สายเปย์เบอร์หนึ่ง - ตอนที่ 409
บทที่409 เทพเจ้าแห่งสงครามของนรก
“ปล่อยฉันนะ!”
บนเตียงนอนขนาดใหญ่ที่อ่อนนุ่ม หลีชิงเยียนพยายามดิ้นรนสุดกำลัง แต่ไม่ว่าร่างกายของเธอจะบิดขยับอย่างไร กลับถูกเต๋อกุลาทับอยู่ใต้ตัวอย่างง่ายดายตั้งแต่ต้นจนจบ แม้แต่ซูเหลยยังไม่มีวิธี หลีชิงเยียนดิ้นรนอย่างไร จะมีประโยชน์ได้อย่างไรกันล่ะ?
“ปล่อยหล่อนนะ!”
ซูเหลยกลั้นความเจ็บปวดที่หลังเอาไว้ ปีนขึ้นมาแบบโซซัดโซเซ ทันใดนั้นพุ่งไปทางเต๋อกุลาสุดกำลังชีวิต
“หักกระดูกแล้วยังจะลุกขึ้นมาได้อีกรึไง?” เต๋อกุลาหันหน้า หลังมองซูเหลยด้วยสีหน้าแข็งทื่อ จากนั้นเผยแสงที่เย็นยะเยือกออกมา จากนั้นเต๋อกุลาก็ก้าวเท้าออกมา ร่างกายระเบิดวาร์ป ชั่วพริบตาเดียวปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของซูเหลยแล้ว ปล่อยหมัดหนึ่งใส่หน้าอกของซูเหลย
ความจริงฝีมือของซูเหลยไม่ถือว่าอ่อน ตอนหลังยังได้รับความแข็งแกร่งของยาสีม่วงหลอดนั้นอีก สมรรถภาพร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ถ้าเปลี่ยนเป็นซูเหลยในอดีต คงบาดเจ็บสาหัสนอนอยู่ที่พื้นไปตั้งนานแล้ว
ซูเหลยในตอนนี้ สามารถปีนขึ้นมาได้ ทำให้เต๋อกุลารู้สึกตกใจอย่างมาก
“ปึก!”
เสียงระเบิดหนักอึ้งดังขึ้น หมัดที่แฝงด้วยความโกรธเคืองนั้นของเต๋อกุลาต่อยลงที่หน้าอกของซูเหลย ทั้งร่างกายซูเหลยถอยหลังไปตึกๆๆ อย่างควบคุมไม่อยู่
ซูเหลยถอยหลังไปหลายสิบก้าวเต็มๆ ถึงทรงตัวนิ่งไว้ได้
และเพียงแวบหนึ่ง ดวงตาที่หนาวเหน็บของเต๋อกุลาสาดส่องความหมายที่ดุเดือดรุนแรงออกมา จากนั้นเต๋อกุลากุมหมัดโดยฉับพลัน ปรากฏตัวด้านหน้าของซูเหลยอีกครั้งหนึ่ง
“ปึก!”
ร่างกายของซูเหลยสั่นสะเทือนอย่างบ้าคลั่ง โดนอีกหมัดหนึ่ง
“เฮือก!” เต๋อกุลาต่อยหมัดหนึ่งที่ตัวซูเหลย ร่างกายซูเหลยสั่นเทาอย่างแรง ละอองเลือดฟุ้งกระจาย พ่นออกมาจากในปากของซูเหลย
หมัดนี้ของเต๋อกุลาแฝงไปด้วยพลังที่เพิ่มความสยองขวัญยิ่งกว่าหมัดที่แล้ว ด้วยร่างกายของซูเหลย เดิมทีไม่อาจต้านทานได้
“ปึง!” ทั้งตัวของซูเหลยล้มกระเด็นออกไปดุจลูกกระสุนปืนใหญ่ กระแทกบนผนังเสียงดังกระหึ่ม…ผนังที่แบกรับคานที่แข็งแรงตกแต่งอย่างสวยงาม โดนแรงหนักสยองขวัญจู่โจม คาดไม่ถึงรับกำลังสยองขวัญแบบนี้ไม่ไหว แตกร้าวแยกออกทันที รอยร้าวกระจายตัวไปรอบด้านอย่างบ้าระห่ำ
“แกร๊กๆๆ……” บนผนังที่รองรับคาน มีเสียงแกร๊กๆ ดังสะท้อน ซูเหลยค่อยๆ ไหลร่วงจากบนผนัง บนฝาผนัง ปรากฏหลุมลึกที่เป็นรูปร่างคนรอยหนึ่งขึ้นมา
