สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 404
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่404 นางฟ้าบิดพลิ้ว
ซูเหลยมองเฉินเป่ยที่นั่งอยู่ตรงหน้าตนเอง อดไม่ไหวสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง พยายามทำให้ตนเองสงบลงมา
ทุกอย่างนี้ช่างไม่สมจริงเสียเหลือเกิน ซูเหลยใจลอยอยู่บ้าง รู้สึกว่าความเป็นจริงช่างเพ้อฝันเหลือเกิน ใครจะไปคิดว่าราชาหลงที่ชื่อเสียงโด่งดังสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ไม่ต้องพูดถึงว่าเวลานี้นั่งอยู่ตรงหน้าตนเอง ตนเองยังรู้จักเขามานานขนาดนี้ ถึงได้รู้สถานะที่แท้จริงของเขา
บนหน้าซูเหลยร้อนแผดเผา พอหล่อนนึกถึงแรกเริ่มที่หล่อนบอกจะเปิดโปงเฉินเป่ยต่อหน้าหลีชิงเยียนแบบเต็มไปด้วยน้ำใสใจจริง ตอนนี้ดูแล้วน่าเยาะเย้ยมากเพียงใดกัน
หล่อนเสียดสีราชาหลงว่าเป็นพวกหลอกลวงอย่างคาดไม่ถึง พอซูเหลยนึกถึงสถานะของเฉินเป่ย จิตใจสั่นเทาอย่างบ้าคลั่ง ยากจะสงบลง
เฉินเป่ยนั่งอยู่บนโซฟา มองซูเหลยที่สีหน้าซับซ้อน ยิ้มนิดหน่อย พลางถามว่า “ครั้งนี้มาหาฉัน จะทำอะไร?”
ซูเหลยที่สีหน้าซับซ้อนมองทางเฉินเป่ย ผ่านไปอยู่นาน แววตาถึงเผยความแน่วแน่ไม่ลังเลออกมา ถามว่า “ทำไมนายถึงปรากฏตัวขึ้นที่หัวเซี่ย ทำไมถึงกลายมาเป็นผู้ชายแต่งเข้าบ้านผู้หญิง?”
เดิมทีตอนแรกซูเหลยไม่อยากเชื่อ ราชาหลงที่น่าเกรงขามโด่งดังที่ต่างประเทศ คาดไม่ถึงจะหลบซ่อนอยู่ข้างกายหลีชิงเยียนมานานขนาดนั้น และไม่สามารถทำให้ซูเหลยพบเข้าเลย
ในความเป็นจริงไม่ใช่ฝีมือของซูเหลยไม่ยอดเยี่ยม เป็นซูเหลยที่คิดไม่ถึงว่าสถานะของเฉินเป่ยจะน่ากลัวมากขนาดนั้น ยากจะเข้าใกล้
การมีตัวตนแบบบุคคลอย่างนี้ อย่างไรเสียซูเหลยก็คิดไม่ถึง เขาอยู่ข้างกายของหลีชิงเยียนอย่างสมัครใจได้อย่างไร จากสถานะและตำแหน่งของเขา ควบคุมอำนาจสูงสุดไว้ เงินทองสาวงามอะไรจะไม่มีครอบครองเลยเหรอ? คาดไม่ถึงจะยอมมาทำงานไร้ทักษะอยู่ใต้บังคับบัญชาหลีชิงเยียน เขามีเจตนาอะไร สรุปมีเป้าหมายอะไรกันแน่?
สายตาของเฉินเป่ยและซูเหลยปะทะกัน ผ่านไปสักพักหนึ่ง เฉินเป่ยก็หัวเราะนิดหน่อย มองซูเหลย ก่อนจะค่อยๆ ถามขึ้น น้ำเสียงเผยความล้ำลึกที่น่าประหลาดใจ “ฉันทำอะไร ต้องบอกเหตุผลกับเธอด้วยเหรอ?”
