สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 305
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่305 หลง!
“ศพทั้งตัว?” เฉินเป่ยตะลึงเล็กน้อย จากนั้นมองท่านผู้อาวุโสพลางพูดว่า “ก้อนหินกากๆ สองก้อนนั้น ฉันยังไม่ได้ตัด แกต้องการก็เอาไปได้เลย” เฉินเป่ยพูดอยู่ น้ำเสียงชะงัก มองท่านผู้อาวุโสด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ให้หินสองก้อนนี้กับแก แกก็ไม่เหลือศพทั้งตัว”
น้ำเสียงของเฉินเป่ยช่างสงบนิ่งเหลือเกิน ราวกับกำลังพูดความจริงที่แน่นอนเรื่องหนึ่ง
“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!” ท่านผู้อาวุโสสีหน้ายิ่งหนาวเหน็บขึ้น เขาก้าวเท้าออกมา เสียงเย็นเฉียบ เต็มไปด้วยแรงอาฆาตแค้นไร้ขีดจำกัด “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเหลือแต่หัวให้แกอันเดียวก็พอแล้ว”
“ชิ้ง!”
คมมีดปาดมาทางเฉินเป่ยอย่างโหดเหี้ยม กั้นด้วยที่ว่างกลางอากาศ ล้วนรู้สึกได้ถึงความหนาวสะท้านของคมมีดนั้น
มีดในมือของท่านผู้อาวุโสนั้นเป็นมีดวิเศษเล่มหนึ่งจริง แม้แต่หลังเฉินเป่ยมองเห็นและปะทะหลายครั้งขนาดนั้น มีดวิเศษยังไม่โดนเขาผ่าหักไปได้ อดเผยความตกใจออกมาไม่ไหว
ตระกูลอวี้ ในฐานะตระกูลการพนันเพชรพลอย ตนเองจึงมีความสามารถในการประเมินราคา เจอกับมีดวิเศษแบบนี้เข้า ย่อมมองจุดที่ไม่ธรรมดาของมันออกโดยธรรมชาติ ไม่รู้ว่าจ่ายไปด้วยราคามากเท่าไรถึงซื้อมันมาได้
“ชิ้งๆๆ!”
คมมีดที่แวววาวปะทะฟาดฟันกับแสงสีดำที่ไวราวกับฟ้าแลบอยู่ไม่ขาดสาย ประกายไฟสาดกระเซ็นไปทั่ว เสียงเสียดสีดังขึ้นไม่หยุด
สีหน้าของท่านผู้อาวุโสยิ่งหนักหน่วงขึ้น เพราะความสามารถของเฉินเป่ย นับวันยิ่งเกินกว่าความคาดหมายของเขา
ตอนแรกเขาคิดว่าเฉินเป่ยเป็นเพียงพวกกระจอก กลับนึกไม่ถึงว่าจนถึงตอนนี้เฉินเป่ยยังไม่ตกเป็นเบี้ยล่างเลย แม้กระทั่งยังแอบกดหัวเขาไว้อีก
ท่านผู้อาวุโสกัดฟัน เขามองทางเฉินเป่ย อย่างไรเสียเขาก็นึกไม่ออกว่าเฉินเป่ยจะครอบครองความสามารถแบบนี้ไว้ ตนเองยังดูไม่ออกเลย นี่เป็นการเยาะเย้ยแค่ไหนกัน?