ซูเหลยกัดฟัน ร่างกายของเธอสั่นเทาอย่างแรง หมัดเมื่อสักครู่นี้ของเต๋อกุลานั้นช่างน่าสยดสยองเหลือเกิน ทำให้ทั่วร่างกายหล่อนกระดูกหักไปหลายที่ ความปวดร้าวไหลทะลักท่วมท้นดุจกระแสน้ำ เกือบจะท่วมนองกลืนกินจิตใจของหล่อน
ซูเหลยมองทางเต๋อกุลา ในแววตาเผยความตกใจหวาดกลัวอย่างรุนแรงออกมา เธอไม่เคยเจอบุคคลที่ความสามารถสยองขวัญเช่นนี้แบบเต๋อกุลามาก่อน ไม่มีทางใช้หลักเหตุผลทั่วไปมานิยามได้
ซูเหลยพยายามอยากลุกขึ้นมาสุดชีวิต แต่เดิมทีหล่อนทำไม่ได้ ทั่วทั้งตัวของหล่อนไม่รู้ว่ามีตรงที่กระดูกหักมากแค่ไหน หล่อนไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้มาก่อน
ถ้าไม่ใช่ยาสีม่วงหลอดนั้น ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซูเหลยคงตายไปตั้งนานแล้ว หล่อนยังสามารถพึ่งพิงสมรรถภาพร่างกายที่ทระนงองอาจราวกับเหล็กยืนยันมาถึงตอนนี้ นี่คือเรื่องมหัศจรรย์อย่างหนึ่งแล้ว
“พวกเธอคนหัวเซี่ย มีคำโบราณหนึ่งว่าไว้ เอาไข่ไปกระทบหิน” เต๋อกุลาเอ่ยปากนิ่งๆ ในแววตาของเขาประกายความหนาวเหน็บคลุ้งกระจายไปทั่ว เขามองซูเหลยอย่างเย็นชา พวกต่ำต้อยที่ไม่รู้จักที่ตายแบบซูเหลยนี้ เต๋อกุลาจะค่อยๆ เหยียดหยามหล่อนถึงจัดการทิ้งไป
ที่เต๋อกุลารับสืบทอดมาคือสายเลือดของตระกูลผู้ดีเก่าแก่แห่งยุโรป เผชิญหน้ากับซูเหลยคนผิวเหลืองแบบนี้ เต๋อกุลาย่อมมีความรู้สึกดีเลิศอยู่เหนือมวลชนกว่า
หัวเซี่ยพัฒนาสูงขึ้นแบบยุคปัจจุบัน ใช้เวลาห้าสิบปีเดินในเส้นทางร้อยปีสำเร็จ แต่ที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นยุโรป คนหัวเซี่ยที่ผิวสีเหลือง เทียบกับคนผิวดำไม่ดีกว่ากันไปถึงไหน ยังคงโดนคนดูถูกเหยียดหยาม คนชั้นต่ำ
“ใครให้ความมั่นใจเธอกัน ทำให้เธอต่อต้านฉันได้?” เต๋อกุลาค่อยๆ เดินมาตรงหน้าของซูเหลย ก้มหน้าจ้องมองซูเหลย มุมปากฉีกรอยยิ้มหนาวเย็นโหดร้ายขึ้น
ซูเหลยเงยหน้า จ้องมองเต๋อกุลา ถึงแม้ร่างกายของหล่อนจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ในแววตาของหล่อนกำลังประกายความแน่วแน่ไม่ยอมอ่อนข้อ
“คนที่แกไม่อยากจะผิดใจไง” ซูเหลยตอบกลับ
เต๋อกุลายืนอยู่ที่เดิม ได้ยินคำพูดของซูเหลย สีหน้าเย็นชาทันใด ในแววตามีความหมายเย็นเฉียบแวบผ่าน
วินาทีต่อมา เต๋อกุลาโบกมือหนึ่งออกมาอย่างรู้สึกอับอายจนโกรธเคือง เสียงกระหึ่มดังขึ้น แก้มข้างซ้ายของซูเหลยแดงเลือดไปแถบหนึ่ง สภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง
ซูเหลยจับแก้มของตนเองไว้ ส่วนเต๋อกุลามองซูเหลยอยู่ สีหน้าหนาวเย็นเสียดสี “คนที่ฉันไม่อยากผิดใจ? โอหัง ที่นี่ยังไม่มีคนที่ฉันไม่กล้าผิดใจ!”
