สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 35
บทที่ 35 ทรัพย์สมบัติของเยี่ยนจิง
“ไต้ห้าวหนานเหรอ” ซูเสี่ยวหยุนสีหน้าตกใจ เธอใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ
ยังไงก็ต้องใช้ยินชื่อเสียงเรียงนามของ ไต้ห้าวหนานอยู่แล้ว
ชื่อเสียงเลื่องลือของท่านประธานบริษัทการลงทุนหยุนเจี๋ยที่เป็นประธานอายุยังน้อย ถือว่าเด็กมาก
แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง สำหรับตลาดธุรกิจในต่างประเทศ
มีคนบอกว่าไต้ห้าวหนานอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาสามารถต่อกรกับนักธุรกิจที่มีความสามารถหลายท่านหรือจะเป็นผู้นำในการทำธุรกิจต่างประเทศก็ได้
ส่วนบิดาของเขา ก็ลงจากตำแหน่งไปทำงานเบื้องหลังตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เวลาที่เร่งด่วนหรือสำคัญอะไร
น้อยครั้งนักที่จะออกมาให้คนได้พบเห็น
พูดได้ว่า ไต้ห้าวหนานมีความสามารถรอบด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด ศักยภาพในอนาคต
ยากนักที่จะจินตนาการได้
ส่วนซูเสี่ยวหยุน ก็ไม่ยินยอมให้ความร่วมมือระหว่างทำเรื่องเสียๆหายๆกับไต้ห้าวหนาน
ยิ่งแสดงท่าทีแข็งข้อกับไต้ห้าวหนาน มันจะส่งผลไม่ดีสำหรับการพัฒนาของบริษัทตนเอง
ส่วนความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของหลีชิงเยียนนั้น…ไต้ห้าวหนานถูกจับตัวไป
ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนกะพริบตาไปมา พร้อมทั้งสื่อความหมายเสน่หาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เธอจ้องตา
หลีชิงเยียน แปลกใจเป็นอย่างมาก
คนอย่างไต้ห้าวหนาน ตอนอยู่ที่เมืองเมืองหู้ไห่ ถึงแม้ว่าจะเป็นศาลากลางของเมือง
ก็ไม่กล้าที่จะปล่อยปะละเลยไปได้… แต่เขากลับถูกจับตัวไป
เป็นไปได้ยังไง
อีกอย่างปฏิกิริยาตอบสนองของหลีชิงเยียน ทำราวกับว่าไม่อยากให้เขาออกมา
ทว่าสีหน้าของเฉินเป่ยเป็นปกติ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไต้ห้าวหนานถูกจับตัวไป
แต่ว่าคงไม่สามารถจับไว้ได้นาน…แต่ว่า ตนเองก็ลงโทษเขาไปแล้ว
ขอแค่เขารู้ข่าวคราวความเป็นมาที่แท้จริง คงจะปลอดภัยไร้กังวลดี
ถ้าความคิดเลวทรามต่ำช้าของไต้ห้าวหนานยังไม่หายไป… นัยน์ตาของเฉินเป่ยสื่อความหมายอย่างลึกซึ้ง
ความรู้สึกอยากจะฆ่าคนมันเริ่มปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้ง….
