สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 303
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่303 ถือมีดเข้ามา!
รถไมบัคที่สูงศักดิ์แล่นบนถนนด้วยความเร็ว ภายใต้การบดบังของฉากยามค่ำคืนที่ลึกล้ำมืดมิด ไม่นานก็เข้าใกล้โรงแรมระดับห้าดาวที่อยู่ห่างออกไปแล้ว
และเวลานี้ ภายในโรงแรม ไม่ว่าเป็นหลีชิงเยียน ซูเหลยหรือว่าเฉินเป่ย ต่างไม่รู้สึกถึงอันตรายที่จะเข้ามาหาเลย
ซูเหลยที่อยู่ในห้องพัก นั่งอยู่บนโซฟา ครุ่นคิดเรื่องเมื่อช่วงกลางวันอยู่ ฉากการต่อสู้นั้นของพลเอกหลี่และเฉินเป่ย……หล่อนจำได้อย่างชัดเจน คาดไม่ถึงเฉินเป่ยเป็นมวยจูนถี่ของกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแบบปรับปรุงใหม่ของทีมรบพิเศษด้วย ทำให้หล่อนมักมีลางสังหรณ์บางอย่าง เหมือนว่า นี่คือวิธีที่ดีที่สุดในการรู้สถานะของเฉินเป่ย
ที่ทำให้ซูเหลยแปลกใจคือนายพลระดับสูงของกระทรวงการป้องกันสงครามของเยี่ยนจิงท่านนั้นไม่สามารถสู้เฉินเป่ยได้…มวยจูนถี่ที่เพิ่มการต้านทานนั้น หมัดหนึ่งที่มีพลังน่าสยองขวัญ คาดไม่ถึงจะตกเป็นเบี้ยล่างเอาดื้อๆ
การสังเกตของซูเหลยรอบคอบเก็บทุกรายละเอียด หล่อนจำได้อย่างแจ่มชัด หลังปล่อยหมัดหนึ่งออกมา พลเอกหลี่ก็ถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะยืนอยู่ที่เดิม แขนขวาสั่นเทาเบาๆ อยู่ไม่ขาดสาย
หรือว่าเป็นอาการแทรกซ้อนภายหลังเหรอ? สรุปเป็นหมัดแบบไหนกันที่สามารถทำให้พลเอกหลี่เกิดอาการแทรกซ้อนภายหลังได้?
ซูเหลยย่อมไม่อาจจะนึกได้ว่าเป็นสาเหตุของการสั่นพ้อง
ในความเป็นจริง ทำให้พลเอกหลี่รู้จักการสั่นพ้องระดับแบบนี้ได้ก็บังเอิญเสียจริง อย่างซูเหลยนั้น เดิมทีย่อมไม่รู้ว่าอะไรคือการสั่นพ้อง
ซูเหลยขมวดคิ้วอยู่ ครุ่นคิดอย่างหนัก ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบกลับคิดไม่ออก เฉินเป่ยกับทีมรบพิเศษมีความเกี่ยวข้องอะไรกัน……เขาใช้ท่ายกทุ่มข้ามไหล่ได้อย่างไรกันแน่?
ตอนที่เฉินเป่ยใช้ท่ายกทุ่มข้ามไหล่นั้น เดิมทีซูเหลยมองไม่เห็น ดังนั้นในความเป็นจริงซูเหลยไม่สามารถยืนยันได้ว่าที่เฉินเป่ยใช้ออกมา สรุปแล้วเป็นท่ายกทุ่มข้ามไหล่ที่ผ่านการปรับปรุงใหม่หรือไม่
ซูเหลยแอบรู้สึกว่าตนเองเหมือนเข้าใกล้ความจริงของเรื่องจริงอีกนิด แต่ตอนที่หล่อนจะเข้าใกล้นั้น ถึงท้ายที่สุดกลับมีอุปสรรคบางอย่างขวางกั้นตนเองในการค้นหาความจริง……สิ่งที่ทำให้หลงทางแต่ละอย่างทำให้เธอไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
………
“เอี๊ยด!”