คำพูดประโยคนี้ของเฉินเป่ย ยิ่งทำให้ซูเหลยจมสู่ความเงียบงัน ในใจของซูเหลยสั่นอย่างแรง หล่อนรู้สึกได้อย่างชัดเจน จากบนตัวเฉินเป่ยมีความเผด็จการและความแน่วแน่นั้นแพร่กระจายออกมา
ท่วงท่าบนตัวของเฉินเป่ยนั้นยิ่งทำให้ซูเหลยยืนยันว่าไม่ได้เข้าใจผิด นี่ต้องเป็นราชาหลงอย่างไม่ต้องสงสัย…มีเพียงผู้แข็งแกร่งสูงสุดที่ยืนอยู่ยอดของโลกนี้ ถึงสามารถแพร่กระจายพลังน่าเกรงขามที่ทำให้คนหยุดหายใจได้รับความกดดันแบบนี้ออกมาได้โดยธรรมชาติ
ในใจซูเหลยสั่นเทา สีหน้าเฉินเป่ยเรียบนิ่งผ่อนคลาย ไม่เหมือนจงใจทำออกมาโดยสิ้นเชิง……หมายความว่า พลังน่าเกรงขามนี้แพร่กระจายออกมาโดยธรรมชาติ…เพียงแค่พลังน่าเกรงขามนิดๆ ที่แพร่กระจายออกมาอย่างธรรมชาติยังมีพลังอำนาจขนาดนี้ เขามีความแกร่งมากแค่ไหนกันแน่
สายตาของซูเหลยตกอยู่บนตัวของเฉินเป่ย วินาทีนั้นเธอไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายของผู้แข็งแกร่งใดๆ ได้จากบนตัวของเฉินเป่ยสักนิดเดียว และพูดได้ว่าความสามารถที่ลึกเกินหยั่งถึงของเฉินเป่ยนั้น ทำให้เดิมทีซูเหลยยากจะมองทะลุปรุโปรง
“ฉันต้องการให้นายยืนยัน นายจะทำร้ายถึงประธานหลีรึเปล่า” ซูเหลยกัดฟัน บนตัวเฉินเป่ยปล่อยออร่ายิ่งใหญ่ที่มีพลังน่าเกรงขามอย่างหนึ่งออกมา ก่อนจะตกอยู่บนตัวซูเหลย ราวกับมีภูเขาลูกหนึ่งมาทับลงบนตัวซูเหลยเข้าอย่างจัง ทำให้หน้าอกซูเหลยอึดอัด หายใจลำบาก
แต่วินาทีนั้น ระเบิดพลังที่ยากจะจินตนาการก็แพร่ออกมาจากในร่างกายของซูเหลย ค้ำยันซูเหลยเอาไว้ ต้านทานออร่ายิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นมาบนตัวของเฉินเป่ยเอาไว้ได้
ในแววตาของซูเหลยเปล่งประกายความหมายที่แน่วแน่ หลีชิงเยียนจ้างหล่อน ให้หล่อนมาปกป้องความปลอดภัยของตนเอง และยิ่งเห็นหล่อนเป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ ของเธอ มักจะพาซูเหลยไปเดินซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเป็นการส่วนตัว ยิ่งให้เงินรางวัลมากมายกับซูเหลยอยู่ไม่ขาด แม้แต่ความลับบางส่วนของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป หลีชิงเยียนก็ไม่ได้ปิดซูเหลยด้วย
ท่าทีที่หลีชิงเยียนมีต่อซูเหลยนั้น เดิมทีไม่เคยได้สัมผัสกับนายจ้างคนอื่น บวกกับซูเหลยเดิมคือคนที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีมาก
หลังจากที่รู้สถานะของเฉินเป่ย สิ่งที่ซูเหลยกังวลสุดคือความปลอดภัยของหลีชิงเยียน
ถึงแม้บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปจะเป็นกิจการชั้นนำของวงการอัญมณีที่หู้ไห่…แต่เทียบกันกับราชาหลงเทพเจ้าแห่งสงครามที่ประกาศตัวเป็นใหญ่ทั้งต่างประเทศแล้ว…ยังเกือบจะเป็นการมีตัวตนราวกับมดตัวน้อย
ถึงแม้ตระกูลหลีจะสถานะสูงมาก แต่เท่าที่ซูเหลยรู้มา เทียบกับทรัพย์สินมหาศาลของราชาหลง เกรงว่าตระกูลหลียังสู้เศษเสี้ยวหนึ่งของเขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ซูเหลยคิดวนไปวนมาก็ยังคิดไม่ออก หลีชิงเยียนกับตระกูลหลี สรุปแล้วมีจุดไหนที่คุ้มค่าให้ราชาหลงผู้น่าเกรงขามปลีกตัวมาที่หู้ไห่ แอบมาเป็นคนรับใช้ที่ตระกูลหลี
ถ้าเรื่องแบบนี้หลุดรอดออกไปที่ต่างประเทศ ไม่รู้ว่าจะดึงดูดการสั่นสะเทือนมากแค่ไหนขึ้นมา เกรงว่าหลีชิงเยียนจะกลายเป็นบุคคลโด่งดังที่ต่างประเทศในชั่วพริบตาเดียว
แต่สำหรับซูเหลย เฉินเป่ยมากบดานที่ตระกูลหลี เดิมทีไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น เกรงว่ามีเป้าหมายอื่น
เฉินเป่ยหรี่ดวงตาทั้งคู่ สังเกตซูเหลยพลางบ่นพึมพำกับตนเอง “รับไปแล้วผสมผสานได้ไม่เลว เห็นได้ชัดว่าคุณสมบัติของร่างกายพัฒนาขึ้น……”
ซูเหลยตะลึง ในสายตาที่มองทางเฉินเป่ยเพิ่มความไม่เข้าใจ ส่วนเฉินเป่ยมองซูเหลยอยู่พลันเอ่ยปากนิ่งๆ “ฉันให้โชคเธอมาครั้งหนึ่ง เธอกลับมาตั้งคำถามกับฉันที่นี่?”
“นายหมายความว่าอะไร?” ซูเหลยยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่
เฉินเป่ยยกมุกปากขึ้นเล็กน้อย “ถ้าฉันมีเจตนาอะไรไม่ดีกับชิงเยียน เธอคิดว่าหล่อนยังจะอยู่รอดปลอดภัยมาได้ถึงตอนนี้เหรอ? ถ้าไม่มีฉัน ครั้งก่อนที่เธอบาดเจ็บสาหัส เวลานี้เธอน่าจะยังนอนอยู่บนเตียงอยู่เลยล่ะ”
ในใจซูเหลยสั่นอย่างแรง…ความหมายเป็นนัยของเฉินเป่ย ชั่วขณะนั้นทำให้หล่อนคิดขึ้นมาได้ ครั้งก่อน หลังหล่อนได้รับบาดเจ็บ ชิงเหนียนก็นำของเหลวสีม่วงหลอดหนึ่งมาให้หล่อน ถึงตอนนี้ หล่อนจำได้อย่างแจ่มแจ้งยาสีม่วงหลอดนั้นนำผลลัพธ์ที่มหัศจรรย์มาให้หล่อน
ซูเหลยขมวดคิ้วแน่น มองทางเฉินเป่ย “นายรู้จักยาสีม่วงหลอดนั้นได้ยังไงกัน?”