“ทำไมเขาถูกจับไปได้ล่ะ” ซูเสี่ยวหยุนเอ่ยปากถามอย่างสงสัย
สีหน้าของหลีชิงเยียนดูสับสน เธออยากจะพูดเหตุผลออกไป แต่ว่าการที่ถูกไต้ห้าวหนานคอยใส่ความเธอนั้น
จนมันทำให้ตนเองไม่อยากย้ายฝั่ง
แต่ว่าตอนที่เธออยากจะเอ่ยปากพูด สุดท้ายแล้วคำพูดที่อยู่ที่ริมฝีปากก็กลืนลงคอไปแทน
ไม่ยอมพูดอะไรออกมา
“ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”ในที่สุดหลีชิงเยียนก็พูดอธิบายขึ้นมา
ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนมองหลีชิงเยียนด้วยความหมายอยู่แวบหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่พยักหน้า
“ท่านประธานหลี พี่ซู พวกคุณสองคนดูทีวีกันไปสักพักก่อนนะ ผมจะไปปอกผลไม้มาให้คุณสองคน”
เฉินเป่ยพูดเอาอกเอาใจ แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางห้องครัวอย่างรีบร้อน
ซูเสี่ยวหยุนเงยหน้าขึ้น พร้อมทั้งมองเฉินเป่ยอยู่แวบหนึ่ง พร้อมทั้งกระตุกยิ้มบริเวณมุมปากให้
อีกทั้งใช้เรียวขางามถีบหลีชิงเยียนไปหนึ่งที แถมถามกลับ “แกบอกกับผมว่าอีตานี่กินเก่งแต่ขี้เกียจทำ
แต่ที่ฉันดูแล้วเขาก็ขยันเอาการเอางานเป็นปกติดีนี่”
หลีชิงเยียนส่งเสียงในลำคอ ถึงแม้ว่าจะมองเฉินเป่ยเปลี่ยนความคิดไปจากเดิมแล้ว
แต่ว่าพอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
“ถ้าเขาขยันขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่หมกตัวอยู่กับบ้าน จนต้องเกาะฉันกินหรอก” สีหน้าหลีชิงเยียนดูถูก
“นั่นก็ถือว่าดีมาก ยังดีกว่าการที่เขาออกไปข้างนอกแล้วไปให้ความหวังสาวๆ มัวแต่หมกมุ่นกับสาวๆ” ซูเสี่ยวหยุนพูดไปยิ้มไป
“เขากล้าเหรอ!” หลีชิงเยียนพูดอย่างเย็นชาอยู่ในลำคอ ท่าทางเย็นชาอย่างมาก
“ให้ยืมความกล้าบ้าบิ่นไปเต็มร้อยเขาก็ไม่กล้าทำ ไม่งั้นฉันจะตีขาเขาให้หัก
ต่อไปอย่าได้คิดว่าจะเข้ามาที่บ้านฉันได้!”
“โห ขี้หวงขนาดนั้นเชียว เมื่อครู่มองไม่ออกเลย” ซูเสี่ยวหยุนอึ้งเล็กน้อย
พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างมีความหมายแอบแฝง
“เงินที่ฉันจ่ายไปหลายหมื่นหยวนต่อเดือนจะให้จ่ายไปฟรีหรือไง เขาเป็นคนของฉัน ฉันไม่อยากแตะต้อง คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแตะต้องเช่นกัน” หลีชิงเยียนตอบอย่างเย็นชา
“ใช่ๆๆ ไม่ว่าแกพูดว่าอะไรก็ถูกต้องไปทั้งหมดแหละ” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มเล็กน้อย ช่วงเวลานั้นเอง เฉินเป่ย
ก็ถือจานผลไม้เดินเข้ามา จากนั้นก็วางจานลงบนโต๊ะกาแฟ
“ท่านประธานหลี พี่ซู ผลไม้จัดจานเรียบร้อยแล้ว ลองชิมดู” เฉินเป่ยพูดอย่างให้เกียรติ
ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนกวาดตามออยู่แวบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้ม “ใช้ได้เลยนี่
ถือว่ามีความสามารถในการใช้มีดทำได้ไม่เลวเลย”
ซูเสี่ยวหยุนใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแอปเปิลขึ้นมาหนึ่งชิ้น จนเห็นว่าเฉินเป่ยหั่นแอปเปิลที่ชุ่มฉ่ำชิ้นนี้ได้บางมาก
ตรงที่บางที่สุด มันบางถึงขนาดเท่ากับปีกตัวจักจั่นเลย
ขนาดที่ว่าแสงไฟสามารถส่องแสงลอดผ่านแอปเปิลชิ้นนี้ลงมาได้
ความสามารถในการใช้มีดแบบนี้ ถึงแม้ว่าซูเสี่ยวหยุน
ที่เคยไปทานอาหารที่มิชลินสตาร์ให้ดาวสามดวงตามร้านอาหารในต่างประเทศ
ยังไม่เห็นการใช้มีดที่ประณีตบรรจงแบบนี้มาก่อนเลย!