เสียงเสียดสีของล้อรถกับพื้นที่เสียดแก้วหูทำลายบรรยากาศยามค่ำที่เงียบสนิท รถยนต์ไมบัค62sที่สูงศักดิ์คันหนึ่งจอดลงที่หน้าประตูของโรงแรมแล้ว หน้าประตูโรงแรม พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เฝ้ายามสองคนมองรถไมบัคคันนั้นอย่างไม่เข้าใจ จากบนรถไมบัคคันนั้น รู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่ไม่ชัดเจน มีลางสังหรณ์น่าประหลาดใจอย่างหนึ่ง รถไมบัคคันนี้……ผู้มาเยือนไม่น่าเป็นมิตร
ภายในรถ ลูกน้องพูดกับท่านผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโสครับ ถึงแล้วครับ”
ท่านผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ในรถ กำลังหลับตาทั้งคู่อยู่ พักผ่อนสายตา และพอได้ยินคำพูดประโยคนี้ จึงลืมตาทั้งคู่ทันใด พลังแสงที่น่าตกใจแวบผ่านจากในแววตาเขา
ชั่วพริบตาเดียว มีท่วงทีที่ไร้รูปร่างพุ่งทะยานขึ้นมาจากบนตัวเขา ส่วนลูกน้องที่อยู่ด้านข้างสั่นเทาไปหมด สายตาหวาดหวั่น
“ลงรถ” ท่านผู้อาวุโสเอ่ยปากนิ่งๆ มีเพียงสองคำเท่านั้น กลับทำให้ลูกน้องสองคนนี้เคารพราวกับพระราชโองการ
ประตูรถเปิดออก ลูกน้องก้าวออกจากรถ มือหนึ่งแนบไว้ที่เพดานรถ พูดอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้อาวุโสครับ ระวังศีรษะ……”
ท่านผู้อาวุโสก้าวเท้าออกจากในรถ หนวดเคราขยับเองแบบไร้ลมพัด เดินไปที่หน้าประตูโรงแรมทีละก้าว…
ตอนแรกลูกน้องสองคนอยากตามหลังท่านผู้อาวุโสไป แต่พอนึกถึงท่านผู้อาวุโสเข้าไปสังหารหมู่ จึงได้แต่มองท่านผู้อาวุโสแบบเต็มไปด้วยความเคารพหวาดกลัวกำลังหายไปจากหน้าประตูโรงแรม
“เป็นใครกันแน่ ถึงต้องให้ท่านผู้อาวุโสลงมือด้วยตัวเอง?” ลูกน้องหนึ่งในนั้นพูดอย่างอกสั่นขวัญแขวน
“ไม่รู้” ลูกน้องอีกคนหนึ่งส่ายๆ หน้า “นานมากแล้วที่ท่านผู้อาวุโสไม่เคยลงมือ แต่ทุกครั้งที่เขาลงมือ ล้วนมีภาพสังหารคนอย่างโหดเหี้ยมทารุณปรากฏขึ้น!”
ลูกน้องคนนั้นพูดไปด้วย หดๆ ศีรษะไปด้วย “นั่นเป็นภูเขาศพทะเลเลือด เป็นฉากที่สยดสยองที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา!”
“งั้นในโรงแรมแห่งนี้ เกรงว่าไม่มีใครโชคดีรอดพ้นไปได้แล้ว”
ช่วงเวลาที่ลูกน้องทั้งสองคนพูดคุยกัน ท่านผู้อาวุโสก้าวขึ้นบันไดทีละขั้น ความจริงปีนขึ้นไม่หยุด เสื้อคลุมสีขาวที่สะอาดมาก และบันไดที่เขาเดินผ่าน คาดไม่ถึงจะแตกระแหงแกรกๆ รอยร้าวแบบใยแมงมุมแต่ละรอยสะดุดตาอย่างมาก
หน้าประตูโรงแรม พนักงานรักษาความปลอดภัยที่เฝ้ายามสองคนเห็นฉากนี้เข้า ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนแล้ว
พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนมองทางท่านผู้อาวุโส เอามือหนึ่งจับที่กระบองด้วยสีหน้าระแวง ตะโกนเสียงดุ “หยุดนะ!”
แต่ท่านผู้อาวุโสเหมือนไม่สนใจพนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนนี้ มองทางหน้าประตูโรงแรมไปตรงๆ แล้วก้าวเดินเข้าไป
“หยุดอยู่ที่เดิมนะ!” เห็นท่านผู้อาวุโสเดินเข้าไปใกล้อีก ในที่สุดพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนก็ทนไม่ไหวแล้ว…ควักกระบองไฟฟ้าแรงสูงออกมา
แต่เพียงแวบเดียว ในตาท่านผู้อาวุโสก็ปรากฏความหมายเยาะเย้ยฉับพลัน หัวเราะเสียงเบา ก้าวเท้าออกมา
“ตึง!”