เฉินเป่ยส่ายๆ หน้า ลุกขึ้นเดินไปที่ริมหน้าต่าง สายตาทอดยาวออกไปทางด้านนอกหน้าต่าง ยิ่งลุ่มลึก “เธอแค่ต้องรู้ว่าฉันไม่ใช่คนที่จะทำร้ายหล่อนก็พอแล้ว”
นอกหน้าต่าง พระอาทิตย์ร้อนแรงขวางท้องฟ้า แสงแดดสีทองสาดส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา ส่องบนตัวของเฉินเป่ย ก่อให้เกิดความอบอุ่น เฉินเป่ยเอามือไพล่หลัง ยืนอยู่ตรงนั้น ราวกับรูปแกะสลัก กลับทำให้ซูเหลย อย่างไรเสียก็ดูไม่ออก
“ใกล้ถึงเวลาข้าวเที่ยงแล้ว เธอกลับไปเถอะ” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ
ซูเหลยไม่ได้พูดอะไรอีก เทพเจ้าแห่งสงครามในสมัยปัจจุบันได้ออกคำสั่งไล่แขกไปแล้ว หล่อนได้แต่จ้องมองภาพด้านหลังของเฉินเป่ยครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ลุกขึ้น มีความสั่นสะเทือนหวาดกลัวอยู่ในใจ รีบเดินออกไปจากห้องแล้ว
ซูเหลยกลับไปที่ห้องตรงกันข้าม หลีชิงเยียนนั่งอยู่บนโซฟา แต่งชุดทำงานที่เป็นมืออาชีพชุดหนึ่ง ชุดมืออาชีพนี้ขับให้เค้าโครงรูปร่างสมบูรณ์แบบของหลีชิงเยียนเผยออกมา ผมยาวสลวยที่ดำขลับดุจสายน้ำตก ประธานนางฟ้านั่งอยู่บนโซฟา ดวงตาจ้องแล็ปท็อปที่วางไว้บนโต๊ะตัวเตี้ยตาไม่กะพริบ ท่าทางทำงานยุ่งมาก
จนกระทั่งซูเหลยเดินเข้ามาที่ห้อง ประธานนางฟ้าถึงเงยหน้าขึ้น พบว่าซูเหลยเดินเข้ามาแล้ว จึงถามด้วยความสงสัย “เมื่อกี้เธอไปทำอะไรมาเหรอ?”
ซูเหลยยิ้มๆ พูดอธิบาย “เมื่อกี้มีปัญหาบางอย่าง เลยไปถามเฉินเป่ยแล้วค่ะ”
หลีชิงเยียนพยักหน้าแล้ว กวักมือไปทางซูเหลย “เขามาหน่อยสิ”
ซูเหลยเดินไปที่ข้างกายหลีชิงเยียนแล้วนั่งลงมา หลีชิงเยียนชี้บนหน้าจอแล็ปท็อป ถามว่า “ยังจำรูปลักษณ์มีดเล่มนั้นในมือของเขาได้มั้ย?”
ในใจซูเหลยสั่นเทา ภายนอกไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง พยักหน้าตอบ “จำได้ค่ะ”
“จำได้ก็ดี ฉันถามคุณพ่อมาแล้ว หาปรมาจารย์การออกแบบอาวุธในประเทศมาได้สองสามท่าน อยากติดต่อพวกเขาสักหน่อย” ในดวงตางดงามของหลีชิงเยียนเปล่งประกายแสงที่แปลกประหลาด “มีดเล่มนั้นของเขา ประหลาดมาก ฉันยังเคยเจอเป็นครั้งแรกด้วย”
ซูเหลยนิ่งเงียบ หล่อนย่อมไม่ได้พูดออกมา ผู้ชายที่ยืนอยู่ยอดสุดบนโลกในยุคปัจจุบัน อาวุธของเขาจะธรรมดาได้อย่างไรกัน?
ซูเหลยรับกระดาษและปากกาที่หลีชิงเยียนยื่นมาให้ ลังเลเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลงปากกาวาดๆ รูปลักษณ์ที่เรียบง่ายหนึ่งลงไป
หลังหลีชิงเยียนรับมา กวาดสายตามองทีหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “รู้สึกว่ามีตรงไหนไม่ปกติเท่าไร”
ซูเหลยไม่ได้อธิบาย ในสมองของหล่อนเป็นคำพูดก่อนหน้านี้ของเฉินเป่ยดังก้อง