หลีชิงเยียนยื่นมือยาวเรียวสวย หยิบแตงโมขึ้นมาหนึ่งชิ้น น้ำแตงโมฉ่ำสีแดง
ไหลลื่นเข้าไปในปากงดงามของหลีชิงเยียน ในที่สุดก็กินทั้งชิ้น
ภาพนี้ จะทำให้คนอดใจไว้ได้อย่างไร
“ท่านประธานหลี รสชาติใช้ได้ไหมคับ ” เฉินเป่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไปซื้อแตงโตลูกนี้ที่ไหนมาเหรอ” หลีชิงเยียนถามเสียงใสอยากรู้
“วันนี้ไปตลาดแล้วเห็นว่าคนไปซื้อกันเยอะ เลยซื้อมาลูกหนึ่ง ไม่คิดว่าจะหวานขนาดนี้ครับ” เฉินเป่ย
ตอบตามปกติ สิ่งที่เขาไม่ได้บอกหลีชิงเยียนก็คือ แตงโมลูกนี้เขาตั้งใจให้ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น
ส่งมาจากห้องวิจัยจากต่างประเทศโดยใช้การขนส่งทางเครื่องบินมาเลย มันเป็นพันธุ์ใหม่ ตั้งใจจะเอามาให้หลีชิงเยียนได้กินโดยเฉพาะ
“แตงโมลูกนี้ไม่เลวเลยแหละ คราวหน้าซื้อมาเยอะๆนะ” หลีชิงเยียนเสนอความคิดเห็นเอาไว้
สีหน้าของเฉินเป่ยนิ่งเฉย แตงโมลูกนี้ จะกินทุกวันได้ยังไงล่ะ…. มันมาจากห้องวิจัยพืชพันธุ์ใหม่เลย
มันเป็นพันธุ์ที่หวานที่สุดในโลก ส่วนราคาลูกนี้
ราคามันสูงเป็นพันเท่าเมื่อเทียบกับราคาแตงโมที่คนทั่วไปเขากินกัน!
“เสี่ยวเยียนทางเยี่ยนจิงนั้น เหมือนว่ามีคนมาแล้วนะ” อยู่ดีๆซูเสี่ยวหยุนก็ถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจถาม
เหมือนกำลังคำถามทั่วไป แต่เหมือนคำถามลวงถามมากกว่า
“เยี่ยนจิง……”ร่างกายทุกสัดส่วนของหลีชิงเยียนสั่นเล็กน้อย ใบหน้าเรียวพยายามที่จะทำให้เหมือนปกติ
ทว่าดวงตางดงามกำลังสบสน ทำให้คนอื่นมองออก
คนละเอียดรอบคอบอย่างซูเสี่ยวหยุนสัมผัสได้กับท่าทีที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าของหลีชิงเยียน
ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วแต่แกล้งทำเหมือนไม่รู้ เลยถามไปว่า “เสี่ยวเยียนจริงเหรอ ทางเยี่ยนจิงนั่น
ฉันได้ข่าวว่ายังมีตระกูลที่ร่ำรวย แซ่….”
ซูเสี่ยวหยุนยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเสียงของหลีชิงเยียนพูดแทรกขึ้นมาแทน น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
ตระกูลหลี อยู่ที่เมืองเมืองหู้ไห่ ส่วนเยี่ยนจิง มันไม่มีความสัมพันธ์ใดๆข้องเกี่ยวกันเลย
“เวลาก็ดึกมากแล้ว ฉันขอตัวไปนอนก่อนนะ”
หลีชิงเยียนลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าไปห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง แล้วทิ้งให้เฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุน
นั่งมองหน้ากันอยู่ที่เดิม
ความคิดของเฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุนนั้นมองหน้าก็รู้ใจ รู้ทันทีว่าหลีชิงเยียนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่
ไม่แน่ ตระกูลหลีของเยี่ยนจิง อาจจะมีสายสัมพันธ์ความเป็นพ่อลูกกับทางตระกูลหลีจริงๆก็ได้
หลีชิงเยียนเดินเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง จากนั้นก็ล็อกประตูห้องนอน แล้วมองนอกหน้าต่าง
ท้องฟ้ามืดสนิทยามค่ำคืน ความรู้สึกที่อยู่ในใจไม่สามารถสงบลงได้ สีหน้าดูเหนื่อยล้าเต็มทน
“เป็นอะไรไปเหรอ” ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลังของหลีชิงเยียน แทบไม่รู้เลยว่าตอนไหน
เฉินเป่ยก็มาอยู่ด้านหลังของหลีชิงเยียนแล้ว ประตูบานนั้นมันก็ล็อคไปแล้ว สำหรับคนอย่างเฉินเป่ยแล้ว
เหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจกับประตูบานนั้นเลย
“พวกเราเป็นสายเลือดของเยี่ยนจิงคนในตระกูลหลีที่เขาทอดทิ้งเราไป” หลีชิงเยียนพูดออกมารวดเดียว
พร้อมทั้งเห็นความเหนื่อยล้าที่สื่อออกมาจากดวงตางดงาม