พอค่อยๆ ผ่านไป ท่านผู้อาวุโสก็อ่อนเปลี้ยเพลียแรงแล้ว……ถึงแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่ง แต่หลังจากต่อสู้อย่างดุเดือดมาสักพัก ในที่สุดก็เผยเบาะแสแล้ว…ลมหายใจของเขาถี่ขึ้น การกระทำก็ช้าลงมาด้วย
“เหนื่อยเร็วขนาดนี้เลย ฉันยังเล่นไม่หนำใจเลย” ทันใดนั้นเฉินเป่ยยกมุมปากขึ้น มองท่านผู้อาวุโสอย่างมีเลศนัย
ท่านผู้อาวุโสมองเฉินเป่ยอย่างโมโห เขาอยากพูดอะไรบ้าง แต่เขาพูดอะไรไม่ออก โดนเฉินเป่ยทำให้โมโหจนแทบไม่ไหว
สิ่งที่ยิ่งทำให้เขารู้สึกตื่นตกใจคือพอเฉินเป่ยพูด เขาถึงพบว่าเฉินเป่ยผ่อนคลายอย่างมาก แม้กระทั่งน้ำเสียงก็ยังสงบนิ่งอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าสักนิดเดียว จิตวิญญาณเต็มร้อย ทำให้ท่านผู้อาวุโสคาดไม่ถึง
นี่เป็นไปได้อย่างไร ความสามารถของเขาแกร่งขนาดนี้ได้อย่างไรกัน
ท่านผู้อาวุโสย่อมไม่เข้าใจ ฝีมือของเขาเกรียงไกร แต่การต่อสู้ขั้นสูงแบบนี้ ความทนทานของเขาไม่ได้แกร่งขนาดนั้น…แต่เฉินเป่ยล่ะ การต่อสู้ดุเดือดขั้นสูงแบบนี้ เขาเหมือนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลย
แววตาท่านผู้อาวุโสหดอย่างแรง ลูกตาดำขลับหดตัวลงเป็นเส้น รู้สึกถึงความมหัศจรรย์และความตกใจที่รุนแรง
“ฝีมือแค่นี้เองเหรอ?” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ เหมือนกำลังยั่วเย้าท่านผู้อาวุโส
ท่านผู้อาวุโสกัดฟัน เขาตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว ได้แต่ต้านทานแสงสีดำที่รวดเร็วราวสายฟ้าแลบนั้นของเฉินเป่ย
ส่วนเฉินเป่ยสายตาล้ำลึก คล้ายกำลังมองท่านผู้อาวุโสทะลุ เขาส่ายๆ หน้า ทันใดนั้นเสียงหนาวเหน็บลุ่มลึกก็ผุดขึ้นมา
มุมปากของเขาวาดเส้นรัศมีวงกลมขึ้น เอ่ยปากพูดชัดถ้อยชัดคำ “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ก็ไม่เล่นกับแกแล้ว!”
ท่านผู้อาวุโสสีหน้าเปลี่ยนยกใหญ่ จากบนตัวเฉินเป่ย ระเบิดกลิ่นอายที่ทำให้ท่านผู้อาวุโสตื่นตระหนกอย่างฉับพลัน
ภายในแววตาของเฉินเป่ยสาดส่องความหมายกระหายเลือดออกมา วินาทีนั้น เฉินเป่ยเหมือนแปลงร่างเป็นปีศาจร้าย
จิตใจท่านผู้อาวุโสสั่นสะท้าน เขางงไปหมดแล้ว สีหน้าดูแย่…กลิ่นอายนั้นบนตัวของเฉินเป่ยช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน ยิ่งใหญ่จนทำให้เขาเกือบหมดหวัง
“แกเป็นใครกันแน่…” ท่านผู้อาวุโสเอ่ยปาก กลิ่นอายสยองขวัญที่ระเบิดออกมาจากบนตัวเฉินเป่ยทำให้เขาไม่เพียงมองตื้นลึกหนาบางของเฉินเป่ยไม่ออก เฉินเป่ยเป็นการมีตัวตนที่เขาทำได้เพียงแหงนหน้ามอง
“ปึง!”