ร่างกายท่านผู้อาวุโสสั่นไหวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวปรากฏอยู่ตรงหน้าพนักงานรักษาความปลอดสองคนแล้ว
ชั่วขณะนั้นสีหน้าพนักงานรักษาความปลอดภัยทั้งสองคนเปลี่ยนไป มองทางท่านผู้อาวุโส ในแววตาเผยความตื่นตกใจออกมา
อย่างไรเสียพวกเขานึกไม่ถึงว่าผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีขาวท่านนี้ ระยะห่างอยู่ไกลขนาดนี้ คาดไม่ถึงพริบตาเดียวก็ปรากฏตัวตรงหน้าของพวกเขาแล้ว
นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน ทำได้อย่างไรกัน?
แต่เวลานี้พวกเขาสงสัยกันก็สายไปเสียแล้ว ท่านผู้อาวุโสยื่นมือสองข้างออกมาราวสายฟ้าแลบ บีบลำคอของพวกเขาทั้งสองคนเอาไว้
“แกร๊ก!”
เสียงดังกังวานทีหนึ่ง สองคนดวงตาเบิกโต ตายตาไม่หลับ พวกเขาถลึงตาใส่ท่านผู้อาวุโสไปทื่อๆ เหมือนว่ายากจะปิดความตกใจและความไม่อยากเชื่อที่อยู่ในใจไว้ได้
แต่ร่างกายของพวกเขาอ่อนลงมากันแล้ว ท่านผู้อาวุโสมองสองคนแบบเหยียดหยามแวบหนึ่ง ทิ้งสองคนไปอย่างง่ายดายเหมือนกับโยนขยะ จากนั้นปัดๆ มือ เอามือไพล่หลังเดินไปในโรงแรม ท้ายสุดเพียงแค่พูดอย่างเรียบเฉย “พวกต่ำต้อย สมน้ำหน้า”
เสื้อคลุมสีขาวที่สะอาดสะอ้านของท่านผู้อาวุโสนั้น ไม่มีกระทั่งรอยเปื้อนของฝุ่นแม้แต่นิดเดียว ยังคงสะอาดขนาดนั้น
เพียงแต่สีหน้าของท่านผู้อาวุโสยิ่งหนาวเหน็บเย็นยะเยือกขึ้น ราวกับมีน้ำค้างแข็งเกาะอยู่ด้านบนชั้นหนึ่ง
ในแววตาของท่านผู้อาวุโสมีแรงอาฆาตหนาวเหน็บที่กำลังค่อยๆ ก่อหวอดในแววตาลึก อยากจะสาดยิงออกมา
“รังแกคนตระกูลอวี้ของฉัน อย่างนั้นคนในที่นี้ก็มาตายเป็นเพื่อนแกเถอะ” น้ำเสียงท่านผู้อาวุโสสงบอย่างประหลาด และการกระทำของเขากลับใกล้จะอยู่จุดสุดยอดแล้ว แม้กระทั่งได้แต่มองเห็นภาพโหดเหี้ยมแวบผ่านไปแบบเลือนราง
โถงใหญ่โรงแรม ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ พนักงานคนหนึ่งกำลังเข้าเวร ใบหน้าเธองดงามไร้เดียงสา เวลานี้เป็นช่วงกลางดึก มีแขกไม่มากเท่าไรมาลงทะเบียนเข้าพัก เธอกำลังหาว ทันใดนั้นมองเห็นภาพเงาคนสีขาวปรากฏตัวในขอบเขตสายตาอย่างไม่ชัดเจน
ตอนที่สมองเชื่องช้าของเธอยังไม่ตอบสนองเข้ามา พริบตาเดียวภาพเงาคนสีขาวสั่นไหวก็ปรากฏตัวตรงหน้าของเธอแล้ว
ในใจเธอสั่นสะเทือน ชั่วขณะหนึ่งได้สติเข้ามา เธอพึ่งอยากเอ่ยปาก สอบถามผู้อาวุโสเสื้อคลุมขาวที่สวมเสื้อผ้าหายากท่านนี้ว่าต้องการห้องแบบไหน ทันใดนั้นเธอก็อ้าปากแล้ว พบว่าตนเองไม่มีเสียงออกมาสักนิดเดียว
ส่วนผู้อาวุโสเสื้อคลุมขาวเพียงแค่กวาดสายตามองเธอเมินเฉยแวบหนึ่ง ก่อนเดินไปทางด้านในโรงแรม
เธอรีบลุกขึ้นทันที อยากขวางผู้อาวุโสเอาไว้ สอบถามสักรอบ กลับรู้สึกที่ลำคอมีความเจ็บปวดซัดสาดออกมาอย่างยากจะรับได้ด้วยความสยองขวัญ
พอเธอลูบลำคอ ดวงตาหดอย่างแรง เผยเลือดที่น่าตกใจออกมามากมาย ทั้งหมดล้วนเป็นเลือด ทั่วทั้งมือเป็นเลือดทั้งนั้น
“เฮือก!” เลือดสดทะลักออกมาจากลำคอของเธอ ทำให้ผนังสีขาวเนียนของโถงใหญ่โรงแรมเปื้อนไปด้วยสีเลือดแดงเถือกอัปลักษณ์
ส่วนคอของเธอปรากฏรอยเลือดขึ้น รอยเลือดนี้นับวันยิ่งชัดเจน ตามมาด้วยศีรษะของเธอ คาดไม่ถึงจะแยกออกเป็นสองส่วนกับร่างกายของตนเอง
เธอถึงมองเห็นผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีขาวที่อยู่ไกลออกไปเก็บปลายมีดที่เปื้อนเลือดสดเต็มไปหมด……มีดของผู้อาวุโสเสื้อคลุมสีขาวช่างไวเหลือเกิน ผ่านไปตั้งหลายวินาทีเต็มๆ ถึงทำให้เลือดสดทะลักออกมา…จนกระทั่งผ่านไปนานมากความเจ็บปวดถึงปรากฏขึ้น แม้กระทั่งร่างกายของเธอยังตอบสนองอย่างเชื่องช้า
“ตึง!”