เธอเหนื่อยล้าเต็มทน กลางวันก็เป็นเป็นผู้หญิงในดวงใจของคนมากมาย
เป็นท่านประธานของบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่เพียงแต่วุ่นวายกับงานของบริษัท
แถมยังต้องเผชิญชะตากรรมถูกข่มขู่จากทางด้านของฝั่งเยี่ยนจิงนั้นด้วย
เฉินเป่ยมองเห็นแผ่นหลังของหลีชิงเยียนกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ภายในดวงตาดำขลับ
กลับมีแววตานิสัยเสียปรากฏออกมาอยู่แวบหนึ่ง
“คุณวางใจได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ผมยังอยู่กับคุณเสมอ”เฉินเป่ยเอ่ยปากอย่างหนักแน่น
สีหน้าแววตาให้คำมั่น
เขาสามารถคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ น้อยครั้งนักที่จะเห็นสีหน้าที่หนักแน่นแบบนี้ขึ้นมา
หลีชิงเยียนหันศีรษะกลับมา มองไปทางเฉินเป่ย ผู้ชายคนนี้ในเวลานี้
บนตัวเขามันมีพลังอะไรบางอย่างที่ปกติไม่เคยมีมาก่อนเลย มันทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก
“อืม” ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนจ้องมองเฉินเป่ย วินาทีนั้นเธอสบายใจขึ้นมาก เฉินเป่ย
ทำให้หัวใจของเธอเกิดความรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก
“นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบนอนเถอะ”
หลังจากที่เฉินเป่ยเดินออกจากห้องนอนไปแล้ว ดวงตาดำขลับคู่นั้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
พลางกรอกปากพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ปลายสาย “ช่วยฉันหาข้อมูลตระกูลหลีที่เยี่ยนจิง
ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับภรรยาของฉัน”
ครู่หนึ่ง เสียงปลายสายของชายหนุ่มดูตกใจและสงสัยอยู่ไม่น้อย “ลูกพี่ มันแปลกอยู่นะ คนในตระกูลหลี
คนที่เยี่ยนจิง ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้เลย… ”
“จริงเหรอ” เฉินเป่ยตะลึงอยู่สักพัก แววตาดูเคร่งเครียด…ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกันจริงๆ แล้วทำไมหลีชิงเยียน
ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา
“แน่สิ” พร้อมทั้งได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์ดังออกมาจากปลายสาย “ผมตรวจหาข้อมูลดูแล้ว
การใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันของพี่สะใภ้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางตระกูลหลีแต่อย่างใด ลูกพี่เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร”
หลังจากที่วางสายโทรศัพท์แล้ว จากนั้นก็จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดด้านนอกหน้าต่าง
สายตามองไปเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย…
…………
วันรุ่งขึ้น ซูเสี่ยวหยุนกับหลีชิงเยียนออกจากคฤหาสน์พร้อมกัน พร้อมทั้งพูดว่ามีประชุมที่บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป
เพื่อจะไปคุยงานทิศทางในการขยายกิจการของทั้งสองบริษัท
พอถึงเวลาพักกลางวัน เฉินเป่ยที่ยังคงทำงานบ้านอยู่ในวิลล่า ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หลังจากรับสายแล้ว
เป็นเสียงสดใสมีเสน่ห์ของซูเสี่ยวหยุน “ไปกินข้าวเที่ยวกันไหม”
เฉินเป่ยตะลึงอยู่ชั่วครู่ “ทำไมคุณถึงได้โทรศัพท์มาหาผมล่ะ”
“เสี่ยวเยียนไม่ยอมมาด้วยกัน” ซูเสี่ยวหยุนเอ่ยปากบอก จนมุมปากของเฉินเป่ยกระตุกยิ้ม
พลันจินตนาการภาพตามในเวลานั้นขึ้นมาทันที
“โอเค รอผมแปบ” เฉินเป่ยวางสาย แล้วก็เดินออกจากคฤหาสน์
พร้อมทั้งขี่รถจักรยานคันเก่าผุพังคันนั้นมุ่งหน้าไปทางอาคารตระกูลหลี….