ซูเหลยในฐานะทีมรบพิเศษ สำหรับอาวุธเย็นประเภทมีดย่อมเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง รูปภาพของมีดหลงหยาที่หล่อนวาดออกมาใบนี้ ย่อมไม่เหมือนเดิมร้อยเปอร์เซ็นต์ ปรับเปลี่ยนตรงจุดสำคัญบางส่วนแล้ว ปรมาจารย์ออกแบบอาวุธเหล่านั้นย่อมไม่มีทางหาความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงถึงราชาหลงจากในรูปวาดโครงร่างนี้ได้
ซูเหลยที่ผ่านการพิจารณามารอบหนึ่ง ในที่สุดก็ตัดสินใจเรียบร้อย หล่อนไม่รู้แจ้งในเป้าหมายของเฉินเป่ย แต่สถานะของเฉินเป่ย เดิมทีหล่อนผิดใจไม่ได้
“เดี๋ยวฉันจะเอารูปนี้ส่งให้ปรมาจารย์เหล่านั้น ดูว่าจะได้เบาะแสอะไรบ้างรึเปล่า” หลีชิงเยียนไม่ได้เงยหน้า ซูเหลยที่อยู่ด้านข้างมองสักพักหนึ่ง พูดเตือนสติเสียงเบา “ประธานหลีคะ ถึงเวลาแล้ว ควรไปทานข้าวได้แล้วค่ะ”
จากนั้นหลีชิงเยียนถึงเงยหน้าขึ้น มองนาฬิกาสักแวบ พยักหน้าแล้ว “ได้ ไปร้านอาหารเถอะ ดีเลยตอนบ่ายจะได้ให้เขาไปส่งฉันที่บริษัทด้วย ฉันยังมีการเจรจางานหนึ่ง”
หลังจากหลีชิงเยียนและซูเหลยสั่งอาหารในร้านอาหารเสร็จ ไม่นานจางเป่าเฉิงก็เดินเข้ามาในร้านอาหาร เรื่องเมื่อช่วงเช้าทำให้จางเป่าเฉิงได้รับการกระทบกระเทือน จนถึงตอนนี้ ดูท่าทางของจางเป่าเฉิงก็ไม่ได้ดีขึ้นมาเลย
จางเป่าเฉิงนั่งลงตรงข้ามหลีชิงเยียน หลังสั่งอาหารเสร็จ หลีชิงเยียนที่ใส่ใจรู้สึกถึงพยับเมฆที่ปกคลุมบนหน้าจางเป่าเฉิงได้ ยิ้มนิดหน่อย พูดว่า “หัวหน้าสมาคมจางคะ พ่ายแพ้เล็กๆ ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจหรอกค่ะ คุณวางใจได้ ฉันจะสั่งสอนเจ้าหมอนั่นให้เข็ดเลย”
จางเป่าเฉิงส่ายหน้าแล้ว น้ำเสียงยังมีความแหบแห้งหลายระดับ “แพ้แล้วก็คือแพ้ เพียงแต่ผมนึกไม่ถึงว่าเขาจะหาช่องโหว่ของกฎเกณฑ์ได้ ผมต่อสู้มาอย่างยากลำบากตั้งหลายวัน พริบตาเดียวก็โดนเขาแซงไปไกล…ผมเลยไม่พอใจ”
“หัวหน้าสมาคมจางคะ เขาเทียบกับคุณได้เหรอ คนฉลาดน้อยที่เล่นได้นิดหน่อยแบบเขานั้น ได้แต่คิดไม่ซื่อในการเดิมพันแบบนี้ โชคดีที่เข้าร่วมสุดยอดดาบสามเล่มในครั้งนี้เป็นคุณ ไม่ใช่เขา ไม่อย่างนั้นบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปอยู่ในสุดยอดดาบสามเล่ม ต้องไม่ได้ลำดับใดแน่เลย” หลีชิงเยียนปลอบใจจางเป่าเฉิงสักรอบ ถือว่าทำให้จางเป่าเฉิงสีหน้าดีขึ้นมาบ้าง
และในเวลานี้ เสียงที่อันธพาลอย่างมากลอยเข้ามาแล้ว “ชิงเยียน นี่คุณอยากบีบให้ผมเอาที่หนึ่งในสุดยอดดาบสามเล่มมาให้ได้เลยเหรอ?”
พอเสียงที่คุ้นเคยเต็มไปด้วยความอันธพาลนี้ดังขึ้น ทำให้จางเป่าเฉิงสีหน้าแข็งทื่อทันใด ท่าทางอึมครึมทันที
ประธานนางฟ้าได้ยินเสียงนั้น มุมปากงดงามแดงฉ่ำหดลงอย่างแรง ชั่วขณะนั้นในแววตาลึกปรากฏสีของไฟโกรธขึ้น