เฉินเป่ยเก็บหลงหยาไว้ เท้าหนึ่งที่ดุจท่อนเหล็กโจมตีออกไปอย่างดุเดือดรุนแรง จู่โจมที่หน้าอกของท่านผู้อาวุโสราวสายฟ้าแลบ
เสียงหดหู่ดังกระหึ่ม ทั้งตัวของท่านผู้อาวุโสกระเด็นออกไปราวกับว่าวที่สายขาด หน้าต่างกระจกใสแตกร้าวโดยฉับพลัน ส่วนทั้งตัวท่านผู้อาวุโสร่วงลงมาจากอากาศ เสียงร้องคำราม ก่อนจะกระแทกลงบนพื้น
กระเบื้องคุณภาพสูงแต่ละแผ่นที่ก่อเป็นขั้นบันไดเกลี้ยงเกลาราบเรียบ ทันใดนั้นก็ถูกท่านผู้อาวุโสร่วงลงมา กระแทกอย่างแรง ร้าวแยกดังแกรกๆ กลายเป็นรอยร้าวรูปใยแมงมุม
ส่วนลูกน้องสองคนนั้นกำลังพิงอยู่ข้างรถยนต์คุยโวโอ้อวด เวลานี้ พวกเขากำลังคาดเดาว่าท่านผู้อาวุโสต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงเดินออกมาจากด้านใน
“พึ่งผ่านไปห้านาทีเอง ฉันเดาว่าสิบนาที ท่านผู้อาวุโสจะเดินออกมาจากหน้าประตูโรงแรม”
“สิบนาที? จะเร็วอะไรขนาดนี้ ท่านผู้อาวุโสไม่ใช่เทพสักหน่อย อย่างมากที่สุดครึ่งชั่วโมง!”
ตอนที่ทั้งสองคนถกเถียงหันไม่เลิก ทันใดนั้นมีเสียงดังกระหึ่มดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของสองคน
ทั้งสองมองไปตามเสียง เห็นเพียงที่ไม่ไกลจากพวกเขา บนขั้นพันไดกระเบื้องนั้น มีภาพเงาคนนอนอย่างกระเซอะกระเซิง และเปื้อนรอยเลือด ส่วนภาพเงาคนนี้ พวกเขาเหมือนคุ้นเคยอย่างมาก…….
ทั้งสองกำลังสงสัย เข้าไปใกล้ด้วยความระมัดระวัง และหลังจากเข้าไปใกล้ ก็ยืนอึ้งอยู่ที่เดิมฉับพลัน คล้ายกับมองเห็นภาพที่สยดสยองอะไรเข้า
“ท่านผู้อาวุโส……..” ลูกน้องคนหนึ่งตกอกตกใจ ร้องออกมาแบบกลั้นไม่อยู่
“ฉันไม่ได้ดูผิดไปใช่มั้ย นี่เป็นท่านผู้อาวุโส!”
“ท่านผู้อาวุโสเหมือนว่า…ตายแล้ว!”
“รีบรายงานคุณชายอวี้สิ!”
หลังลูกน้องทั้งสองตอบสนองเข้ามา หนังศีรษะชา ค่อยๆ วิ่งกลับไปในรถไมบัค62sเหมือนหนีอะไร เหยียบคันเร่งลง เครื่องยนต์รถไมบัคร้องคำรามอย่างบ้าคลั่ง แล่นออกไปที่ห่างไกลอย่างรวดเร็ว…….
เพียงแค่การออกไปในครั้งนี้ ยังมีอารมณ์ที่กระเซอะกระเซิงอยู่มากมาย เห็นได้ชัดว่าสุดจะทนขนาดนั้น……
ส่วนท่านผู้อาวุโสที่หล่นบนขั้นบันไดกระเบื้อง ทันใดนั้นฝ่ามือของเขาขยับนิดหน่อย
ในเวลานี้ ภาพเงาคนคนหนึ่งมองลงมาที่พื้นเบาๆ จากที่สูง ใบหน้าคุ้นเคยใบหนึ่ง ยังเป็นใครได้อีก ย่อมเป็นเฉินเป่ยอยู่แล้ว
เฉินเป่ยเดินมาถึงข้างกายท่านผู้อาวุโส ค่อยๆ นั่งยองลงมา พลิกท่านผู้อาวุโสกลับมา
ท่านผู้อาวุโสในเวลานี้ลมหายใจแผ่วเบา เขาจ้องใส่เฉินเป่ยตาเขม็ง สอบถามอย่างยากลำบาก “ทำไม ฉันแค่กระโดดลงมาถึงได้รับบาดเจ็บมากขนาดนี้?”