และในเวลานี้ เต๋อกุลาพึ่งพูดจบ เสียงที่เย็นยะเยือกมาก และเผยแรงอาฆาตแค้นรุนแรงลอยมาเข้าหูของเต๋อกุลา จากอีกด้านหนึ่ง “ใช่เหรอ! เต๋อกุลา ที่แท้ลืมการชดใช้ที่รันทดในอดีตไปแล้วสินะ”
เต๋อกุลาสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย ภาษาต่างประเทศที่คล่องแคล่วนี้ลอยเขาในหูเขา คาดไม่ถึงทำให้เขาขนลุกขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ
เต๋อกุลาเงยหน้า แวบหนึ่งก็มองเห็นภาพเงาคนคนหนึ่งปรากฏตัวที่หน้าประตูห้องพัก เสี้ยววินาทีที่ภาพเงาคนนี้ปรากฏขึ้น ทำให้ในใจของเต๋อกุลาสั่นเทารุนแรงแบบน่าประหลาด สายตาที่มองทางหน้าประตูห้องพัก ชั่วขณะนั้นเต็มไปด้วยความกลัว
ถึงแม้ในใจของเต๋อกุลาจะหวาดกลัว แต่ภายนอกยังคงทำเสียงฮึดฮัด มองทางภาพเงาคนนั้น เอ่ยปากนิ่งๆ “แกถือว่าเป็นอะไรกัน?”
“ซู่!”
เต๋อกุลาพึ่งพูดจบ ทันใดนั้นรู้สึกได้ว่าอุณหภูมิในอากาศลดลงมาระดับหนึ่งอย่างฉับพลัน
“ชนเผ่าเลือดเปลี่ยนมาก้าวร้าวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร มารังแกคนหัวเซี่ยของฉันเหรอ!” ภาพเงาคนคนนั้นก้าวเท้าออกมา แวบเดียวดวงตาของเต๋อกุลาหดลงทันที
แสงดำเส้นหนึ่งทะลุผ่านที่ว่างกลางอากาศจากในมือของคนคนนั้น แฉลบผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไวดุจสายฟ้าแลบ
ในใจเต๋อกุลาตื่นตระหนก น้อยมากที่เขาจะเคยเจอความเร็วที่สยองขวัญเช่นนี้ ความสามารถในการตอบสนองของเขาห่างไกลกว่าซูเหลย แม้แต่เขายังรู้สึกว่าความเร็วที่ไวปานนี้ เกรงว่าเป็นระดับที่ทำให้คนเดือดดาลอย่างยิ่ง
ที่ว่างกลางอากาศสั่นสะเทือนหึ่งๆ เสียงที่ดังเสียดแก้วหูดุจฟ้าผ่าฉับพลัน ไม่ใช่เพียงดังสะท้อนอยู่ในห้อง แม้กระทั่งที่พื้นยังสั่นไหวนิดหน่อยด้วย
จิตใจเต๋อกุลาสั่นเทา แสงดำทะลุผ่านเสียงในอากาศแต่ละชั้นที่ทับซ้อนกัน คาดไม่ถึงแอบก่อเป็นมังกรคำรามที่ใหญ่โต ทำให้เขาเกือบจะยืนไม่นิ่ง
เต๋อกุลาใช้พลังส่วนหนึ่ง ถึงทรงตัวให้มั่นคงได้ และวินาทีต่อมา แสงดำที่ไวดุจสายฟ้าแลบนั้น มาเยือนทันใด
เต๋อกุลาเลียริมฝีปากสีแดงเลือดแล้ว ในแววตามีแสงดุเดือดแวบผ่าน ร่างกายเขาสั่นไหว ภาพวืดหนึ่งปรากฏขึ้น แวบเดียว เต๋อกุลาหลบหนีแสงดำเส้นนี้อย่างเสี่ยงอันตรายมาก
“ในที่สุดก็มาแล้ว!” ซูเหลยเงยหน้า ตอนที่หล่อนมองเห็นแสงดำที่ไวจนตาเปล่ายากจะสังเกตเห็นนั้น สีหน้าแข็งทื่อ แวบเดียวเผยสีหน้าตื่นเต้นอย่างไม่มีทางจินตนาการได้ออกมา
ตั้งแต่แรกซูเหลยพยายามฝืนไว้ ในที่สุดก็รอจนเฉินเป่ยมาช่วยเอาไว้ได้
