอหยกห้อยของชายหนุ่มในหนังสือภาพประกอบเล่มหนึ่ง หลีหยางเคยบอกกับเธอว่าของล้ำค่าที่หายไปชิ้นนี้ เหมือนหลุดไปที่ต่างประเทศ ไม่รู้ไปที่ไหน…….แต่มูลค่าของหยกห้อยชิ้นไม่มีสิ้นสุด ของที่ประเมินค่าไม่ได้
หยกห้อยแบบนี้ น่าจะได้รับการคุ้มครองจัดการอย่างแน่นหนาและปลอดภัยที่สุด……เอาไว้ที่สภาพแวดล้อมสุญญากาศ ศึกษาวิจัยอย่างละเอียด…….และอย่างไรเสียหลีชิงเยียนก็คาดไม่ถึงว่าหยกห้อยนี้จะปรากฏตัวอยู่ที่เอวของชายหนุ่มคนนี้
หากทำเสียหายตามอำเภอใจ ในสมองหลีชิงเยียนก็มีคำเหล่านี้เด้งขึ้นมา……..นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เหยียดหยามต่อของล้ำค่าที่สุด
ของล้ำค่าที่ไม่มีทางใช้เงินมาวัดค่า……ถูกชายหนุ่มเอามาห้อยที่เอวเรื่อยเปื่อยขนาดนี้ ราวกับนี่เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งของเขา……แม้กระทั่งเขายังไม่ใส่ใจของมีค่านี้สักนิดเดียว เขากำลังจ้องหินแร่บนเวที แววตาเปล่งประกาย ท่าทางมีความรู้สึกสนใจมาก
“เอ๋……หยกห้อยนี้คุ้นตามากเลย ทำไมถึงเหมือนก้อนนั้นที่ฉันขายออกไปขนาดนี้?” ในเวลานี้มีเสียงหนึ่งลอยเข้ามาจากด้านข้าง
หลีชิงเยียนมองทางเฉินเป่ย เฉินเป่ยจ้องหยกห้อยที่เอวชายหนุ่มอย่างสนใจ ตาทั้งสองลุกวาว พูดอย่างตื่นเต้น
ส่วนหลีชิงเยียนสายตาตกใจแข็งค้างทันใด……มุมปากแดงงดงามอวบอิ่มของเธอเป็นตะคริวอย่างรุนแรง เจ้าหมอนี่……..พูดจาโอ้อวดเพ้อเจ้อ เมื่อไรจะพูดความจริงสักประโยคหนึ่ง?
ของที่ประเมินค่าไม่ได้แบบนี้……ขายออกไปจากในมือของเขา? เป็นไปได้อย่างไร? เขาถือว่าเป็นใครกัน โจรปล้นสุสานเหรอ