พนักงานคนนี้หมดลมหายใจ เธอล้มลงแล้ว….ชีวิตที่ไร้ความผิดหนึ่งชีวิตหายไปอย่างง่ายดายขนาดนี้…และในสายตาของท่านผู้อาวุโสนั้นไม่ใช่เพียงแค่สงบไฟโกรธของอวี้ย้งเซวียนลงเองหรอกเหรอ
พวกเธอเป็นเพียงสิ่งของที่ฝั่งไปพร้อมคนตายที่น่าสงสาร ทั้งยังต้อยต่ำกว่าพวกไร้ค่าเสียอีก
“ฆ่าคนแล้ว!”
พนักงานคนหนึ่งเดินออกมาจากโถงทางเดิน มองเห็นพนักงานประชาสัมพันธ์ ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เสียงของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน เต็มไปด้วยเสียงแหลมคมแสบแก้วหู
และเขาพึ่งตะโกนออกมา แวบเดียวก็ไม่มีเสียงใดอีก…บนพื้นเพิ่มมาอีกศพหนึ่ง
ท่านผู้อาวุโสเดินผ่านศพนี้ไป แม้กระทั่งยังไม่ได้มองตรงๆ สักแวบหนึ่ง
ในห้องพัก เฉินเป่ยพิงที่ขอบหน้าต่าง มองฉากยามค่ำคืนของเยี่ยนจิง เล่นไฟแช็กzippoทองแท้อยู่ในมือ นึกถึงภาพในอดีตที่ประธานหญิงคนหนึ่งตอนที่ตนเองใกล้จะไป ยัดไฟแช็กอันหนึ่งให้เขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำให้ที่มุมปากของเขาฉีกรอยยิ้มขึ้นนิดๆ
ในเวลานี้ ทันใดนั้นรอยยิ้มที่วาดขึ้นตรงมุมปากเฉินเป่ยก็หายไป แววตาของเขามีความหนาวเหน็บล้ำลึกก่อหวอดขึ้น
เขาได้กลิ่นจากด้านนอกห้องพัก ลอดผ่านช่องประตู มีกลิ่นคาวเลือดที่ประหลาดลอยมา
เฉินเป่ยมองทางหน้าประตูห้องพัก มุมปากยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น เต็มไปด้วยแรงอาฆาตเย็นเฉียบ
“เร็วไปหน่อยนะ” เฉินเป่ยกำลังพูดกับตนเอง ราวกับว่าเขาคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เพียงแค่เร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้ไปหน่อย
ในโถงทางเดินด้านนอกห้องของเฉินเป่ยเต็มไปด้วยศพมากมาย และกลิ่นคาวเลือดที่เหม็นหึ่ง
“ตึกๆๆ …….”
ท่านผู้อาวุโสเดินอยู่กลางโถงทางเดิน สีหน้าสงบเรียบเฉย มีดในมือของเขามีเลือดหยดลงหยดแล้วหยดเล่า ส่วนเสื้อคลุมสีขาวของเขากลับไม่มีเลือดสดเปื้อนสักนิด ราวกับหิมะขาวบนยอดภูเขาหิมะที่สูงลิบ อยู่เหนือมวลชน ก้มลงมองสิ่งมีชีวิตทุกอย่างแบบเย็นชา
เขาถือมีดอยู่ตลอดทางเดินมาถึงหน้าประตูห้องของเฉินเป่ยและหลีชิงเยียน จากนั้นถึงหยุดลงมา