ท่านผู้อาวุโสย่อมไม่สามารถรับได้ ถึงแม้เขาจะเหนื่อยล้าแค่ไหน แต่ความสามารถของเขาในระดับนั้น ถึงแม้เขาจะร่วงลงมาจากที่สูง ก็ไม่อาจได้รับบาดเจ็บหนักขนาดนี้
เฉินเป่ยหัวเราะทีหนึ่ง ไม่ได้อธิบาย ทว่ากวาดสายตาผ่านหน้าอกของท่านผู้อาวุโส มีรูเลือดที่ใหญ่อันหนึ่ง
เสี้ยววินาทีนั้นที่ท่านผู้อาวุโสลอยออกไป แสงสีดำสายหนึ่งทะลุหน้าอกของท่านผู้อาวุโส ผ่านหัวใจไป
หลังเฉินเป่ยเก็บหลงหยาขึ้น กวาดตาผ่านเขาอย่างเมินเฉย พูดว่า “แต่ไหนแต่ไร ถ้าใครไม่ยุ่งกับฉัน ฉันก็ไม่ยุ่งกับคนนั้น ถ้าใครมาหาเรื่องฉัน…….”
“ฉันต้องฆ่าทิ้ง!”
“สรุปแก……เป็นใคร!” ท่านผู้อาวุโสลมหายใจแผ่วเบา ชีพจรใกล้หายไปเต็มที เวลานี้แม้แต่แรงจะพูด เขายังไม่มีเลย
เฉินเป่ยจ้องมองท่านผู้อาวุโสครู่หนึ่ง ถอนหายใจ “ช่างเถอะ ให้แกได้อย่าเข้าใจบ้าง” เฉินเป่ยนั่งยองลงมา หลงหยาที่อยู่ในมือกำลังสลักบนขั้นบันไดด้านข้างอย่างรวดเร็ว
เพียงแค่ชั่วขณะเดียว เฉินเป่ยก็แกะเสร็จราวสายฟ้าแลบ เก็บหลงหยาขึ้น จากนั้นหมุนตัวออกไป
ท่านผู้อาวุโสหันหน้าอย่างยากลำบาก มองเห็นขั้นบันไดกระเบื้องมีภาพหนึ่ง นั่นคือสัญลักษณ์ที่มีชีวิตชีวามาก
สัญลักษณ์อันนั้นราวกับมีเสน่ห์น่าพิสมัยอย่างน่าประหลาด เพียงแค่มองแวบเดียวก็ยากจะลืมเลือนได้
นั่นคือ…….หลง!
…………..
ในห้องพักตรงข้ามของเฉินเป่ย หลีชิงเยียนที่กำลังนอนหลับหวานชื่นอยู่บนเตียงถูกการเคลื่อนไหวในห้องเฉินเป่ยที่อยู่ตรงข้ามปลุกตื่นครั้งแล้วครั้งเล่า เธอขยี้ดวงตาที่สะลึมสะลือ ใบหน้างดงามเผยความหมายโกรธเคืองออกมา หลังนั่งอยู่บนเตียงสักครู่ ในที่สุดหลีชิงเยียนก็ทนไม่ไหว สวมเพียงชุดนอนสีม่วงตัวหนึ่ง และสวมรองเท้าแตะที่งดงามคู่หนึ่ง เปิดประตูห้องออกอย่างเดือดดาล กะจะไปคิดบัญชีกับเจ้าหมอนี่ หาข้อสรุปสักหน่อย
แต่หลังเปิดประตูห้องออก หลีชิงเยียนกวาดสายตาไป ชั่วขณะนั้นอึ้งทึ่ง
กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นกระโจนเข้ามา ในโถงทางเดินคือนรกผืนหนึ่งนี่เอง
ทุกที่ล้วนเป็นศพ ใบหน้างามเพริศพริ้งของหลีชิงเยียนซีดขาวไปทันที เธอมองฉากตรงหน้าตาค้าง จิตใจสั่นสะท้าน
“ประธานหลี หลับตาลงค่ะ”
ในเวลานี้ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง ขณะเดียวกันก็มีมือข้างหนึ่งปิดดวงตาของหลีชิงเยียนไว้ทันเวลา
“ประธานหลี ที่นี่โหดร้ายเกินไป คุณอย่าดูเลยจะดีกว่า” ซูเหลยที่อยู่ด้านข้างพูดขึ้น หล่อนกวาดตามองศพแต่ละร่างที่อยู่บนพื้นแวบหนึ่ง สีหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง
ถึงแม้ซูเหลยที่เคยพบเจอเหตุการณ์มาสารพัด และเคยปฏิบัติภารกิจมานับครั้งไม่ถ้วน น้อยมากที่จะเห็นเหตุการณ์แบบนี้…..เป็นการสังหารหมู่อย่างโจ่งแจ้ง
หลังซูเหลยหายใจลึกๆ ไปทีหนึ่ง จึงบอกว่า “ประธานหลี ตอนนี้คุณทำตามที่ฉันบอกนะคะ ยกเท้าขึ้น ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง…….เดินไปด้านซ้ายอีกก้าวหนึ่ง……”
ภายใต้การนำทางของซูเหลย ระยะห่างเพียงไม่กี่เมตร หลีชิงเยียนจึงเดินไปด้านหน้าแบบปิดตาท่ามกลางโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยศพอย่างยากลำบาก
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เธอก็ยังได้กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นน่าสะอิดสะเอียนนั้น ขายาวทั้งสองข้างสั่นเทาอ่อนยวบแบบควบคุมไม่ได้
เธอไม่กล้ามองอีก เมื่อสักครู่เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้เธอยากจะลืมภาพโหดร้ายนั้นได้
พนักงานบริการ แขก ผู้จัดการใหญ่ที่ใส่เครื่องแบบผู้จัดการ…….ในโถงทางเดินเผยความลึกล้ำที่น่าประหลาด และเงียบเชียบผิดปกติ มีเพียงเสียงของซูเหลยกับเสียงฝีเท้าของหลีชิงเยียนที่ค่อยๆ ย่อง
ภายใต้การชี้นำของซูเหลย หลีชิงเยียนข้ามผ่านศพมากมายทีละนิด ในที่สุดก็เข้าใกล้หน้าประตูห้องของเฉินเป่ย
จากนั้นซูเหลยถึงปล่อยมือออก หลีชิงเยียนลืมตาขึ้น มองเห็นหน้าประตูห้องที่สยดสยองเต็มตา ประตูห้องโดนฟันจนพังทลาย…….แต่ละฉากล้วนอกสั่นขวัญแขวน
หลีชิงเยียนหายใจลึกๆ ไม่หยุด ถึงฝืนให้ตนเองสงบลงมา
นี่ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ราวกับมีพายุมาจู่โจมผ่านที่นี่แล้ว……ในห้องพักก็รกรุงรังสุดจะทน ภาพสีน้ำมันที่โดนแบ่งเป็นสองท่อน……โต๊ะที่ขาหักข้างหนึ่ง…….เก้าอี้ที่พังเสียหายกลายเป็นเศษซาก ชิ้นส่วนโคมไฟที่ระเกะระกะ…
ยากจะจินตนาการมาก เดิมทีหลีชิงเยียนคิดไม่ออกว่าสรุปเมื่อสักครู่ที่นี่เกิดอะไรขึ้น ถึงปรากฏลักษณะอย่างนี้ได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” หลีชิงเยียนชี้ตรงนี้อยู่ มือเรียวงามของเธอกำลังสั่นเทาไม่หยุด
“ประธานหลี คุณใจเย็นก่อนค่ะ……” ซูเหลยพูดขึ้น
“เฉินเป่ยล่ะ?” หลีชิงเยียนกวาดตามอง ไม่พบเงาของเฉินเป่ย ในใจสั่นอย่างแรง เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้น
เฉินเป่ยคงไม่ใช่มีจุดจบแบบเดียวกับศพที่อยู่ในโถงทางเดินหรอกมั้ง?
นึกถึงผลลัพธ์อันนี้ ภายในใจหลีชิงเยียนสั่นเทา มือขาวเนียนกุมเป็นหมัด เล็บจิกเข้าในเนื้อลึกๆ