สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 306
บทที่306 ยั่วโมโหฉันผลลัพธ์ร้ายแรงมาก!
“หาให้ละเอียด” หลีชิงเยียนเอ่ยปากด้วยเสียงมีเสน่ห์ เธอหายใจลึกๆ อยู่ไม่ขาดสาย พยายามให้ตนเองสงบลงมาแล้วบอกไป
ซูเหลยพยักหน้า มองไปโดยรอบ กวาดสายตาไปทุกมุมของห้องรับแขกอย่างละเอียด ไม่ปล่อยให้ร่องรอยสักนิดหลุดรอดไป
ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ของหล่อนแข็งตัว สายตาตกอยู่จุดหนึ่ง พูดเสียงดัง “ประธานหลี คุณเข้ามาดูสักหน่อยค่ะ”
หลีชิงเยียนใส่รองเท้าส้นสูง รีบร้อนเดินมาที่ข้างกายของซูเหลย เห็นเพียงซูเหลยชี้ไปที่รอยเลือดหนึ่งบนพื้น สีหน้าเคร่งขรึม “ประธานหลีคะ คุณดูสิ ที่นี่มีรอยเลือด”
หลีชิงเยียนนั่งยองลงมา สังเกตดูรอยเลือดนี้อย่างละเอียด สีหน้าเปลี่ยนไปซีดขาวอย่างยิ่ง มือเรียวงามข้างนั้น สั่นเทาอย่างมาก
เธอไม่อยากเชื่อ……แต่ความจริงของรอยเลือดนี้ปรากฏอยู่ตรงหน้าของเธอแล้ว
ในใจหลีชิงเยียนก่อนหน้านี้เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น และยิ่งรุนแรงเพิ่ม ทำให้ในใจเธอเต้นแรง ยิ่งไม่สบายใจขึ้นมา
“รอยเลือดนี้มีไปตลอดจนถึงขอบหน้าต่าง……เขาน่าจะกระโดดลงไปจากขอบหน้าต่าง” ไม่เสียแรงที่ซูเหลยอยู่ในทีมรบพิเศษ ไม่ว่าความคิดหรือว่าความสามารถในการสังเกต ล้วนรอบคอบกว่าคนทั่วไปอยู่มาก
“เพียงแต่…….” ไม่นานซูเหลยเผยสีหน้าที่สงสัยออกมา “ถ้าเป็นการกระโดดลงไป ควรจะมีร่องรอยของพวกรอยเท้า…แต่ตรงนี้มีเพียงกระจกแตกกระจาย ไม่เกิดร่องรอยสักนิดเดียว…” ซูเหลยพูดอย่างครุ่นคิด
“กระโดดลงไป….” หลีชิงเยียนเดินมาถึงข้างหน้าต่าง มองทางด้านนอกหน้าต่าง กลางอากาศหลายสิบเมตรเต็มๆ กระโดดลงไปจากที่นี่ โดยพื้นฐานต้องตายอย่างไม่มีข้อสงสัย
ในใจหลีชิงเยียนหนาวเหน็บ เธอมองด้านล่างตึกด้วยใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแดงสั่นเทาเล็กน้อย ไม่มีทางควบคุมตนเองได้เลย
“ประธานหลีคะ คุณอย่าพึ่งร้อนใจ ยังหาศพไม่เจอ พวกนี้ล้วนเป็นเรื่องที่ไม่ยืนยัน” ซูเหลยเห็นหลีชิงเยียนฮึกเหิมจนใกล้พูดอะไรไม่ออก จึงรีบพูดปลอบใจ
“จะต้องหาศพให้เจอ ถึงเป็นก็ต้องเห็นคน ถ้าตายก็ต้องเห็นศพ!” ดวงตาที่เศร้าใจอย่างยิ่งของหลีชิงเยียนเผยความแน่วแน่นิดๆ ออกมา ถึงแม้เจ้าหมอนี่จะตายไปจริง เธอก็ต้องพาศพกลับไปที่หู้ไห่ นำไปฝังศพ
“ค่ะ” ซูเหลยตอบรับ แต่ถึงแม้ว่าจะพูดมาขนาดนี้ แต่พอสายตาของหล่อนกวาดผ่านห้องนี้ ยังเผยความสงสัยผิดที่ปกติออกมา
หล่อนย่อมมีบางอย่างที่ยังไม่ได้บอกหลีชิงเยียน จากการวินิจฉัยของหล่อน ที่นี่ระเบิดการต่อสู้ที่ดุเดือดอย่างยิ่งฉากหนึ่งขึ้นแล้ว ทุกที่ล้วนเป็นความเสียหายจากระเบิดที่ถูกการต่อสู้สร้างขึ้น
ส่วนสถานะลึกลับของเฉินเป่ย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ความสามารถของเขาลึกเกินหยั่งถึง ไม่น่าจะตายไปง่ายดายขนาดนี้
“แจ้งตำรวจ จะต้องค้นหาออกมา สรุปมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่” หลีชิงเยียนกัดริมฝีปากแดงไว้พูดขึ้น
“แจ้งตำรวจอะไรกันเล่า เป็นห่วงผมขนาดนี้ โทรศัพท์หาผมก็ไม่จบแล้วเหรอ?”