“ฉันรู้ว่านายจะต้องรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของที่นี่” มุมปากที่เลือดสดออกมาของซูเหลยยกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น โล่งอกไปทีหนึ่ง
“ชิ้ง!” แสงดำที่ไวดุจสายฟ้าแลบ แฉลบผ่านที่ว่างกลางอากาศด้วยความว่องไว ทลายฝาผนังที่แข็งแรงออกทันใด มีดครึ่งหนึ่งเสียบเข้าที่ผนังทั้งหมด
เต๋อกุลาหันหน้า กวาดตามองฝาผนังแผ่นนั้นแวบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นหนังศีรษะชา พลังที่สยองขวัญนี้ ทำให้เขาตกใจอยู่บ้าง
เต๋อกุลาคิดว่าแค่พลังของตนเองก็โดดเด่นมากแล้ว แต่ตอนนี้ พลังของคนผู้นั้นเหมือนจะไม่เกรงใจเขาเลยสักนิดเดียว
ตอนที่เต๋อกุลามองทางฝาผนังนั้น เฉินเป่ยยืนอยู่หน้าประตูห้องพัก ขยับอย่างฉับพลัน
ไม่มีใครเห็นการกระทำของเขาชัดนัก ได้แต่มองเห็นภาพวืดที่เลือนรางภาพหนึ่ง พุ่งโจมตีมาทางเต๋อกุลาด้วยความเร็วที่ยากจินตนาการ
สีหน้าของเต๋อกุลาเปลี่ยนไป ชั่วพริบตาเดียว ภาพเงาคนคนนั้นก็ปรากฏตัวตรงหน้าของเต๋อกุลาแล้ว
“วอนหาที่ตาย!” ภายในแววตาของเต๋อกุลามีแสงดุเดือดแวบผ่าน ตะโกนขึ้น พลันปล่อยหมัดหนึ่งออกไป
“ปัง!”
เต๋อกุลารวบรวมกำลังสุดแรง ปล่อยหมัดออกราวสายฟ้าแลบ ที่ว่างกลางอากาศสั่นสะเทือน เหมือนเพราะหมัดนี้ของเต๋อกุลาเป็นเหตุให้สะเทือน
และให้เวลานี้เอง เฉินเป่ยที่พุ่งโจมตีมาด้วยความเร็วสูงสีหน้าหนาวเหน็บก็ยกหมัดขึ้นแล้ว
“ปัง!”
หมัดทั้งสองปล่อยมาชนกัน นั่นคือเสียงดังสนั่นเลือนลั่น
จากนั้นพลังสยองขวัญระเบิดออกระหว่างทั้งสอง ร่างกายทั้งตัวของเต๋อกุลาถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ไหว ส่วนเฉินเป่ยยืนอยู่ที่เดิมอย่างปลอดภัยไร้บาดเจ็บ ร่างกายสั่นเพียงเล็กน้อย ดวงตาเย็นชาจ้องเต๋อกุลา
เต๋อกุลาทรงตัวให้นิ่ง ส่วนเฉินเป่ยหันหน้ามองที่ซูเหลยแวบหนึ่ง
วินาทีที่ซูเหลยกับเฉินเป่ยสบตากัน หล่อนที่ปราดเปรียวในชั่วขณะนั้นอ่านสายตาของเฉินเป่ยออกแล้ว ตะโกนบอกไปทางห้องนอน “ประธานหลี รีบออกมาค่ะ!”
ซูเหลยชัดเจนในจุดประสงค์ของเฉินเป่ยมาก หล่อนกระโดดหลบที่ว่างให้เฉินเป่ย ทั้งนี้จะได้ไม่ถูกลูกหลงจากการต่อสู้อันดุเดือดของเฉินเป่ยกับเต๋อกุลา มาโดนพวกเธอสองคนบาดเจ็บเข้า
“อยากไป ไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอก!” เสียงของเต๋อกุลาเผยแรงอาฆาตเย็นเฉียบ เขาค่อยๆ เช็ดเลือดสดนิดหน่อยที่ไหลออกจากมุมปาก
“วันนี้ พวกแกอย่าคิดจะหนีออกไปกันได้สักคน!” เต๋อกุลาพูดด้วยเสียงเหน็บหนาว