เวลา 11 นาฬิกา หลังจากที่เฉินเป่ยจอดจักรยานเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยืนสูบบุหรี่ข้างรถจักรยาน
ตอนที่พ่นควันบุหรี่ออกมานั้น เวลานั้นเอง บริเวณหน้าประตูของอาคารตระกูลหลี
ก็มีร่างที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจปรากฏกายขึ้น
เฉินเป่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้มอย่างเหยียดหยาม เอ่ยปากถาม “ท่านประธานซู
ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะนัดกับผมสองต่อสอง”
“มันแปลกมากเลยเหรอ” ซูเสี่ยวหยุนพูดจามีเลศนัยพร้อมทั้งจ้องมองเฉินเป่ยอย่างมีนัยยะ
“มีบ้าง”
ซูเสี่ยวหยุนหันกลับไปมอง พร้อมทั้งใช้สายตาประเมินรถจักรยานของเฉินเป่ย จนต้องเอ่ยปากถาม
“คุณคิดจะขี่รถจักรยานคันนี้มาเลี้ยงข้าวฉันเหรอ”
“มันไม่ดีเหรอครับ” เฉินเป่ยค่อยๆพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง ทั้งยังถามกลับอย่างมีความหมายอื่นแอบแฝง
“มันตกใจมากกว่า น้อยครั้งที่ฉันจะขี่รถจักรยาน” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์
ยิ้มจนทำให้คนตกหลุมรักกับความสวยงาม
เฉินเป่ยได้แต่ยิ้มให้แต่ไม่ได้พูดอะไร รถจักรยานคันนี้เป็นสิ่งของเพียงชิ้นเดียวที่เขาเอาเข้าบ้านตระกูลหลี
ทว่าจักรยานคันนี้เป็นจักรยานที่ทำด้วยมือของอาจารย์ชาวเยอรมันท่านหนึ่ง
ราคาก็เกินกว่าสิ่งของมากมายที่อยู่ในคฤหาสน์หรูหราไปหลายเท่าตัวนัก เพราะว่ารถจักรยานคันนี้
บนโลกใบนี้มีเพียงสองรุ่นเท่านั้น
ส่วนอีกรุ่นไม่นานมานี้มีงานประมูลที่สหรัฐอเมริกาก็ถูกประมูลราคาด้วยราคาสูงลิบลิ่ว 1.3พันล้าน!
ด้วยความที่เฉินเป่ยไม่ค่อยสนใจที่จะดูแลรักษาสักเท่าไหร่
จนทำให้มองภายนอกรถจักรยานคันนี้มันเก่าผุพังเต็มทน
เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับรถจักรยานธรรมดาสภาพมันยังดีกว่าเลย
“ขึ้นรถ”
เฉินเป่ยเอ่ยปาก
ซูเสี่ยวหยุนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยาน เฉินเป่ยเป็นคนขี่รถจักรยานเอง ส่ายไปส่ายมา
ขี่ไปไกลจากที่เดิมอย่างช้าๆ คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณอาคารตระกูลหลี จนเกิดเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามสดใส
หญิงสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง กำลังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานไปกับผู้ชายที่แต่งตัวใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น
ดูจากการแต่งกายภายนอกของหญิงสาวคนนี้แล้ว
พูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นหญิงสาวที่สวยหยาดเยิ้มยากที่คนจะลืมเลือนได้
แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเบิกตามอง ก็คือหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มคนนี้
นั่งซ้อนท้ายจักรยานคันเก่าผุพังคันนั้นไป!
สายตาของผู้คนโดยรอบ มีทั้งตกใจ งุนงง แต่สายตาที่มากกว่าคือการดูถูกและเย้ยหยัน