ในเวลานี้ จากหน้าประตูห้องพัก ด้านหลังของหลีชิงเยียนและซูเหลย กลางโถงทางเดินที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด มีเสียงที่อันธพาลอย่างหาที่สุดไม่ได้เสียงหนึ่งลอยเข้ามาแล้ว
ร่างกายหลีชิงเยียนสั่นเทา ใบหน้างดงามหลังแข็งทื่อแวบหนึ่ง เผยความดีใจที่ยากจะเชื่อถือออกมา…เสียงนี้ เธอช่างคุ้นเคยเสียเหลือเกิน นอกจากเฉินเป่ยแล้ว ใครยังจะกล้าพูดจาน้ำเสียงที่ต่ำทรามแบบนี้กันอีก?
และปกติหลีชิงเยียนไม่ชอบน้ำเสียงนี้มากเหลือเกิน ทว่าตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นชินขนาดนั้น สนิทสนมขนาดนั้น แม้กระทั่งทำให้ในใจลึกๆ ของเธอราวกับมีกระแสอบอุ่นไหลผ่าน
ส่วนซูเหลยก็อดมองทางหน้าประตูไม่ได้ หน้าประตูห้อง ภาพเงาคนหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ เดินเข้ามาจากด้านนอก
หลังจากที่หลีชิงเยียนมองเห็นเฉินเป่ย ความกังวลก้อนใหญ่ที่ตันอยู่ในใจถึงได้คลายลงมา
เจ้าหมอนี่ ที่แท้ยังไม่ตาย หลีชิงเยียนรู้ว่าชีวิตของเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งเหมือนกับแมลงสาบ จะตายแบบนี้ได้อย่างไรกัน
เฉินเป่ยล้วงมือทั้งคู่ไว้ในกระเป๋ากางเกง เดินเข้าห้องมาอย่างสงบ ภาพที่โหดร้ายพวกนั้นที่นอกระเบียงทางเดิน ไม่มีผลกระทบต่อเขาสักนิดเดียว เขายังคงสบายอกสบายใจขนาดนั้น ทำให้หลีชิงเยียนสงสัยขึ้นมา เจ้าหมอนี่ใช่คนหรือไม่
คนทั่วไปมองเห็นภาพที่โหดร้ายอย่างกับขุมนรกขนาดนั้น ขาทั้งสองไม่อ่อนแรง ไม่อยากอาเจียนสิถึงแปลก
สรุปจิตใจของเขาดีมากแค่ไหนกัน ถึงยังสามารถสงบได้ขนาดนี้?
หลังเฉินเป่ยเดินมาถึงตรงหน้าของหลีชิงเยียน สีหน้าที่ร้อนรนของหลีชิงเยียนก็หดหายไปไม่น้อย มองเฉินเป่ยอยู่ พูดจาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “สรุปเกิดอะไรขึ้น อธิบายมาหน่อยได้ไหม?”
เฉินเป่ยกวาดสายตาทีหนึ่ง และหันหน้ามองไปรอบด้าน ตะลึงแล้วถามว่า “ประธานหลี อธิบายอะไรกัน?”
ไม่นานหลีชิงเยียนก็เก็บซ่อนความกังวลของตนเองลงไป เธอในเวลานี้กำลังกอดหน้าอกไว้ ยักคิ้ว “อธิบายอะไร? นายว่าไงล่ะ? แน่นอนว่าที่นี่ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไง!”
หลีชิงเยียนเสียงเย็นเฉียบ กลับยังคงเต็มไปด้วยพลังดึงดูด เวลานี้มองเฉินเป่ยอยู่ ในตาลึกมีความโมโหก่อหวอด “รีบว่ามา!”
นี่ถึงทำให้เฉินเป่ยตอบสนองเข้ามา หัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน “เฮ้ย ที่แท้ก็อธิบายอันนี้เอง……ประธานหลี เข้าใจผิดแล้ว ผมก็ไม่รู้ว่าที่นี่เกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน”
ใบหน้าหลีชิงเยียนค้างคา ชั่วขณะนั้นสีหน้าดูเยาะเย้ยขึ้นมา “นายก็ไม่รู้เหมือนกัน? หรือว่าต้องให้ฉันไปถามอากาศเหรอ?”
“ถ้าไม่พูดความจริง ฉันจะบอกพ่อฉันตอนนี้เลยว่าให้ไล่นายออกจากตระกูลหลี ต่อไปอย่าเข้ามาที่ประตูบ้านตระกูลหลีอีก!” สีหน้าหลีชิงเยียนเย็นชาอย่างกะทันหัน เอ่ยปากแบบชัดถ้อยชัดคำ
เฉินเป่ยหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน ทำหน้าขมขื่น พูดอธิบาย “เฮ้อ ผมพูด ผมพูดแล้วยังไม่พอเหรอ…….”
เฉินเป่ยพูดๆ อยู่ หลีชิงเยียนกับซูเหลยก็ขมวดคิ้วขึ้น และในใจของหลีชิงเยียน หัวใจกลับเต้นตึกตักแรงขึ้นมา สายตาที่มองทางเฉินเป่ยก็เปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ตัว
ซูเหลยขมวดคิ้ว “นายหมายความว่ามีคนอยากฆ่านาย มีผู้ลึกลับปรากฏตัวขึ้น ให้นายออกไป แล้วพวกเขาก็ต่อสู้กันอยู่ในห้องนาย?”
เฉินเป่ยพยักหน้าแล้ว ส่วนหลีชิงเยียนเงียบงันไม่พูดอะไร……คำพูดแบบนี้ปกติคงเพียงเล่าให้เด็กน้อยฟัง ไม่มีหลักฐานความเป็นจริงใดๆ แต่หลีชิงเยียนกลับเลือกที่จะเชื่ออย่างน่าประหลาดใจ
เพราะเธอเคยเห็นผู้ลึกลับท่านนั้นมาด้วยตาตนเอง……ออร่าที่เกรียงไกรของผู้ลึกลับท่านนั้น เดิมทีไม่สามารถเปรียบเทียบกับเฉินเป่ยเจ้าหมอนี่ได้……และก่อนหน้านี้ผู้ลึกลับก็เคยปรากฏตัวอย่างบังเอิญไม่น้อยครั้ง ครั้งนี้ หลีชิงเยียนจึงไม่มีเหตุผลไม่เชื่ออีกครั้ง
“คนที่ฆ่านายเป็นใคร?” ซูเหลยสอบถาม
“ไม่รู้สิ เรียกตัวเองว่าท่านผู้อาวุโสของอะไรของตระกูลอวี้” เฉินเป่ยทำหน้างงงวย แต่ดวงตาหลีชิงเยียนกลับหดอย่างแรง…สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย คาดไม่ถึงเป็นตระกูลอวี้อยากจะฆ่าพวกเขา…นอกจากอวี้ย้งเซวียนบงการแล้ว ยังเป็นใครได้อีก
อวี้ย้งเซวียน ต้องเป็นอวี้ย้งเซวียน ชั่วขณะนั้นในใจหลีชิงเยียนประหม่าขึ้นมา อวี้ย้งเซวียนบงการท่านผู้อาวุโสของตระกูลอวี้มาลงมือกับพวกเขา นี่พอจะอธิบายได้ว่าความสัมพันธ์ของพวกเขากับตระกูลอวี้เลวร้ายลง เกรงว่าคงไม่สามารถเป็นมิตรกันได้อีกแล้ว
หลีชิงเยียนหันหน้า หลังเห็นรอยเลือดที่ขอบหน้าต่าง ในใจสั่นไหว ถามต่อไป “งั้นนายมองเห็นพวกเขาใครชนะแล้ว?”
เฉินเป่ยตะลึง จากนั้นส่ายหน้าแบบงงงวย “คนคนนั้นที่ช่วยผมไว้บอกให้ผมรีบออกไปหลบเอาไว้ ผมก็ทำตามแล้ว”
หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยอย่างเข้มงวดกวดขันแวบหนึ่ง ก่อนจะส่ายๆ หน้า โบกมือไปอย่างรำคาญ บอกว่า “ออกไปเถอะ”
เฉินเป่ยหมุนตัวออกไป ไม่มีใครสามารถมองเห็นเส้นรัศมีวงกลมลึกลับนั้นที่วาดขึ้นตรงมุมปากของเขาได้
มีเพียงซูเหลยที่จ้องภาพด้านหลังของเฉินเป่ยอยู่ เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไร
หลังเฉินเป่ยเดินออกจากห้องพัก หลีชิงเยียนจ้องรอยเลือดที่เปรอะเปื้อน จมสู่ความคิด ใบหน้างดงามเผยความกังวลและเคร่งขรึมอย่างลึกซึ้ง
เธอรู้ว่าผู้ลึกลับท่านนั้นเกรียงไกรมาก แต่ตระกูลอวี้ในฐานะตระกูลการพนันเพชรพลอยที่มีมาอย่างยาวนาน ท่านผู้อาวุโสของตระกูลอวี้มีความสามารถร้ายกาจอย่างยิ่งเช่นกัน ระหว่างทั้งสองคน ใครแกร่งใครอ่อน หลีชิงเยียนในฐานะคนนอก ตัดสินยากมาก
รอยเลือดพวกนี้ เดิมทีหลีชิงเยียนไม่รู้ว่าเป็นของใคร เธอแอบอดเป็นห่วงผู้ลึกลับท่านนั้นไม่ได้เลย
หลีชิงเยียนอยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่ง ถึงให้ซูเหลยแจ้งตำรวจ ส่วนตนเองเดินออกจากห้องพัก มองเห็นเฉินเป่ยเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องอย่างเคารพนอบน้อม เพียงแค่ชายตามองอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง
เฉินเป่ยเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้อง บนหน้ายังมีรอยยิ้มที่เอาอกเอาใจ เหมือนสุนัขเฝ้าประตูอย่างยิ่ง
ถึงแม้เมื่อสักครู่หลีชิงเยียนจะพึ่งเห็นภาพที่โหดร้ายพวกนั้น แต่ตอนที่เห็นอีกครั้งหนึ่ง หลีชิงเยียนยังคงใบหน้าซีดเซียวแบบเลี่ยงไม่ได้ หายใจเร่งรีบผิดปกติไม่เป็นจังหวะ
เวลานี้ เฉินเป่ยเข้ามาใกล้อย่างกับสุนัขรับใช้สุดๆ พยุงหลีชิงเยียนเอาไว้ ค่อยๆ ก้าวข้ามศพมากมายไป จากนั้นถึงเดินมาที่หน้าประตูห้องพักของตนเอง
หลังเปิดประตูออก หลีชิงเยียนพุ่งเข้าไปในห้องน้ำโดยตรง ไม่นานเสียงคลื่นไส้อาเจียนก็ลอยออกมาจากในห้องน้ำแล้ว
เฉินเป่ยที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องพัก พอนึกถึงประธานนางฟ้าที่ปกติออร่ามีอำนาจ กับภาพที่อาเจียนอย่างบ้าคลั่งเมื่อสักครู่นี้นั้น…….อดหัวเราะหึๆ ไม่ได้
หลังหลีชิงเยียนเดินออกมา เฉินเป่ยยื่นแก้วน้ำร้อนไปให้
“ออกไปเถอะ ฉันต้องการสงบใจสักหน่อย” หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลีชิงเยียนเอ่ยปาก
เฉินเป่ยตอบรับ และเทชาร้อนให้หลีชิงเยียนอีกแก้วหนึ่ง ถึงถอยออกไปจากห้อง
“สรุปมีผู้ลึกลับคนนั้นเหรอ?”
เฉินเป่ยพึ่งปิดประตูห้องลง ด้านหลังของเฉินเป่ย มีเสียงของซูเหลยดังขึ้นมา
มือของเฉินเป่ยที่บีบกุญแจชะงักนิดหน่อย ซูเหลยยืนอยู่ด้านหลังของเฉินเป่ย ใช้เสียงที่มีเพียงพวกเขาสองคนถึงได้ยินพูดว่า “ที่เหตุการณ์ ฉันหาเพียงรอยเท้าของสองคนเจอ ว่าตามที่นายบอก รอยเท้าของบุคคลที่สาม ไปที่ไหนแล้ว?”
เฉินเป่ยหมุนตัว ซูเหลยมองเฉินเป่ยอยู่ “ฉันจะสมมุติอย่างใจกล้าดูสักหน่อย ผู้ลึกลับคนนั้นก็คือนาย ถูกมั้ย?”
เฉินเป่ยสีหน้าเรียบเฉยสงบ เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่มีแม้กระทั่งความสั่นไหวเกิดขึ้นสักนิด
เหมือนว่าที่ซูเหลยพูดมาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเขาเลย
“สถานะของนายลึกลับขนาดนั้น ไม่ให้คนคิดมากคงทำได้ยาก” ซูเหลยมองที่เฉินเป่ย พูดอธิบายเสริม
เฉินเป่ยมองซูเหลย ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ถ้าฉันเป็นผู้ลึกลับในตำนานคนนั้น เธอคิดว่าชิงเยียนจะดูไม่ออกเหรอ?”
เฉินเป่ยถามกลับประโยคหนึ่ง เรียบง่ายมีพลัง แวบเดียวทำให้ซูเหลยเป็นใบ้พูดไม่ออก
เฉินเป่ยมองซูเหลยอยู่ เอ่ยปากอย่างมีความหมายลึกซึ้ง “เรื่องบางอย่าง ไม่รู้จะดีกว่า รู้มากเกินไป ไม่มีอะไรดีหรอก”
เสียงพูดพึ่งจบลง เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ออกมา หมุนตัวเดินไปหน้าลิฟต์ที่ปลายทางโถงทางเดิน
ซูเหลยมองภาพด้านหลังของเฉินเป่ย สายตาเปล่งประกายไม่มั่นคง ไม่มีใครเดาความคิดในใจของหล่อนได้
หน้าประตูโรงแรม เฉินเป่ยเดินออกจากโรงแรมตลอดทาง มองศพท่านผู้อาวุโสที่นอนอยู่บนพื้นแวบหนึ่ง เขานั่งยองลงมาลูบคลำสักครู่ พักหนึ่งก็คลำมือถือเครื่องหนึ่งเจอจากบนศพท่านผู้อาวุโส
เฉินเป่ยล้วงมือถือออกมา ไม่นานก็ปลดล็อกมือถือได้ เปิดหน้าบันทึกการโทร มองเห็นรายชื่อของอวี้ย้งเซวียน
สายตาเฉินเป่ยเย็นชาลงมา ต่อสายโทรศัพท์ไปในสายตาโทรศัพท์นั้น เอ่ยปากช้าๆ “ฉันจะเตือนพวกแก อย่าพยายามท้าทายขีดจำกัดของฉัน…นี่คือคำเตือน……ยั่วโมโหฉัน ผลลัพธ์ร้ายแรงมาก”
หลังเฉินเป่ยพูดจบ ก็ถ่ายรูปศพของท่านผู้อาวุโสแล้ว
และเวลานี้ ในห้องเพรสซิเดนเชียลสวีทของโรงแรมห้าดาวอีกแห่งหนึ่ง อวี้ย้งเซวียนยืนอยู่ริมหน้าต่าง ในมือแกว่งแก้วทรงสูงอยู่ ไวน์ลาฟิตชั้นดีสั่นไหวเบาๆ ให้เขาจิบอยู่ไม่ขาดสาย ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น
“เหล้านอก…ไวน์ลาฟิต แค่นี้เองเหรอ…ไป เอาเถี่ยกวานอินใบชาของต้นแม่นั้นออกมา เป็นใบชาที่ดื่มจนชินกว่า”
อวี้ย้งเซวียนวางแก้วไวน์ลง เอ่ยปากนิ่งๆ
และเขาพึ่งพูดจบ มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะก็ดังขึ้นอย่างเร่งด่วน
อวี้ย้งเซวียนมองแวบหนึ่ง พบว่าเป็นท่านผู้อาวุโสโทรมา หน้าเผยความดีใจ นี่ปกติโทรมาล้วนหมายถึงข่าวดี
และโทรศัพท์สายนี้ เห็นได้ชัดอธิบายว่าท่านผู้อาวุโสสังหารหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นแล้ว
อวี้ย้งเซวียนหัวเราะเยาะทีหนึ่ง จึงรับสายโทรศัพท์ขึ้น
ส่วนเสี้ยววินาทีนั้นที่เขารับโทรศัพท์ขึ้น สีหน้าของเขาแข็งทื่อฉับพลัน